ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
บทที่ 359 ถวนถวนผู้มั่นใจ
เมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย หลิวว่านชิงก็ส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
ในฐานะครู มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเอ่ยปากออกมา
“นี่? อะไรกัน? จะบอกว่าเธอไม่เต็มใจอย่างนั้นเหรอ? อายุยังน้อย ก็น่าจะต้องได้รับบทเรียนบ้างไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อาจารย์หวังก็เผยแววเหยียดหยามอยู่บ้าง
“คุณ!”
หลิวว่านชิงไม่พอใจหนัก หากแต่เมื่ออ้าปากจะตอบโต้กลับพูดไม่ออก
อาจารย์หวังที่เห็นเช่นนี้ก็หลุดขำเย้ย ก่อนหันไปสอนเสี่ยวเสวี่ยเล่นเปียโน“ฟังนะ…ครั้งนี้เราจะเอาจริงกันแล้ว เราจะเป็นเด็กอมมือที่เอาแต่พล่ามไปเรื่อยไม่ได้…”
แม้จะอยู่ห่างออกไป ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายยังคงลอยเข้าหูเธอ
“น่าหงุดหงิดจริง ๆ!”
คราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงหลิวว่านชิง แม้แต่หลี่หรงยังอดหัวเสียไม่ได้
ถวนถวนของเธอแสดงได้ดีที่สุดในสายตาของเธอ!
“อย่าโกรธเลยนะคะแม่หรง ถวนถวนเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวหนูจะจัดการเธอให้หงายเลยค่ะ!”
เจ้าตัวน้อยกระตุกชายเสื้อของเธอ
หลี่หรงอิ่มเอมใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจนัก ถึงอย่างไรเด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยก็เล่นเปียโนได้คล่องแคล่ว
“ใช่แล้ว ถวนถวนเก่งมากเลยนะคะ คุณน้าอย่าเสียอารมณ์ไปเลยค่ะ”
เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากพี่เขยกลับมา นับวันถวนถวนยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลานเธอก็ยังเด็ก มีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง
เวลาล่วงเลยพ้น 8 โมงครึ่ง
ถวนถวนและเพื่อนกลุ่มเดียวกันถูกพาไปห้องรับรอง ส่วนอวี้ฮ่าวหรานกับหลี่หรงรอชมอยู่หน้าเวที
เขาต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยอยู่ไม่ห่างออกไป
“คุณสวี…มาที่นี่เหมือนกันเหรอคะ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย หลี่หรงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เมื่อพบฝ่ายตรงข้ามคือสวีรุ่ยซึ่งเพิ่งพบกันเมื่อ 2 วันก่อน
“อ้าว? พวกคุณ… ถวนถวนมางานนี้เหมือนกันเหรอคะ?”
เมื่อพบหน้าทั้งคู่ เธอจึงส่งสีหน้าสงสัยก่อนนึกขึ้นได้
“อย่างนั้นฉันก็จะได้เห็นถวนถวนเล่นเปียโนสินะคะ”
“ใช่ครับ วันนี้คุณโชคดีมากเลยนะครับ มานั่งทางนี้สิครับ ยังไม่มีคนนั่งพอดีเลย”
เป็นอวี้ฮ่าวหรานที่เอ่ยปากเชิญชวนก่อน
“ค่ะ”
สวีรุ่ยรับคำ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมานั่งด้านข้าง
“วันนี้ทางโรงเรียนส่งข้อความแจ้งคุณครูทุกคนค่ะ บอกว่าให้มาชมการแสดงกัน ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ”
เธอเล่าเมื่อเธอนั่งลง
“ช่วงวันหยุดหน้าร้อนที่ผ่านมาถวนถวนสนใจเรียนเปียโน แล้วก็เรียนได้ดีด้วยครับ ผมก็เลยให้เธอลองมาแข่งดู” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ย
“อ๋อ? ถวนถวนมาแข่งจริง ๆ เหรอคะ?”
สวีรุ่ยมีท่าทีแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ด้วยถวนถวนยังอายุน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เคยได้ยินเด็กน้อยเล่นเปียโนมาก่อน
จะเข้าแข่งขันทั้งที่เรียนภายในวันหยุดหน้าร้อนเดียวได้อย่างไร?
หากแต่เวลานี้หลี่หรงดูปลาบปลื้มใจมาก
“ถวนถวนหัวไวมากค่ะ คุณครูที่สอนชมใหญ่เลย บางทีอาจจะชนะการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้ค่ะ”
เมื่อครั้งที่เธอเรียนเปียโนในวัยเด็ก คุณครูยังไม่เคยชมเธอสักครั้ง
แม้ว่าเธอจะชอบเล่นมาก หากแต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างไรก็ไม่มีอยู่วันยังค่ำ
“ค่ะ ถวนถวนเป็นเด็กฉลาดมาก แต่เรื่องที่จะเอาชนะได้…”
สวีรุ่ยไม่มั่นใจในเรื่องนี้นักด้วยรู้ดีว่าเด็กที่เข้าแข่งขันร่ำเรียนเปียโนมาตั้งแต่ยังเด็กมาหลายปี อย่างน้อยก็ทำให้เล่นได้อย่างไม่มีที่ติ
หากแต่ถวนถวนเรียนมาเพียงเดือนเดียว อีกทั้งยังอายุน้อย…
เธอเกรงว่าหากอวยเกินไปตอนนี้ ถ้าพลาดตำแหน่งขึ้นมา ลูกศิษย์จะเสียใจเอาได้
“ไม่ต้องห่วง ผลต้องออกมาดีแน่ครับ”
อวี้ฮ่าวหรานว่าขึ้น เขามั่นใจในตัวลูกสาวคนนี้เต็มที่ เพราะการแสดงเมื่อวานของถวนถวนก็ทำให้เขาตกตะลึงมากทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องรับรอง เด็ก ๆ นั่งอยู่รวมกันที่นี่
“เธอเด็กขนาดนี้ เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวเสวี่ยถามขึ้นก่อน ถวนถวนนั่งอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นความมั่นใจ
“ถวนถวนเก่งมากนะ! พ่อถวนถวนยังบอกว่าจะแข่งชนะเลย”
ดวงตากลมโตจับจ้องคู่สนทนาเขม็ง
“เธอเล่นไม่เป็นหรอก ก็แค่เล่นขำ ๆ น่ะสิ เดี๋ยวจะทำให้พ่อแม่ขายหน้าเปล่า ๆ”
“ไม่มีทาง! ถวนถวนตั้งใจฝึกมาก! พ่อยังชมว่าเก่งที่สุดเลย!”
