ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 486 ร้านอาหารริมทาง
บทที่ 486 ร้านอาหารริมทาง
บทที่ 486 ร้านอาหารริมทาง
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหราน นายน้อยชุ่ยจึงทักทายเขาทันที
“ฮ่า ๆ ผมชื่อชุ่ยเหวินเทา พวกเราทำความรู้จักกันไว้ดีไหมครับ?ประธานอวี้?”
“ไม่ล่ะ!”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองอีกฝ่ายและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความชั่วร้ายภายใต้รอยยิ้มทันที
จากนั้นชายหนุ่มก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไปจากงานประมูล
หลังจากที่อีกฝ่ายเดินออกไปไม่กี่ก้าว รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ฮึ! ไม่รู้ซะแล้วว่าฉันเป็นใคร! คอยดูเถอะ!”
เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา ขณะที่ใบหน้ามืดมนลงเรื่อย ๆ
ตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานมาถึงที่รถแล้ว
“ผมจะไปส่งคุณที่บ้านแล้วพรุ่งนี้เช้า ผมจะส่งดาบโบราณไปให้คุณ”
เขาบอกอีกฝ่ายทันทีที่ขึ้นรถ
“ฉัน…ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน…”
ซูหว่านเอ๋อกัดริมฝีปากพร้อมพูดอย่างกล้าหาญ
“ช่วงนี้… ถ้าไม่อยู่ที่โรงพยาบาลก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน พ่อห้ามไม่ให้ฉันไปที่อื่นน่ะค่ะ”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น ความจริงแล้วใบหน้าของอีกฝ่ายยังซีดเซียว เพื่อรักษาอาการป่วยให้หายขาด การอยู่แต่ที่บ้านคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่ยังไงก็ตามอีกฝ่ายมีความคิดเป็นของตัวเองเสมอ
แน่นอนว่าหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พยายามเสนอความคิดเท่าที่ตัวเองจะคิดออก
“ฉันอยาก…ไปกินข้าวกับคุณได้ไหมคะ?”
หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย บนพวงแก้มของเธอก็ปรากฏรอยเลือดฝาด
ดวงตาสีดำขลับมองชายหนุ่มข้าง ๆ ด้วยสายตาคาดหวัง
“งั้นไปกันเถอะ คุณอยากกินอะไรบอกมาได้เลยนะครับ”
อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลง เพราะตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว
เมื่อเห็นประกายระยิบระยับในดวงตาคู่สวยจากหางตา เขาก็อดอมยิ้มไม่ได้
“คุณคงไม่คุ้นเคยกับละแวกนี้สินะ ผมจะเป็นคนพาคุณไปเปิดหูเปิดตาเอง คุณอยากกินร้านไหน บอกผมได้เลย”
วินาทีต่อมา รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็ส่งเสียงคำราม
ไม่นานก็มาถึงตัวเมือง
“ร้านนี้ก็ไม่เลวนะ ผมเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง ถึงบรรยากาศจะไม่ค่อยดี แต่รสชาติอาหารใช้ได้เลย”
อวี้ฮ่าวหรานแนะนำร้านอาหารเป็นครั้งคราว
ซูหว่านเอ๋อกลับมองออกไปข้างนอกหน้าต่างด้วยความมึนงง แต่ไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่งรถสปอร์ตแล่นผ่านบริเวณสี่แยก
“จอดตรงนี้เถอะค่ะ ฉันอยากกินอาหารร้านนั้น”
เธอพูดพร้อมชี้ไปที่ข้างถนน อวี้ฮ่าวหรานมองตามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“นี่มันแผงร้านอาหารริมทางนี่ครับ เอ่อ… มันจะไม่ดีต่อสุขภาพคุณนะครับ”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่จินตนาการไม่ออกว่าร้านอาหารริมทางจะเหมาะสมกับลูกสาวมหาเศรษฐีผู้บอบบางได้ยังไง?
“แต่…ฉันอยากลองกินสักครั้ง…พ่อและบอดี้การ์ดไม่ยอมปล่อยให้ฉันลองกินเลยค่ะ”
ซูหว่านเอ๋อยังคงยืนกรานอย่างไม่ลดละ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีโอกาสรับประทานอาหารที่ร้านอาหารริมทางเมื่อตอนยังเรียนอยู่ แต่อีกฝ่ายคงไม่มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นจริง ๆ
“โอเค เราลงไปกันเถอะ”
เมื่อคิดอย่างนั้น เขาจึงจอดรถไว้ข้างทางแล้วดับเครื่องยนต์ ก่อนลงจากรถ
พอเดินเข้าไปใกล้ร้านอาหาร ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าว
ตอนนี้เวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ร้านอาหารจึงเต็มไปด้วยผู้คน
“เถ้าแก่! หมูเส้นผัดเปรี้ยวหวานหนึ่งจาน!”
“แม่งเอ๊ย ปลาย่างของฉันอยู่ไหน? เร็วสิ! แล้วฉันต้องทำอะไรก่อนเนี่ย?”
“ผมบอกเถ้าแก่แล้วให้รับลูกค้าน้อยกว่าเดิม แล้วเป็นยังไงล่ะ?”
