ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 101 รำลึกถึงสวนร้อยหญ้า
เฉินฉางเซิงเดินไปอยู่ข้างหน้าของหญิงสตรีวัยกลางคนผู้นี้ ประสานมือทำความเคารพ
มองเห็นคนที่มามิใช่ลั่วลั่ว เขามิได้หันกายกลับไป เป็นเพราะว่าเขารู้จักหญิงสตรีวัยกลางคนผู้นี้
การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนั้น เขาถูกม่ออวี่ส่งไปยังข้างใต้ของสระน้ำมังกรดำ สุดท้ายแล้วความยากลำบากอันตรายที่สุดจึงถูกสลัดทิ้ง เมื่อมาถึงพื้นดินก็เป็นในด้านของสระน้ำ สตรีวัยกลางคนผู้นี้เดิมทีก็อยู่ริมสระน้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเตรียมล้างมือหรือว่าซักเสื้อผ้า จึงหวุดหวิดจะถูกหนูดื้อรั้นทำให้ได้รับบาดเจ็บ
เขาชัดเจนยิ่งนักว่าแสงโคมไฟในสวนร้อยหญ้าคงจะมิใช่เพราะว่าลั่วลั่วกลับมา ทว่าเมื่อพบว่าไม่ใช่ลั่วลั่ว จึงอยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกหดหู่
มองไปยังป่าฤดูใบไม้ร่วงที่มืดสนิทบริเวณรอบๆ เขาตะลึงงันครุ่นคิด สตรีวัยกลางคนผู้นี้ยังคงเป็นคนในพระราชวัง แล้วจะปรากฏออกมาในสวนร้อยหญ้าได้อย่างไร มองจากอายุแล้ว สตรีวัยกลางคนผู้นี้คงจะเป็นนางในพระราชวัง ถ้าหากเป็นพระสนมเอกของจักรพรรดิองค์ก่อน เรื่องเหล่านั้นก็จะยุ่งยากเสียแล้ว
เขารู้สึกระมัดระวังตัว เดินไปยังด้านหน้าของสตรีวัยกลางคน ใช้มือวาดขึ้นมาถามสองประโยค เพราะว่ากังวลจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจ เขาพยายามรักษาท่าทางความสงบนิ่งไว้สุดชีวิต ท่าทางมือของภาษาใบ้วาดออกไปสบายอย่างยิ่ง ป้องกันที่จะกระตุ้นฝ่ายตรงข้าม
เขาถามนางว่าออกมาจากพระราชวังได้อย่างไร
สตรีวัยกลางคนจ้องมองเขาเงียบๆ มิได้เอ่ยตอบ
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน จึงวาดมือขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ความเร็วในครั้งนี้ช้ากว่าเดิม เขาเชื่อว่าความหมายได้แสดงออกไปชัดเจนอย่างยิ่ง ท่านออกจากพระราชวังมาที่นี่ได้อย่างไร
สตรีวัยกลางคนยิ้มออกมา ยกมือขวาขึ้น ในนิ้วมือมีกุญแจดอกหนึ่ง
สายตาของเฉินฉางเซิงดีอย่างยิ่ง แม้แสงในสวนร้อยหญ้าจะสลัวเล็กน้อย เขายังเห็นรอยสนิมที่อยู่บนกุญแจชัดเจน ยังมีรอยขูดสองขีดใหม่เอี่ยม อาจจะเป็นเพราะว่าถูกใช้ไปแล้ว มองดูแล้วกุญแจเก่าแก่ดอกนี้ ก่อนค่ำคืนนี้ก็คงไม่เคยใช้เป็นระยะเวลายาวนาน
วันนั้นเมื่อม่ออวี่ออกจากสำนักฝึกหลวง เขามองเห็นประตูเก่าที่อยู่บนกำแพงแห่งนั้น หรือว่ากุญแจดอกนี้เป็นการเปิดประตูบานนั้น มิน่าเล่าสตรีวัยกลางคนผู้นี้ถึงมีอำนาจเข้าออกพระราชวังได้ตามใจ เช่นนั้นฐานะของนางเมื่ออยู่ในพระราชวังก็คงจะไม่ต่ำ
สตรีวัยกลางคนชี้ไปยังโต๊ะหินด้านหน้า บอกสัญญาณให้เขานั่งลง
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด ทำตามคำสั่ง พลันนั่งลง
สตรีวัยกลางคนหันกายมองไปยังห้องไม้ที่อยู่ด้านในของสวนร้อยหญ้า เงียบนิ่งเป็นเวลานาน อยู่ๆ ก็ใช้มือซ้ายร่วงหล่นไปยังโต๊ะ เคาะเบาๆ สองที
