ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 102 อยู่ที่แท่นกานลู่
เซวียสิ่งชวนจูงกิเลนเมฆแดง ออกมาต้อนรับอยู่ที่ทางเข้า ผู้แกร่งกล้าท่านนี้คืออันดับที่สองของขุนพลเทพทั้งสามสิบแปดคนแห่งต้าลู่ เวลานี้กิริยาที่แสดงออกมาเคารพนอบน้อมจนถึงขีดสุด กิเลนเมฆแดงที่ถูกเขาจูงอยู่สุดที่จะทนได้ ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด ไร้หนทางที่จะยืนนิ่งได้ หางกิเลนราวกับลูกตุ้มเพลิงที่กวัดแกว่ง มองแล้วน่าสงสารเวทนาอย่างยิ่ง
สตรีวัยกลางคนผู้นี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เซวียสิ่งชวนก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้พาหนะของตนถึงแปลกไปเช่นนี้ หลังจากยืนขึ้นกล่าวว่า “จักรพรรดินีไร้เทียมทาน…”
สตรีวัยกลางคนเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ต้าโจว ทั่วทั้งโลกนี้เป็นบุคคลที่น่าเคารพที่สุด
“มิได้เกี่ยวกับข้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” นางคิดไปถึงประตูบานนั้นก่อนหน้านี้ ภาพที่หนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงกุมด้ามกระบี่ภาพนั้น เดินไปอยู่ด้านหน้ากิเลนเมฆแดง ยื่นมือเข้าไปลูบไล้คอเขาเบาๆ หลังจากนั้นชั่วครู่ กิเลนเมฆแดงจึงสงบนิ่งลงมา
“ครั้งต่อไปห่างไกลออกเสียหน่อย มิฉะนั้นมันอาจจะเจ็บปวดจนเสียชีวิตจริงๆ” นางมองเซวียสิ่งชวนพลางกล่าวออกไป
เซวียสิ่งชวนได้ยินประโยคนี้จึงแข็งทื่อ ในใจครุ่นคิดหรือจะเป็นเพราะว่าหนุ่มน้อยธรรมดาที่นามว่าเฉินฉางเซิง
“เจ้าคิดว่าเขาธรรมดาจริงๆ หรือ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับว่ามองทะลุจิตใจคนว่ากำลังคิดสิ่งใด กล่าวอย่างมิได้ใส่ใจ “ถ้าหากเขาเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาจริงๆ การชุมนุมไม้เลื้อยเพราะเหตุใดขณะประลองกับโกว่หานสือถึงมิได้เป็นรองเล่า ถ้าหากไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย ก็คงจะถูกหนุ่มน้อยเหล่านั้นผลักให้ตกลงสู่เกียรติของข้า”
เซวียสิ่งชวนเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าเวลานี้ เขาไม่สะดวกที่จะกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แสดงท่าทางไม่ชื่นชอบสำนักฝึกหลวง เช่นนั้นเวลากลางวัน ที่เขาจัดการเรื่องกลุ่มฝูงชนซึ่งไปล้อมรอบสำนักฝึกหลวง เกรงว่าจะทำผิดมหันต์ไป
ไข่มุกราตรีบนแท่นกานลู่มีเพียงหนึ่งดวงที่ส่องแสงเป็นประกาย แพะดำที่ชื่อว่าเฮยอวี้ตัวนั้นยืนอยู่ด้านข้างไข่มุกราตรี ก้มหัวเสียดสีบนไข่มุกราตรี ม่ออวี่อยู่ที่โต๊ะเขียนตำรามีซึ่งฝนหมึกอยู่ด้านหน้า สายลมยามค่ำคืนจากท้องฟ้าที่สูงพัดปลิวไสวเส้นผมที่อยู่ข้างแก้ม ทำให้ยุ่งเหยิงเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเสียง นางหันกายกลับไปมอง เห็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาบนแท่น จึงรีบเข้าไปประคอง
“ฝ่าบาท สายฝนฤดูใบไม้ร่วงชำระล้างท้องฟ้าหลายคราแล้ว ค่ำคืนนี้เหมาะแก่การดูดวงดาว ฝ่าบาทกลับมาช้าเสียแล้ว”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ย “ค่ำคืนนี้ข้าดูมาแล้ว”
ม่ออวี่ตะลึงงันเล็กน้อย เอ่ยถาม “ฝ่าบาทดูที่ไหนเพคะ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยตอบ “สวนร้อยหญ้า”
ม่ออวี่ได้ยินพลันรู้สึกตกตะลึง ในใจครุ่นคิดในพระราชวังผู้ใดต่างล่วงรู้ หลังจากจักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคต จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ไปที่สวนร้อยหญ้าอีกเลย เพราะเหตุใดค่ำคืนนี้ถึงไปได้เล่า