“…”
เสียงสบถดังไม่หยุด ซึ่งบรรยากาศโดยรวมแตกต่างจากร้านอาหารหรูอย่างสิ้นเชิง
“เป็นยังไงบ้างครับ?”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เธอเพิ่งหายจากอาการป่วยหนักได้ไม่นานจึงไม่สามารถทนกับเสียงดังเซ็งแซ่แบบนี้ได้
“ยัง…ยังโอเคอยู่ค่ะ”
ซูหว่านเอ๋อพยักหน้า พวงแก้มซีดเจือสีเลือดฝาดเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาดำขลับฉายแววตื่นตาตื่นใจ
“เข้าไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนกราน อวี้ฮ่าวหรานจึงเดินเข้าไปในร้านอาหาร
“เถ้าแก่ มะเขือม่วงผัดเนื้อสับกับมะเขือเทศผัดไข่…”
อวี้ฮ่าวหรานสั่งอาหารสองจานอย่างไม่รู้ตัว ไม่นานก็จำได้ว่าเขาสั่งตามความเคยชินที่เคยทำตอนเรียนมหาวิทยาลัย
“ฉันยังจำได้…ต่อให้มันจะนานแล้วก็ตาม”
ทั้งสองคนเดินไปหาที่ก่อนนั่งลงแล้วถอนหายใจ
ไม่นานซูหว่านเอ๋อก็ได้รับความสนใจจากคนทั้งร้าน
โดยเฉพาะชายหนุ่มสวมเสื้อลายดอกที่กำลังมองเธอด้วยสายตาโลมเลีย
พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยปานนางฟ้าเหรอ?
“เชี่ย! ทำไมไอ้คนนั้นถึงพานางฟ้ามากินอาหารข้างถนนแบบนี้วะ?”
“ไอ้งั่งเอ๊ย! ผู้หญิงคนนั้นสวยระดับซูเปอร์สตาร์จะอยากมาร่วมวงกับเราได้ยังไง?”
“นางฟ้าตัวน้อยอยากร่วมวงกินข้าวกับพวกเราไหม?”
เสียงสนทนาดังขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจ พวกเขานินทาในระยะเผาขนด้วยน้ำเสียงแทะโลม
“พวก…พวกเรา…”
เมื่อได้ยินบทสนทนาน่ารังเกียจ ร่างกายของเธอก็แข็งทื่อทันที เธอไม่คิดว่าคนพวกนี้จะมีพฤติกรรมน่ารังเกียจ
“ไม่เป็นไรครับ พวกมันจะได้รับบทเรียนแน่นอน”
อวี้ฮ่าวหรานปรายตามองชายหนุ่มเสื้อลายดอกไม้และเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ารังเกียจ
แต่ภาพนี้กลับทำให้คนเหล่านั้นไม่สบอารมณ์
“ไอ้เวร! มองอะไรวะ? ผอมอย่างกับกระดาษ กล้าดียังไงมาจ้องพวกเรา?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้นด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดพร้อมคำรามเสียงต่ำ
“หึหึ เป็นแค่มดแมลงยังจะกล้าอวดดีอีก!”
อวี้ฮ๋าวหรานหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“ว่าไงนะ? ใครเป็นมดแมลง? นี่แกดูหนังมากไปหรือเปล่า?”
“ฮ่า ๆ ฉันว่ามันปัญญาอ่อนว่ะ!”
“ฉันว่าเราอย่าถือสาคนบ้าเลย แม่สาวน้อยคนนี้เจอคนโง่เข้าแล้วล่ะ”
“…”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น คนอื่น ๆ ในร้านต่างส่งเสียงหัวเราะราวกับว่าพวกเขาได้ยินเรื่องตลก
แววตาของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาลงเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคนเหล่านั้นกำลังดูถูกตัวเองอยู่
ครั้งที่อาศัยอยู่ในโลกเทวะ เขาเหยียบย่ำซากศพสิ่งมีชีวิตนับล้าน ท่ามกลางเสียงร้องขอชีวิตของศัตรูที่คุกเข่าและตัวสั่นงันงกต่อหน้าเขา
แต่วันนี้พวกเศษสวะกำลังดูถูกเขา พวกมันไม่รู้ซะแล้วว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่แค่ไหน!
“อวี้ฮ่าวหราน…เรา…”
ซูหว่านเอ๋ออยากเรียกสติเขา แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
“ไม่เป็นไรครับ คุณนั่งลงรออาหารเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นพร้อมกำหมัดแน่น
“ฉันไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย วันนี้มาครั้งแรกไม่คิดว่าจะได้เห็นเรื่องสนุก ๆ แบบนี้”
คนกลุ่มนั้นหัวเราะเย้ยหยันเมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลุกยืนขึ้น
“บัดซบ! แกอยากท้าพวกเราเหรอ อยากตายนักใช่ไหม?”
“ไอ้เวรเอ๊ย วันนี้ฉันจะหักขาแกให้ละเอียด!”
เมื่อเห็นอย่างนั้น เหล่าชายฉกรรจ์ก็ลุกยืนขึ้นด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่เปิดโอกาสให้คนพวกนั้นเป็นฝ่ายโจมตีเขาก่อน!
“พลัวะ!”
แค่พริบตาเดียว เขาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าคู่ต่อสู้แล้วต่อยอีกฝ่ายอย่างแรง!
พวกอันธพาลมากันทั้งหมดสี่คน แต่เมื่อเห็นอีกหนึ่งคนถูกต่อย สามคนที่เหลือก็ถอยหนีทันที!
“แม่งเอ๊ย! แก…แก…!”
ชายหนุ่มคนนั้นตกใจจนพูดไม่ออก
อีกฝ่ายเข้าจู่โจมเขารวดเร็วราวกับผีในตอนกลางวันแสก ๆ อย่างนี้ได้ยังไง มันยังเป็นคนอยู่ใช่ไหม?