มีกาน้ำชาอยู่บนโต๊ะ วางอยู่ด้านหลังตะเกียงน้ำมัน และยังมีถ้วยน้ำชาสองใบ
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนาง ยกกาน้ำชาขึ้น รินเต็มแก้วชาทั้งสอง ยื่นออกไปด้านหน้าสตรีวัยกลางคนด้วยความนอบน้อม
ชาที่อยู่ในถ้วยมิได้หอมฟุ้ง ทว่ามีกลิ่นหอมกรุ่น คงจะเป็นชาดำเฉินเหนียนเป็นแน่
ระยะห่างที่นั่งอยู่มีเพียงแค่โต๊ะกั้น ยิ่งมองเห็นชัดเจนเพิ่มขึ้น ดูจากใบหน้าของสตรีวัยกลางคน คงจะไม่ใช่พระสนมเอกของจักรพรรดิองค์ก่อน คงจะเป็นนางในที่อยู่รับใช้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ จนขนาดเป็นหัวหน้านางใน ทว่าที่เฉินฉางเซิงนอบน้อมต่อนาง มิได้เกี่ยวข้องกับฐานะของนาง แต่เป็นเพราะว่าอายุของนางแก่กว่าตนมาก
เขาคิดว่าความสูงวัยเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งก็เหมือนกับชาดำที่อยู่ในถ้วย ยิ่งวางไว้ยิ่งหอมกรุ่น ยิ่งล้ำค่า ยิ่งนานยิ่งคุณสมบัติข้างยิ่งปรากฏ เขาเสียดายในช่วงเวลาอันยากลำบากของตน ด้วยเหตุนี้จึงเคารพนบน้อมผู้อาวุโสเป็นพิเศษ ให้ความสำคัญกับจริยธรรมของผู้อาวุโส
สตรีวัยกลางคนยกถ้วยน้ำชาขึ้น ยื่นเข้ามาอยู่ริมฝีปาก ยกขึ้นจิบเบาๆ
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็น หากเทียบกับสตรีธรรมดาทั่วไป ริมฝีปากของนางจะหนากว่ามาก คล้ายกับว่ามีพลังมาก
การจ้องเขม็งไปยังริมฝีปากของสตรีที่เกรงว่ามีอายุมากกว่าตนไปมากทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่ง ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีมารยาทเสียเท่าไหร่ เขาตื่นจากภวังค์ รีบเลื่อนสายตาออก หลังจากนั้นเห็นถ้วยน้ำชาเหลือวางไว้บนโต๊ะหนึ่งใบ
ค่ำคืนดึกดื่นในสวนฤดูใบไม้ร่วงเงียบสงัดไร้ผู้คน เพราะเหตุใดถึงมีถ้วยน้ำชาสองใบเล่า
เขาจ้องมองไปยังสตรีวัยกลางคน ยกมือขึ้นวาดเพื่อถามว่าตนดื่มน้ำชาได้ไหม ก่อนหน้านี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เซวียนหยวนผ้อ ทำให้เหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ตอนนี้จึงรู้สึกกระหาย
สตรีวัยกลางคนมิได้มองมาที่เขา พยักศีรษะเล็กน้อย คงจะเป็นการอนุญาตกระมัง
เฉินฉางเซิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม พบว่าน้ำชาเข้มข้น ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของคน นี่เป็นชาล้ำเลิศที่ยากจะพบเจอ ถึงแม้ช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้ลั่วลั่วจะคารวะเขาด้วยชาที่ขึ้นชื่อเหล่านั้น ก็ไม่อาจนำมาเปรียบกับชาดำในกาน้ำชาที่ดูเหมือนหยาบและเรียบง่ายนี้
รสชาติของชาเป็นเช่นไร นอกจากคุณสมบัติดั้งเดิมของใบชา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคนชงชา
คนที่สามารถชงชาดำออกมาเช่นนี้ได้ คงจะไม่ธรรมดาเป็นแน่
เฉินฉางเซิงจ้องมองสายตาของสตรีวัยกลางคน ยิ่งทำให้รู้สึกเคารพนอบน้อม
เขาวางถ้วยน้ำชาลง รอคอยให้ฝ่ายตรงถามเอ่ยถาม
ทว่าแสงดวงดาวจมลงไปถึงก้นถ้วย สตรีวัยกลางคนก็มิได้แสดงสิ่งใดออกมา
