ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 436 ฆ่าทันที
บทที่ 436 ฆ่าทันที
บทที่ 436 ฆ่าทันที
เหล่ยเซียวโกรธแค้นอย่างมาก เขาไม่คิดว่าซูกว่างไห่จะรู้จักกับกลุ่มแก๊งที่น่ากลัวอย่างนี้!
มันน่ากลัวที่อีกฝ่ายสามารถบดขยี้ตัวเขาให้จมดินได้ในพริบตาเดียว!
แต่ไอ้เฒ่าไม่ได้บอกอะไรเขาเลย!
ใครโหดเหี้ยมที่สุดน่ะเหรอ? พวกมันยังไงล่ะ!
ตอนนี้เจรจาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะใครที่กล้าต่อต้านพยัคฆ์เวหา คนนั้นจะต้องตายสถานเดียว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้!
“ฟังนะ! ไอ้พวกตระกูลซูอยู่ในกำมือฉันแล้ว! ถ้าแกไม่อยากให้พวกมันตายก็ส่งรถมาที่นี่แล้วสั่งให้ลูกน้องเปิดทางให้พวกฉัน!”
ตอนนี้เขาสิ้นหวังอย่างมาก
บางทีนั่นอาจเป็นวิธีเดียวที่ตัวเองจะสามารถหลบหนีออกจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
ยังไงก็ตามเมื่อโจวเฟยหู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็แสยะยิ้มทันที
“ฮ่า ๆ เหล่ยเซียว แกไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! ต่อให้ฉันส่งรถไปให้ แต่แกคิดว่าจะหนีออกจากฮ่วยอันได้งั้นเหรอ?”
หัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาไม่กังวลเรื่องฝีมือของอีกฝ่ายเลย เพราะรู้ดีว่าลูกน้องของพวกเขาเก่งกาจไม่แพ้ใครหน้าไหน!
ชายหนุ่มผู้ฆ่าหยวนหลงคือคนที่สามารถบรรลุขอบเขตพลังภายในขั้นสูงสุดได้ในพริบตาเดียว คนธรรมดาไม่สามารถทำอย่างนี้ได้แน่
ผู้ชายตรงหน้าชื่อว่าเหล่ยเซียว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสามารถเรื่องพลังภายในแม้แต่น้อย!
แน่นอนว่าใบหน้าอวี้ฮ่าวหรานยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิม
“ฉันให้เวลาสิบวินาที ปล่อยเขาไปซะ ไม่อย่างนั้นแกตายแน่!”
“บัดซบ! แกคิดว่าฉันโง่เหรอ?”
เหล่ยเซียวสบถด่าด้วยความโมโห เขาเชื่อว่าถ้าตอนนี้ไม่มีตัวประกันอยู่ในมือ ก็คงถูกอีกฝ่ายฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แน่นอน!
เมื่อซูกว่างไห่เห็นพันธมิตรยืนอยู่ข้างหน้า ท่าทางของเขาจึงเปลี่ยนไปทันที
สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หยิ่งยโสที่อยู่ถัดจากเขากลายเป็นชายผู้น่าสงสารไปแล้ว
“ฮ่า ๆ แกไม่รอดแน่! ถึงคราวตายของแกแล้ว! ตระกูลซูของฉันไม่ใช่ตระกูลที่แกจะรังแกได้ง่าย ๆ!”
“หุบปาก! ไม่งั้นฉันฆ่าแกแน่!”
เหล่ยเซียวตะคอกด้วยความเคียดแค้น เขาเกลียดชังอีกฝ่ายอย่างมาก
แต่ซูกว่างไห่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำร้ายเขาได้แน่
“ฆ่าฉันสิ! แกมีโอกาสแล้วนี่! ฉันรอเวลานี้มานานแล้ว!”
“แก! หุบปากซะ!”
เหล่ยเซียวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาตวาดเสียงดังพร้อมเงื้อมือขึ้นตบอีกฝ่าย
“หยุด!”
อวี้ฮ่าวหรานเบื่อที่จะเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันเต็มทน เขาจึงตะโกนเสียงทุ้มทันที!
วินาทีต่อมา ร่างของตัวเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายไปราวกับภาพหลอน จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าเหล่ยเซียวอีกครั้ง!
ชายหนุ่มคนนี้เคลื่อนที่เร็วขนาดนี้ได้ยังไง?!
“อะไรวะ!”
เหล่ยเซียวอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายปรากฏตัวข้างหน้า เมื่อครู่อวี้ฮ่าวหรานยังอยู่ไกลจากเขาเกือบสิบเมตร แต่ทำไมตอนนี้กลับมาอยู่ข้างหน้าเขาได้ในพริบตา!
เขาก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่จับไว้แน่นเหมือนคีมเหล็ก!
“ฉันบอกให้เวลาสิบวินาที แค่สิบวินาที!”
อวี้ฮ่าวหรานแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พูดจบ รังสีอาฆาตของเขาก็แผ่ปกคลุมร่างกายของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว!
“อ…เอ่อ…”
เหล่ยเซียวเป็นชายฉกรรจ์สูงกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร แต่กลับตกใจกลัวอีกฝ่ายจนต้องร้องขอชีวิต แต่ตอนนี้เขากลับพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าใบหน้าของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะเลือดที่สูบฉีดมากเกินไป ภายใต้รังสีอาฆาตของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งในห้วงอเวจี ชายหนุ่มตรงหน้าน่ากลัวกว่านักฆ่ากระหายเลือดซะอีก!
นี่คือความคิดสุดท้ายของเขา
“กร๊อบ!”
