ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 445 ไว้ชีวิต
บทที่ 445 ไว้ชีวิต
บทที่ 445 ไว้ชีวิต
พวกเขาต่างตื่นกลัว เมื่อค้นพบว่าต่อหน้าผู้มีอำนาจ พวกเขาก็เป็นเพียงคนกระจอกเท่านั้น!
“น้องอวี้! จัดการยังไงกับคนพวกนี้ดีล่ะ?”
หลังเตะฝ่ายตรงข้ามล้มลง โจวเฟยหู่หันมองชายหนุ่มซึ่งยังยืนสงบนิ่งอยู่กลางวง
“แล้วแต่คุณเลย อย่ามาจัดการต่อหน้าผมก็พอครับ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจเรื่องนี้ เขาเพียงไม่ต้องการให้ลูกสาวเห็นภาพรุนแรงเท่านั้น
“ได้! ถ้าอย่างนั้นก็มีเรื่องให้เล่นสนุกแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวเฟยหู่ก็ก้มมองคนที่คุกเข่าอยู่ข้างเขา อดจะพูดกวนไม่ได้
เวลานี้นายน้อยจางหวาดกลัวสุดขีดจนทั้งร่างสั่นเทาเป็นตะแกรง
“ฉัน…ฉันผิดไปแล้ว! ฉันขอโทษ! ขอโทษจริง ๆ!”
แม้บาดเจ็บสาหัสที่ขา แต่เขายังฝืนทนกล่าวร้องขอความเมตตา
ด้วยรู้ดีว่าหากถูกนำตัวไป ชะตากรรมของเขาคงน่าหดหู่ใจไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ตอนนี้รู้จักร้องขอความเมตตาแล้วเหรอ? แกหาเรื่องน้องอวี้ก็เท่ากับหาเรื่องฉัน โจวเฟยหู่! มีฉันอยู่ อย่าหวังจะรอดไปได้!”
โจวเฟยหู่ไม่คิดให้โอกาสฝ่ายตรงข้าม เขาเตรียมลากตัวอีกฝ่ายไป
“ฉันผิดไปแล้ว…ฉันยังมีลูก เพิ่งเข้าอนุบาลปีนี้เอง ฉันจะตายไม่ได้…”
นายน้อยจางเอ่ยเว้าวอนละล่ำละลัก สัมผัสได้ว่าชะตาของตนใกล้ขาดเต็มที
หากแต่คำขอร้องของเขาไม่ต่างกับเสียงนกเสียงกาสำหรับโจวเฟยหู่ จะมีใจคิดเมตตาได้อย่างไร
อวี้ฮ่าวหรานท้วงขึ้นในจังหวะนั้น
“เดี๋ยวก่อน!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ร่างนายน้อยจางที่กำลังถูกลากออกไปหยุดลง
โจวเฟยหู่ละมือออก ในบรรดาหลายสิ่ง เขานับถือน้องอวี้คนตรงหน้ามากที่สุด
“คนอย่างแกมีลูกด้วยเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วและมองชายร่างไม่สมประกอบบนพื้น น้ำหูน้ำตาไหลนองหน้า
“ฉัน…ฉันมี ปีนี้เธออายุได้สามขวบกว่าเอง ฉัน…ฉันมาที่นี่วันนี้…ก็เพราะว่าอยากให้เธอเข้าเรียนที่นี่”
นายน้อยจางมีประกายความหวังเล็ก ๆ เขารีบตอบเมื่อได้ยินคำถาม
“น้องอวี้! อย่าทนฟังคนพรรค์นี้พูดไร้สาระ ในเมื่อมันมาหาเรื่องนายไม่ดูตาม้าตาเรือ เดี๋ยวฉันจะจัดการทุกอย่างให้นายเอง!”
โจวเฟยหู่ประกาศกร้าว
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจ กลับมองจับผิดนายน้อยจาง
“ฮ่า ๆ”
ไม่นานเขาก็หันกลับไปพร้อมเสียงหัวเราะ
“ฉันผิดไปแล้ว! ฉันขอโทษ… อย่าให้พวกมันเอาตัวฉันไปเลยนะ… ขอร้อง…”
เสียงคร่ำครวญร้องขอความเมตตายังคงดังขึ้นจากด้านหลัง หากแต่เมื่อเดินไปได้สองก้าว เขาพลันพูดขึ้น
“ปล่อยเขาไป”
อวี้ฮ่าวหรานว่าเสียงเรียบ ก่อนจากไปโดยไม่อธิบายอะไร
“อะไรนะ?”
โจวเฟยหู่เผยท่าทีแปลกใจเมื่อได้ยิน เป็นเวลานานกว่าเขาจะรู้สึกตัว
“ฮ่า ๆ เพราะลูกแกแท้ ๆ! วันนี้แกถึงได้รอดตายไปได้! คราวหน้าจะหาเรื่องใครก็ดูตาม้าตาเรือก่อนด้วย!”
เขาแค่นเสียงเย้ย ปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนปัดมือตนเองไปมา
“พวกเรากลับ! จัดการเรื่องของน้องอวี้เรียบร้อยแล้ว”
สองนาทีให้หลัง เหลือนายน้อยจางอยู่ข้างถนนเพียงลำพัง ส่วนลูกน้องของเขาหนีหายไปตั้งนานแล้ว
“ฉัน…ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?”
ความเจ็บปวดที่ขาเทียบไม่ได้กับความตื่นกลัวในใจ เขานึกไม่ถึงว่าเมื่อครู่ตนเองจะโชคดีพอที่จะได้รับการไว้ชีวิต
เขารู้ตัวว่าคำพูดเรื่องลูกสาวได้ช่วยชีวิตของตนไว้
ตอนนี้ถึงได้รู้สึกเศร้าใจ
—
ภายในบริษัทเครือฮ่าวหราน
“เย้! หนูจะได้เจอครูหลิวแล้ว!”