นางนั่งเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะตัวนั้น จ้องมองกิ่งไม้ดอกหญ้าในสวนร้อยหญ้า นัยน์ตาคล้ายกับว่าไร้ความรู้สึกใดๆ ทว่ากลับมีความรู้สึกทุกอย่างอยู่ในนั้น
เพียงแค่ไม่มีเขาคนนี้
เฉินฉางเซิงรู้สึกอึดอัด รู้สึกตึงเครียด รู้สึกไม่คุ้นชินกับบรรยากาศการนั่งโดยไร้การสนทนา
ตามเวลาที่ผ่านไป เขาค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับบรรยากาศนี้ มิได้คิดสิ่งใด ช่วยรินน้ำชาให้กับสตรีวัยกลางคนและตนเอง หลังจากนั้นจึงดื่มน้ำชา เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ฟังเสียงแมลงร้องในสวนฤดูใบไม้ร่วงครั้งสุดท้าย จิตใจค่อยๆ สงบนิ่ง จนกระทั่งเริ่มเคลิบเคลิ้ม
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะคิดได้ เดิมทีตนชื่นชอบการนิ่งเงียบ เคยชินกับความเงียบสงัด
เขาไม่ชื่นชอบการสนทนา ตั้งแต่เยาว์วัยก็เป็นเช่นนี้
หลังจากมาถึงจิงตู ไม่ว่าจะอยู่ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้หรือว่าสวนรกร้างที่พระราชวัง เพราะว่าเหตุผลบางอย่าง เขาเอ่ยประโยคมากมายต่อฮูหยินสวี ซวงเอ๋อร์และยังมีแม่นางม่ออวี่ หลังจากถังซานสือลิ่วมาถึงสำนักฝึกหลวง ก็ไม่ได้รักวาจาดังทองคำเหมือนตอนเพิ่งรู้จักกันอีก กลับมีลักษณะของคนชื่นชอบการสนทนา เขาจึงต้องสนทนาเป็นเพื่อนโดยไม่รู้ตัว
เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกยากลำบากยิ่ง
ไม่มีผู้ใดกำหนด เมื่อสองคนนั่งด้วยกัน จะต้องสนทนา
นั่งเงียบๆ เช่นนี้ ดีอย่างยิ่ง
ถ้าหากจะต้องสนทนาก็ไม่ต้องใช้คำพูด เพียงแค่ใช้มือวาดออกมา เช่นนี้ก็ดีอย่างยิ่ง
เขาราวกับว่ากลับไปยังซีหนิง แม่น้ำสายเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังวัดเก่า เขาและศิษย์พี่อวี๋เหรินหยิบยืมแสงดวงดาว ท่องคัมภีร์เกี่ยวกับยาเงียบๆ เมื่ออ่านไปเจอตรงไหนที่ไม่เข้าใจ เขากับศิษย์พี่ก็จะใช้มือวาดคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงอ่านตำราเงียบๆ ต่อ
แม่น้ำสายเล็กๆ เวลานั้น ก็เหมือนกับสวนร้อยหญ้าเวลานี้ เงียบนิ่งอย่างยิ่ง สบายอย่างยิ่ง
เมืองซีหนิงเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญอย่างยิ่ง เมื่อเข้าสู่ยามค่ำคืนทั่วทั้งผืนก็มืดสนิท แสงดวงดาวส่องสว่างอย่างยิ่ง ร่วงหล่นลงมายังพื้นดินราวกับหิมะ หลังจากเขามาถึงจิงตู นอกจากผู้คนที่มีชีวิตวุ่นวายที่นี่ สิ่งที่ไม่เคยชินที่สุดก็คือโคมไฟยามค่ำคืนรวมถึงแสงโคมไฟที่คล้ายกับว่าเปลี่ยนแปลงเป็นมืดสลัว
เพราะสายฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาหลายครา ชำระล้างท้องฟ้าของเมืองจิงตู บวกกับในสวนร้อยหญ้าที่นอกจากแสงไฟริบหรี่ของตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะก็มิได้มีแสงใดๆ โคมไฟของหอธนูตรงพระราชวังไกลออกไปก็ถูกป่าไม้แน่นขนัดบดบัง แสงดวงดาวคล้ายกับแปรเปลี่ยนเป็นส่องสว่างขึ้นมา
แสงดวงดาวผ่านทะลุกิ่งไม้ในป่าฤดูใบไม้ร่วง ทาบทับบนใบหน้าของเขา