อวี้ฮ่าวหรานเอื้อมมือไปบีบคออีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นอย่างนั้น ซูหว่านผิงที่นอนบนพื้นข้าง ๆ ก็อดเสียวสันหลังไม่ได้
ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าการพาคนไปบุกบ้านของอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้นเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี
หากโชคร้ายเขาอาจเจอเข้ากับคนที่เก่งกาจจนสามารถบดขยี้ตัวเองได้อย่างง่ายดายราวกับบดขยี้แมลง
“ตุ้บ!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจปฏิกิริยาของพ่อลูกตระกูลซู เขาโยนร่างไร้วิญญาณลงบนพื้น ก่อนหันมองเหล่าลูกน้องของเหล่ยเซียว
เมื่อเห็นอย่างนั้นลูกน้องของเหล่ยเซียวก็ยอมแพ้อีกฝ่ายทันที คนที่อยู่ตรงหน้ามีฝีมือเหนือชั้นกว่าพวกเขามาก!
“พ…พวกเรายอมแล้ว! พวกเรายอมแล้ว!”
“พี่ใหญ่เราผิดไปแล้ว…เหล่ยเซียวบังคับให้ผมทำครับ”
“ยกโทษให้พวกเราเถอะครับ พวกเราถูกบังคับ…”
เหล่าลูกน้องของเหล่ยเซียวคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมร้องขอความเมตตา หลังจากเห็นลูกพี่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจกลุ่มคนตรงหน้า แต่กลับหันไปมองซูกว่างไห่ที่ยังคงตกตะลึง
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าอย่างงั้นไปหาซูหว่านเอ๋อที่โรงพยาบาลกับผมเถอะ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำให้ซูหว่านเอ๋อสบายใจ
ส่วนซูหว่านผิงพี่ชายของเธอ…ช่างเขาเถอะ
ผู้ชายคนนี้ถูกทรมานทั้งคืนจนแทบหมดลมหายใจแล้ว ถ้าเขาพาอีกฝ่ายไปด้วย ซูหว่านเอ๋อจะต้องกังวลกว่าเดิมแน่ ๆ
“โอเค! โอเค! ลูกสาวผมไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ซูกว่างไห่พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงจะเป็นลูกชาย แต่เขาไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจเจตนาของชายตรงหน้า
ด้วยความช่วยเหลือของโจวเฟยหู่ พวกลูกน้องของเหล่ยเซียวก็ถูกสลายไปจนหมด
ทรัพย์สินที่ถูกจดทะเบียนเป็นชื่อของเหล่ยเซียว ยกเว้นทรัพย์สินที่เคยเป็นของตระกูลซูถูกโอนเป็นชื่อของอวี้ฮ่าวหราน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดทั้งสองก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมง ซึ่งใกล้เวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้ว
“แค่ก ๆ หมอคะ เมื่อไรฉันจะหายดีเหรอคะ?”
“อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ ร่างกายคุณอ่อนแอเกินไป แถมไม่นานมานี้ยังป่วยอีก ดังนั้นคุณต้องพักผ่อนให้เพียงพอนะครับ”
“แต่…”
เสียงซูหว่านเอ๋อดังมาจากในห้องคนไข้
“ไม่ต้องแต่หรอกครับ เชื่อหมอเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปในห้องพร้อมพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
เมื่อมองเข้าไปในห้อง เขาถูกรูปลักษณ์บอบบางของซูหว่านเอ๋อดึงดูดทันที
แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องเข้ามา ทำให้อากาศภายในห้องอบอุ่นเป็นพิเศษ ซูหว่านเอ๋อสวมชุดคนไข้นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ใบหน้าของเธอยังคงซีดเซียวเหมือนเดิม
มีเพียงดวงตาสีดำขลับที่เปล่งประกายเป็นพิเศษ สายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่สายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยางอยู่ข้าง ๆ
แม้จะเคยอาศัยอยู่ในโลกเทวะ แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่เคยเห็นภาพที่ทำให้จิตใจสงบสุขอย่างนี้มาก่อน
สุดท้ายแล้วภาพนี้ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ซูหว่านเอ๋อหันกลับมามองต้นเสียงทันทีที่ได้ยิน
เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อ ดวงตาสีดำราวกับไข่มุกคู่นั้นก็ฉายแววประหลาดใจ
“อวี้ฮ่าวหราน ขอบคุณมากนะคะ!”
หลังจากตกตะลึงครู่หนึ่ง เธอก็ขอบคุณอีกฝ่าย
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ”
อวี้ฮ่าวหรานนั่งลงข้างเตียงแล้วเงยหน้ามองใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าในอนาคตมีเรื่องให้ช่วย คุณต้องโทรหาผมทันที แล้วผมจะช่วยคุณอย่างสุดความสามารถ”
ซูหว่านเอ๋อกัดริมฝีปากเบา ๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ไม่…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณช่วยเหลือฉันมามากพอแล้วฉันไม่อยาก… รบกวนคุณอีกแล้ว”
พูดจบ เธอก็ใช้มือข้างหนึ่งทัดผมไว้ข้างหูด้วยความประหม่า
“ฉัน…ฉันจัดการได้ค่ะ”
หลังจากได้ยินอย่างนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้นเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายด้วยความไม่สบายใจ
“คุณบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันนี่ครับ เพื่อจะช่วยเหลือเพื่อนไม่ได้เหรอ?”
มือที่เขากอบกุมไว้อ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก แถมยังให้ความรู้สึกเย็นเยียบเมื่อสัมผัสครั้งแรก