เมื่อมาถึงบริษัท ถวนถวนออกอาการร่าเริงเต็มที่ ดวงตาแวววาวของเธอทอประกายสดใส
อวี้ฮ่าวหรานกับลูกสาวมาถึงห้องเปียโนบริเวณชั้นหนึ่ง เขาได้ยินเสียงเปียโนลอยแว่วเข้าหูราง ๆ
เมื่อผลักประตูเข้าไป ท่วงทำนองไพเราะดังชัดเจนขึ้น
หลิวว่านฉิงนั่งอยู่บนที่นั่งหน้าเปียโน นิ้วเรียวเคลื่อนขยับอย่างฟังไม่ออกว่าเธอเล่นเพลงอะไรอยู่ แม้ฟังดูอ่อนไหวและเศร้าสร้อย แต่กลับแฝงความหวัง
ดนตรีเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ดูเหมือนทุกห้วงอารมณ์โลกใบนี้จะหลบซ่อนอยู่ภายใน
เห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ขัดอีกฝ่าย และพาลูกสาวเข้าไปนั่งเงียบ ๆ
นับเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ยินเธอเล่นเปียโน สิ่งที่ชวนให้เขาแปลกใจคือฝีมือเหนือชั้นของเธอ!
เธอเก่งกาจเสียจนมหาเทพที่อยู่มาหลายร้อยปีอย่างอวี้ฮ่าวหรานยังอดชื่นชมไม่ได้!
ไม่นานตัวโน้ตสุดท้ายก็ค่อย ๆ แผ่วเบาลง ความเงียบโรยตัวภายในห้องเปียโนเก็บเสียง
“แปะ ๆๆ…”
เสียงปรบมือดังขึ้นแทรก อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนปรบมือชื่นชมเธอ
เจ้าตัวเล็กรีบปรบมือตามเช่นกัน
“ครูหลิว ครูเก่งมากเลยค่ะ! ถวนถวนอยากเก่งแบบครูหลิวบ้าง!”
เมื่อหลิวว่านฉิงได้ยิน เธอหันไปมองและเห็นว่าสองพ่อลูกมาถึงแล้ว
“ฮ่า ๆ ฉันกลัวจะร้างมือเลยมาฝึกซ้อมน่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้เธอได้แต่วิ่งวุ่นทำงาน ไม่มีเวลาให้ได้ฝึกซ้อม
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ดูเหมือนหัวหน้าคนใหม่จะไม่คิดใช้งานโขกสับเธออีก อีกทั้งยังไม่แม้แต่จะมอบหมายงานให้เธอ มันทำให้เธอนึกลำบากใจอยู่บ้าง
บางครั้งเธอจึงออกตัวเอ่ยขอทำงานที่พอจะช่วยเหลือได้
“ครูหลิว ครูหลิวคะ ถวนถวนอยากเรียนเพลงที่ครูเพิ่งเล่นค่ะ เพราะมากเลย!”
เจ้าตัวน้อยโพล่งบอกอย่างคาดหวัง
“อืม ขอครูคิดก่อนนะ”
หลิวว่านฉิงดูลังเลใจ เดิมทีเพลงนี้ไม่เหมาะสำหรับการเรียนของเด็ก ด้วยทำนองซับซ้อนเกินไป เธอเองกว่าจะเล่นได้ก็เข้าช่วงวัยรุ่นแล้ว
หากแต่มือของเด็กคนนี้ดูท่าจะพิเศษกว่าใคร ร่างกายมีพละกำลังไม่น้อย
ต่างจากเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันลิบลับ
“ได้สิ เดี๋ยวครูสอนให้นะ”
เธอลูบศีรษะถวนถวน คิดว่าคงไม่น่ามีปัญหา
“เย้! ดีจังค่ะ! ถวนถวนจะได้เรียนเพลงใหม่แล้ว!”
เจ้าตัวเล็กชนะการแข่งขันเปียโนสองครั้งติดต่อกัน ทำให้เจ้าตัวยิ่งมีแรงกระตุ้นในการเรียน
“ฮ่า ๆ งั้นคุณสอนเธอเถอะครับ ไม่ต้องจริงจังเกินไปก็ได้ครับ”
เมื่อเห็นแบบนี้ อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะ แม้แต่คนเล่นไม่เป็นยังฟังออกถึงความยากของเพลงเมื่อครู่
“ค่ะ ฉันจะสอนถวนถวนให้เต็มที่เลยค่ะ!”
หลิวว่านฉิงพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำเขา
“ว่าแต่คุณทานข้าวหรือยังครับ? ถวนถวนกับผมแวะทานมาแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานซึ่งกำลังจะหันเดินออกไปนึกขึ้นได้จึงถามขึ้น
ตอนนี้ถึงเวลาพักเที่ยงของพนักงาน เขาจึงไม่ต้องการให้อีกฝ่ายกินข้าวช้า
“ฉันทานแล้วค่ะ ฉันห่อข้าวมาทานที่บริษัทเอง”
หลิวว่านฉิวพยักหน้า
“คุณห่อข้าวมาทานเองเหรอครับ? อาหารที่บริษัทเราไม่อร่อยหรือมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
เมื่อได้ฟัง อวี้ฮ่าวหรานถามขึ้นอย่างแปลกใจ
ตั้งแต่เขาเปลี่ยนหัวหน้าแผนกและปรับปรุงรสชาติอาหารให้ได้มาตรฐาน โรงอาหารของบริษัทก็เทียบได้กับร้านอาหารข้างนอก