“วันนี้เจ้าไปสำนักฝึกหลวงมาหรือ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับว่าถามไปตามสบาย
นางมิได้ใช้คำว่าได้ยินมาว่าเจ้าไปสำนักฝึกหลวง เพราะนางเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องการกล่าววกไปวนมา
ม่ออวี่ในจิตใจรู้สึกเยือกเย็น แล้วจะกล้าซุกซ่อนปิดบังสิ่งใด กล่าวตอบเสียงเบา “เพคะ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยกมือขวาขึ้น ลูบไล้ไปบนแก้มที่ใกล้แตกปริของม่ออวี่เบาๆ กล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเจ้าทำรึ”
ม่ออวี่รู้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถามก็คือเหตุการณ์นองโลหิตที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันสองคราในวันนี้ รวมถึงที่ตระกูลเทียนไห่แสดงออกมาด้วย
นางไม่ชัดเจนถึงอากัปกิริยาถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะกล้ายอมรับได้อย่างไร กล่าวเสียงเบา “ข้าน้อยมิกล้า”
“หากพวกเขามิได้ถามเจ้า แล้วจะกล้าลงมือได้อย่างไร สำนักฝึกหลวงห่างจากพระราชวังใกล้เพียงนี้”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองนางกล่าวอย่างเย็นชา มือขวาลูบไล้บนแก้มของนางเบาๆ ต่อ
ม่ออวี่สังเกตเห็นริมฝีปากที่คล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ใจเยือกเย็นถึงขีดสุด รู้สึกก่อเกิดความหวาดกลัว
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เวลานี้เพียงแค่คิดถึงหนุ่มน้อยก่อนหน้านี้ กำลังเปรียบเทียบความรู้สึกมือที่ได้สัมผัส
ม่ออวี่ก้มหน้าพลางกล่าวว่า “เรื่องหนังสือสมรสจะต้องแก้ไข…สวีโหย่วหรงใช้หนังสือสมรสเป็นข้ออ้าง ไม่ยินยอมสมรสกับชิวซานจวิน การรวมตัวของทางทิศเหนือทิศใต้…”
“การรวมตัวของทางทิศเหนือทิศใต้แล้วเป็นอย่างไร โหย่วหรงไม่ปรารถนาจะสมรสก็ไม่ต้องสมรส เพียงแต่ว่า…ไม่มีผู้ใดเชื่อคำพูดของข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ชักมือกลับ มือไขว้หลังเดินไปยังด้านข้างแท่นกานลู่ จ้องมองจิงตูที่อยู่ภายใต้ความมืดมิดยามราตรี น้ำเสียงคล้ายกับว่าเงียบเหงา “พวกเจ้ามักจะคิดว่าใต้หล้านี้ข้าสำคัญ ความรู้สึกของหญิงสาวผู้หนึ่งก็สละได้แล้วจะนับเป็นอะไรเล่า ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่เชื่อ แม้แต่โหย่วหรงก็ไม่เชื่อ เพราะเหตุนี้…จึงใช้วิธีการทั้งหมดทั้งมวล”
ม่ออวี่หลังจากนิ่งเงียบจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อไม่สนใจเรื่องการสมรส ข้าก็คิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้แปลกประหลาด เมื่อปรากฏตัวก็มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างยิ่ง”
นางกล่าวว่าเล่ห์เหลี่ยม ชี้ไปที่การสมรสของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงตอนนี้ส่งผลกระทบต่อการก่อตั้งนโยบายประเทศอย่างย่ำแย่ และตอนนี้เขาอยู่สำนักฝึกหลวงมีการใช้อำนาจเก่ามาทำสัญลักษณ์ต่อต้านกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หมุนกาย น้ำเสียงเฉยเมย “มิใช่ว่าเจ้าให้เขาเข้าสำนักฝึกหลวงหรอกหรือ”
ท่าทางม่ออวี่แข็งทื่อ กล่าวว่า “ใช่แล้ว แต่ข้าคิดว่าในความมืดจะมีคนผลักคลื่นลูกใหญ่ หยิบยืมจวนขุนพลเทพตงอวี้และจดหมายฉบับนั้นของสวีโหย่วหรงจู่โจม นำให้ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ผิดพลาด จึงทำให้เฉินฉางเซิงปรากฏต่อหน้าฝูงชน”
“ปรากฏแล้วเป็นอย่างไร”