เขาแหงนหน้ามองดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า คิดไปถึงวัดเก่าในเมืองซีหนิงและยังมีศิษย์พี่ กลับถูกแสงดวงดาวแยงตาทำให้ต้องหรี่ตาขึ้นมา
แสงละอองสีเงินส่องแสงสะท้อนลงมา รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นสิ่งที่สะอาดสะอ้านเช่นนั้น
เขาหรี่ดวงตา ความอ่อนเยาว์ที่เวลาปกติซุกซ่อนเอาไว้เพียงชั่วครู่ก็ปรากฏออกมา
เขายังเป็นดังเช่นวันปกติที่น่าใกล้ชิดมิปาน ยิ่งมีความน่ารัก
พอดีกับยามนี้ สตรีวัยกลางคนชักสายตาที่มองไปยังสวนร้อยหญ้า จ้องมองไปยังเขา
นางจ้องมองเขาเงียบๆ
เขาหรี่ดวงตา ไม่อาจสังเกตแบ่งแยกได้ กำลังคิดถึง กำลังรำลึกถึง
นางจ้องมองเขาอย่างเลื่อนลอย
ความคิดถึงกับการรำลึกถึงของนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง ทั้งยังทำได้เพียงแค่คิดถึงและรำลึกถึง
นางยกมือขวาขึ้นมา ร่วงหล่นบนใบหน้าของเขาแผ่วเบา ลูบไล้เชื่องช้า
เฉินฉางเซิงตกตะลึงงัน เบิกตากลมโต จ้องมองไปยังสตรีวัยกลางคน
เขาไม่คุ้นเคยกับความใกล้ชิดของร่างกายเช่นนี้ ตั้งแต่เยาว์วัยก็ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสตรีวัยกลางคนผู้นี้ เดิมทีเขาก็ไม่รู้จัก เพียงแค่เคยพบเจอสองครา
ตามจิตใต้สำนึกเขาอยากจะหลบหลีก กลับมองเห็นสายตาของสตรีวัยกลางคน
นัยน์ตาทั้งคู่ราวกับมหาสมุทรดวงดาว มีความรู้สึกสลับซับซ้อนไร้ที่เปรียบ สุดท้ายค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าและทุกข์ทนอ่อนแอ
คิดไปถึงที่สตรีวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ตลอดทั้งปีใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวัง ไม่รู้ว่าเคยผ่านเรื่องราวโหดร้ายโศกเศร้ามามากน้อยเท่าไหร่ เขาใจไม่แข็งพอที่จะผละออกไป จึงทำได้เพียงยินยอมให้ฝ่ามือของนางลูบไล้ไปบนใบหน้าเขาเบาๆ เพียงแค่ความรู้สึกนั้นแปลกประหลาดจริงๆ
ฝ่ามือที่อบอุ่นโอบอ้อมอารีของสตรีผู้นี้ กำลังลูบไล้ใบหน้าของเขาเชื่องช้า ร่างกายเขาแปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่ออย่างยิ่ง จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนานถึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ทันใดนั้น สตรีวัยกลางคนบีบคลึงแก้มของเขา ราวกับว่าเป็นผู้ใหญ่หยอกล้อเด็กทารกก็มิปาน
เฉินฉางเซิงมิอาจนั่งสงบนิ่งได้ รีบลุกขึ้น ถอยข้างหลังสองก้าว ทำความเคารพพลางเอ่ยว่า “เห็นทีข้าต้องกลับแล้ว”
คำพูดได้เปล่งออกไปแล้ว เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนหูหนวก จึงรีบยกมือขึ้นมาวาดลงไปสองที
สตรีวัยกลางคนเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของเขารุนแรงเช่นนี้ จึงหัวเราะออกมา
อาการขบขันของนางแน่นอนว่าไม่มีเสียง ทว่าท่าทางพยักศีรษะขึ้นๆ ลงๆ อย่างเปิดเผยเช่นนั้นทำให้ผู้คนที่มองเห็นล้วนแต่รู้ว่า นางหัวเราะออกมาเต็มที่
ไม่รั้งรอให้เฉินฉางเซิงจากไป สตรีวัยกลางคนยืดตัวลุกขึ้น เดินมุ่งไปยังด้านในของสวนร้อยหญ้า
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จึงเดินตามไป
