ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 490 อดีตของหวังเหยียน
บทที่ 490 อดีตของหวังเหยียน
บทที่ 490 อดีตของหวังเหยียน
เมื่อเห็นว่านายน้อยฟ่านก้มลงเก็บเศษกระดาษด้วยความตกใจ อวี้ฮ่าวหรานจึงเดินจากไปทันที
เขาไม่สนใจพูดเรื่องไร้สาระกับพวกแมลงหวี่แมลงวันอยู่แล้ว!
พอเห็นอย่างนั้น หวังจุนที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้ว่าสัญญาถูกยกเลิกแล้ว จึงโทรหาใครบางคนทันที
ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เขาแจ้งข่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและตรงไปตรงมา
“สัญญาถูกยกเลิกแล้วครับ ท่านประธานไม่เห็นด้วยกับการร่วมมือครั้งนี้”
ปลายสายอุทานด้วยความประหลาดใจก่อนถามบางอย่าง แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้ยินชัดสักเท่าไหร่
“คุณไม่จำเป็นต้องทำงานนี้แล้วครับ ต่อให้คุณสามารถทำกำไรได้มากมายก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะว่า…”
ขณะพูด หวังจุนเหลือบมองนายน้อยฟ่านที่นั่งอยู่บนพื้น
“คุณถามเหตุผลจากลูกชายคุณเถอะครับ”
เขาวางสายอย่างรวดเร็ว ทั้งร้านตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
แต่นายน้อยฟ่านกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างหนาวเหน็บจนร่างกายสั่นสะท้าน
หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น!
เมื่อกดรับสาย ปลายสายก็ตวาดด้วยความโกรธทันที!
“ฟ่านจินฮวา! แกเคยเห็นหัวพ่อบ้างไหม! แกทำอะไรลงไป? อยากตายเหรอ?!”
“ผม…ผม…”
นายน้อยฟ่านตัวสั่นงันงก เพราะตั้งแต่ที่จำความได้พ่อไม่เคยโมโหใส่เขาขนาดนี้มาก่อน
ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตลายดอกที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำให้คนระดับประธานบริษัทขุ่นเคืองใจ!
ดูเหมือนว่าสาวงามคนนั้นจะมีฐานะไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ยังไงก็ตามอวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการเห็นใบหน้าขยะแขยงของเศษสวะพวกนั้น
“พาคนพวกนี้ออกไปให้พ้นสายตาฉันซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกมันอีก”
เขาสั่งด้วยความรำคาญ หวังจุนพยักหน้าทันทีที่ได้ยิน จากนั้นมองบอดี้การ์ดรอบตัวเขา
“ต้องให้ฉันพูดอีกไหม?”
เหล่าบอดี้การ์ดมองหน้ากันและกันแล้วเดินออกจากร้านไป
ล้อเล่นน่า! เจ้านายพวกเขาโดนดูถูกขนาดนั้น ถ้าไม่จัดการคนพวกนี้ วันหน้าเขาอาจเป็นฝ่ายที่ต้องตกงานก็ได้…
จากนั้นไม่นาน หวังจุนก็พานายน้อยฟ่านและพวกออกไป ร้านอาหารจึงกลับมาสงบอีกครั้ง
แต่ท่ามกลางความเงียบสงบ ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่มักแอบมองทั้งสองคนเป็นครั้งคราว
“ฉันขอโทษนะคะ…ฉันรบกวนคุณมากเกินไปแล้ว…”
ซูหว่านเอ๋อกัดริมฝีปากพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจขอโทษอีกฝ่าย
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดจริงจัง เขาแค่ตอบปัดอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวข้างนอกบ้านสักเท่าไหร่ ผมเลยอยากเตือนว่าครั้งหน้าอย่ามาในสถานที่แบบนี้คนเดียวเด็ดขาด”
แน่นอนว่าห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารในโรงแรมไม่ใช่ปัญหา แต่ร้านอาหารริมทางต้องมีปัญหาเรื่องวัยรุ่นมั่วสุมอย่างแน่นอน
อวี้ฮ่าวหรานจำได้เลือนรางว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขามักเห็นกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะในร้านอาหารริมทางอยู่บ่อย ๆ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นครั้งคราว หลังจากรับประทานอาหาร อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถไปส่งอีกฝ่ายที่บ้าน
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ ฉันไม่เคยไปที่แบบนั้นมาก่อนเลย”
หลังลงจากรถ ซูหว่านเอ๋อค้อมตัวลงแล้วขอบคุณอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะครับ”
รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสเคลื่อนตัวออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลซูอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที
ซูหว่านเอ๋อตกตะลึงเล็กน้อย ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเธอจะได้สติกลับมา
“ถ้า…ถ้าอยู่ด้วยกันตลอดเวลาต้องมีความสุขแน่เลย”
เธอพึมพำก่อนรู้สึกว่าตัวเองโลภเกินไปจึงอดรู้สึกผิดไม่ได้
“ซูหว่านเอ๋อนะซูหว่านเอ๋อ…เธอโลภเกินไปแล้ว…”
เธอหยิบหวีหยกออกจากกระเป๋าแล้วลูกมันเบา ๆ ก่อนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลซู
…
หลังจากแยกกับซูหว่านเอ๋อ อวี้ฮ่าวหรานก็อดคิดถึงความอ่อนโยนของเธอไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้อ่อนโยนราวกับสายชลทางใต้ของแม่น้ำแยงซี
“ชอบเธอเข้าแล้วสินะ”
เขาพึมพำขณะถามตัวเองว่าเขาจะละเลยความรู้สึกอย่างนั้นได้ยังไง
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเพราะออร่าจากวัตถุโบราณเหล่านั้น
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มจึงขับรถกลับบริษัท แต่จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ไปเยี่ยมหลิวว่านฉิงสองวันแล้ว
อาจารย์หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องถวนถวน เมื่อคิดอย่างนั้น อวี้ฮ่าวหรานจึงเปลี่ยนเป้าหมายทันที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ โรงพยาบาล
“…โอ้ หมายความว่า เขาช่วยเหลือคุณตอนบาดเจ็บปางตายเหรอคะ?”