แม้จะถูกเสี่ยวเสวี่ยปรามาส หากแต่ถวนถวนก็ไม่ท้อถอย ยังคงมั่นใจเต็มที่
หลังได้ฝึกซ้อมรอบสุดท้าย เธอก็ยังเชื่อมั่นในตนเองอย่างถึงที่สุด
“คอยดูไปแล้วกัน”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมั่นใจเพียงนี้ เสี่ยวเสวี่ยนึกอยากเอาชนะเด็กหญิงตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงเวลา 9 โมงเช้า การแข่งขันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ครั้งนี้เป็นงานแข่งขันที่จริงจังมาก มีคณะกรรมการถึงสิบคน
ผู้เข้าแข่งขันคนแรกปรากฏตัวขึ้น เป็นเด็กหญิงอายุราว 5 ถึง 6 ขวบ
“เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไป เห็นไหมว่าตื่นเวทีมาก”
“ใช่ ต่อให้ฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่ดี”
“พวกเขาแค่มาลองมาหาประสบการณ์ คนที่มาแข่งจริงจังคือเด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบต่างหาก”
“…”
เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน
ท่วงทำนองเปียโนค่อย ๆ ดังขึ้น ไม่รู้ว่าด้วยตื่นเวทีหรือไม่ ท่อนแรกจึงได้ฟังดูกวัดแกว่งเล็กน้อย
หลังเพลงจบลง คณะกรรมการให้คะแนนกัน
ได้คะแนนรวม 4.5 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน
อาจด้วยเพราะอายุของเด็กคนนี้
ด้านคุณครูที่ยืนชมอยู่ฟากซ้ายเวที อาจารย์หวังว่าเย้ย “เห็นไหม? ได้แค่ 4.5 คะแนน ฉันบอกแล้วว่าอายุน้อยแค่นี้จะไปเก่งอะไร เดี๋ยวลูกศิษย์ของเธอก็ต้องเล่นเป็นคนต่อไป คงฝีมือแย่พอกันนั่นแหละ”
“ก็ไว้ค่อยดูแล้วกันว่าจะเป็นยังไง”
หลิวว่านชิงคร้านจะใส่ใจอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา
“หืม? เสี่ยวหลิว พูดอะไรของเธอ อาจารย์หวังอาวุโสกว่าเธอนะ น่าจะเคารพสักหน่อยสิ”
“ใช่แล้ว ที่พูดก็เพราะว่าหวังดี เดี๋ยวเธอจะได้บทเรียนเอง”
“ฮ่า ๆ ยังไงเสี่ยวหลิวก็เพิ่งเรียนจบ ประสบการณ์น้อย อย่าไปถือสาเธอเลย”
ครูอาจารย์เหล่านี้ต่างก็เคยสอนชั้นอื่น ๆ มาก่อน พวกเขาจึงมักจะจับกลุ่มกันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
หลิวว่านชิงอยากจะตะโกนออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอนทั้งนั้น!
“ดูเข้าสิ!”
“ชิ ไม่มีฝีมือแล้วยังจะเชิดอยู่ได้”
เมื่ออาจารย์หวังได้ยิน เธอก็ส่งเสียงเยาะเย้ยถากถาง ตอนนี้ได้เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปจะเริ่มแสดง
เด็กอายุ 7 ถึง 8 ขวบคนนี้ไม่มีท่าทีตื่นเวที แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เก่งมากนัก มีบางช่วงที่เล่นติดขัดกลางคัน
แต่อย่างไรเสียก็เป็นการแข่งขันของเด็ก ๆ จึงไม่มีใครคิดถือสา
“สรุปคะแนนรวมได้ไป… 5.8 คะแนนครับ!”
เมื่อพิธีกรประกาศผลจบ ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปขึ้นเวทีต่อทันที
หากแต่การแสดงของหลายคนไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ได้คะแนนสูงสุดไปเพียง 6 คะแนนเท่านั้น
“มาดูเร็วเข้า! ต่อไปเป็นเสี่ยวเสวี่ย ลูกศิษย์ฉันเอง!”
การแสดงก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก อาจารย์หวังพลันโพล่งขึ้น
เสี่ยวเสวี่ยในชุดกระโปรงขาวขึ้นมาบนเวที เด็กหญิงวัย 7 ย่าง 8 ขวบดูน่ารักน่าชัง ขณะเดียวกันก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากเช่นกัน