สายลมยามค่ำคืนพัดแผ่วเบา ใบไม้ร่วงหล่นมายังโต๊ะหิน หมุนวนยังกาน้ำชาและถ้วยชาทั้งสองใบ
เฝ้ารอคอยมายี่สิบปี กาน้ำชากับถ้วยน้ำชาและยังมีเตาต้มน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ในที่สุดก็ได้ทำการต้อนรับคนผู้เคยเป็นเจ้าของ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไป จะต้องเฝ้ารออีกกี่ปี
สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงเหนือความคาดหมายก็คือ สตรีวัยกลางคนมิได้ไปสำนักฝึกหลวง แต่มุ่งไปยังด้านในของสวนร้อยหญ้าโดยตรง จนกระทั่งมาถึงด้านหน้ากำแพงพระราชวังเก่าแก่ลายพร้อย เมื่อมองประตูบานนั้น เขาถึงจะล่วงรู้ ประตูที่นางกับม่ออวี่เดินเข้าไปนั้นไม่เหมือนกัน
สตรีวัยกลางคนไม่ได้สนใจเขา และไม่ได้สนใจที่เขากำลังเดินตาม หยิบกุญแจเสียบเข้าไป มีเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้น กุญแจถูกเปิดออก มีเสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูไม้เก่าบานนั้นถูกเปิดออก นางจึงเดินเข้าไป
จนกระทั่งถึงเวลานี้ เฉินฉางเซิงมั่นใจว่าไม่มีเรื่องใด จึงวางใจได้ คลายมือที่กุมด้ามกระบี่แน่นขนัดนั้น มองภาพด้านหลังของสตรีวัยกลางคน ตะโกนออกไปเบาๆ ปรารถนาจะกล่าวบางอย่างออกไป คิดไม่ถึงประตูบานนั้นได้ปิดลงด้วยความเร็วตรงหน้าเขา
จากไปเช่นนี้แล้วหรือ เขางงงัน จนกระทั่งคิดได้ว่านางไม่ได้ยินเสียง ถึงจะปล่อยวางเสีย
เมื่อประตูไม้ปิดเข้าหากัน คล้ายกับว่ารวมเข้าเป็นหนึ่งกับกำแพงพระราชวัง
เขาจ้องมองประตูบานนั้น รู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยวใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่
เหตุใดถึงเป็นเรื่องที่คล้ายคลึงกับภูตผีเทพเซียนในตำราเต๋า
ทว่ากลิ่นน้ำชาฝาดกลับหอมขึ้นมาอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ ยังคงลอยวนเวียนติดอยู่ในลิ้นไม่ไปไหน
การสัมผัสลูบไล้ที่อบอุ่นนั้น ยังคงอยู่บนใบหน้าเขา
เขาส่ายหน้า หันกายจากไป
ประตูทางด้านที่เฉินฉางเซิงมองไม่เห็น เป็นหนทางที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
บริเวณรอบๆ ของหนทางปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและไม้เลื้อย ภายใต้ไม้เลื้อย มีด่านค่ายกลอย่างน้อยหกชนิดซึ่งสามารถสังหารผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาวขึ้นไปได้
พื้นผิวของหนทางเป็นก้อนอิฐที่แห้งสนิท
สตรีวัยกลางคนผู้นั้น เหยียบย่ำก้อนอิฐมุ่งไปทางเบื้องหน้าเชื่องช้า ท่าทางค่อยๆ แปรเปลี่ยน
เพียงแค่ไม่กี่สิบย่างก้าว พลังอันน่าเกรงขามพลันกลับมายังร่างกายของนางอีกครา
ใบหน้าที่คล้ายกับว่าปกติธรรมดา แปรเปลี่ยนเป็นงดงามไร้สิ่งใดเปรียบ
มิใช่เป็นความงดงามที่อ่อนช้อย แต่เป็นความงดงามที่เจิดจรัสไร้สิ่งใดเปรียบ
เมื่อนางเดินออกมาจากเส้นทางสายนั้น ทิวทัศน์บริเวณรอบๆ พลันเปลี่ยนแปลง
พระราชวังที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า เป็นภาพที่โอฬารงามวิจิตรยิ่ง