“ครับ สถานการณ์ตอนนั้นอันตรายมาก ผมถูกกลุ่มชายชุดดำบุกมาทำร้ายอย่างกะทันหันเลยไม่ทันป้องกันตัว แต่จู่ ๆ ลูกพี่โจวก็ปรากฏตัวพร้อมคนนับร้อยแล้วช่วยชีวิตผมเอาไว้…”
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตูห้อง อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินเสียงสนทนาภายในห้อง เขาจึงอดอมยิ้มไม่ได้
ดูเหมือนว่าหวังเหยียนและหลิวว่านฉิงจะเข้ากันได้ดีทีเดียว
เขามองคนไม่ผิดจริง ๆ
“เอ๊ะ! อวี้ฮ่าวหราน คุณมาได้ยังไงคะ?”
หลังจากประตูห้องถูกเปิดออก หลิวว่านฉิงจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน
หวังเหยียนได้ยินอย่างนั้นจึงรีบหันกลับไปมองที่ประตูทันที
“ฮ่า ๆ ลูกพี่อวี้ วันนี้ว่างเหรอครับ?”
อวี้ฮ่าวหรานยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายนั่งลง
“แค่อยากมาเยี่ยมน่ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับลูกพี่อวี้ ผมจะทำสิ่งที่พี่มอบหมายให้ดีที่สุดแน่นอน!”
หวังเหยียนพูดได้ความมั่นใจ
“หลิวว่านฉิงสบายดีครับ หมอบอกว่าเธอใกล้หายดีแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า จากนั้นมองไหล่ที่พันด้วยผ้าพันแผลของอีกฝ่าย
“นายล่ะ? โดนค้างคาวพวกนั้นกัดไม่เป็นไรเหรอ?”
“ไม่ครับ เป็นเพราะมีกำลังภายใน มันเลยไม่ค่อยส่งผลกระทบอะไรกับผมเท่าไหร่”
หวังเหยียนใจเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้เป็นอมตะและเก่งกาจจะเป็นห่วงเขา แล้วจะไม่ให้ใจเต้นแรงได้ยังไง
อวี้ฮ่าวหรานสามารถมองทะลุจิตใจอีกฝ่ายได้ทันทีและยังรู้ดีว่าอีกฝ่ายเคารพตัวเองด้วยใจจริง ดังนั้นเขาจึงรับชายวัยกลางคนผู้ภักดีเป็นลูกน้อง
“จริงสิ ก่อนเข้ามาฉันได้ยินว่านายเคยโดยทำร้านมาก่อน วันนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เขาถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัยหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่
หวังเหยียนได้ยินอย่างนั้นก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง และใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมสติได้
“เรื่องนี้…เกิดเมื่อสองสามปีที่แล้ว ผมเพิ่งจะบรรลุแค่ขอบเขตพลังภายในขั้นกลาง”
“อืม วันนี้ฉันว่าง นายช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หวังเหยียนก็มีแววตาเศร้าสลด แต่ยังคงเล่าต่อ
“ตั้งแต่เด็กจนโต ผมและน้องสาวทำงานให้กับองค์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แต่ระหว่าง…ระหว่างทำภารกิจหนึ่ง องค์กรเราบังเอิญทำร้ายครอบครัวหนึ่ง และตั้งแต่นั้นหายนะก็เริ่มต้นขึ้น”
เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น เขาก็ปกปิดแววตาโศกเศร้าไม่ได้ต่อไป
“ตอนแรกผู้นำองค์กรไม่ได้ใส่ใจครอบครัวนั้นเท่าไหร่ แต่หลังจากเล่นสงครามประสาทกันอยู่หลายครั้ง อีกฝ่ายก็เริ่มโจมตีเรา ผู้ชายคนหนึ่งพาทหารรับจ้างบุกไปฐานที่มั่นและฆ่าคนในองค์กรเราจนหมดไม่เว้นแม้แต่ท่านผู้นำ ตอนนั้นพวกเราตกใจมาก แต่นั่นยังไม่ใช่หายนะที่แท้จริงหรอก…”
หวังเหยียนอธิบายรายละเอียดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นต่อไป