“เขาแซ่เฉิน ข้าสงสัยว่าคนเหล่านี้คิดแทบตายที่จะให้คนจิงตูคิดเกี่ยวโยงไปถึงราชวงศ์”
“…เช่นนั้นเจ้าตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง”
“อาจารย์ของเขาแท้จริงแล้วเป็นนักพรตจี้…หลังจากนั้นก็ตรวจสอบไม่พบแล้ว ข่าวคราวที่มาจากซีหนิง วัดเก่าแห่งนั้นยังคงอยู่ ทว่าไม่มีคนแม้แต่คนเดียว”
ได้ยินชื่อของนักพรตจี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เงียบนิ่งเป็นเวลานาน อยู่จึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว”
ม่ออวี่รู้สึกตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว ที่นั่นมีโชคชะตา เพียงแค่ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นดาวโชคชะตาของตนได้ชัดเจน นางก็ไม่สามารถ
แต่นางมีความมั่นใจว่าสามารถควบคุมโชคชะตาของตนได้ สวรรค์ก็ไม่อาจก่อกวน
หนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นดาวปฏิปักษ์ของตนหรือ
น่าหัวเราะอย่างยิ่ง
นางเอ่ยว่า “จิงตูกว้างขวาง”
ม่ออวี่แปลกใจ ไม่เข้าใจความหมายคำทั้งสี่
“ต้าลู่ก็กว้างขวาง ท้องฟ้ายิ่งกว้างขวาง ทว่ามิอาจเปรียบได้กับจิตใจของข้า”
นางค่อยๆ กล่าวออกมา “หรือว่าเพียงสำนักแห่งหนึ่งข้ายังรับมือไม่ได้”
ม่ออวี่ยิ่งตกตะลึง เกรงว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ชื่นชอบ นางเตรียมที่จะคัดค้าน
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มิได้หันกายกลับมา ยกมือขวาขึ้น เป็นสัญญาณว่าเรื่องนี้มิต้องกล่าวอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางแสดงอากัปกิริยาต่อสำนักฝึกหลวง และก็เป็นครั้งสุดท้าย
อากัปกิริยาที่นางมีต่อสำนักฝึกหลวง ตัดสินโดยอากัปกิริยาที่นางมีต่อเฉินฉางเซิง นางทราบเกี่ยวกับอาการป่วยของเฉินฉางเซิง เกิดความสงสารเวทนา ไม่ว่าเขาจะถูกใครใช้ผลประโยชน์ หรือว่าจะเป็นอย่างไร นางตัดสินใจที่จะให้โอกาสเขา เพื่อพิสูจน์โอกาสการมีชีวิตอยู่ของตนเอง
“ไม่ต้องไปรบกวนเด็กหนุ่มผู้นั้นอีก อย่างน้อยก็ก่อนการสอบใหญ่”
ม่ออวี่ยังหลงเหลือความหวาดผวา ยิ่งได้ยินประโยคนี้ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ จึงกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดเป็นการสอบใหญ่ด้วยเพคะ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยว่า “เด็กหนุ่มคนหนึ่งจนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ จิตใจมุ่งมั่นอยากจะเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ เจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจหรือ เจ้าไม่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่น่าสนใจหรือ”
ม่ออวี่คิดไปถึงลักษณะซื่อๆ พูดน้อยของเฉินฉางเซิง ในใจครุ่นคิดมีตรงไหนที่น่าสนใจ
หลังจากนั้นจ้องมองเงาที่อยู่ริมแท่นกานลู่ นางอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกับวันปกติ ทว่ากลับเอ่ยไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วมีอะไรที่ไม่เหมือน
“ย้ายผู้คนเหล่านั้นไปที่พระราชวังหลี หลังจากนี้ข้าจะไม่ให้ผู้ใดเข้าพักหรือไปก่อกวนความเงียบสงบของสถานที่แห่งนั้นอีก ด้วยเหตุนี้เจ้าไม่ต้องให้ข้าฝันลมๆ แล้งๆ …อืม ถึงแม้จะฝัน แล้วจะกล่าวถึงเรื่องน่ายินดีสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ ไม่ต้องกล่าวเรื่องน่าหงุดหงิดใจ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืน จ้องมองพื้นที่ว่างบางแห่งไร้ตำแหน่ง กล่าวเงียบๆ “วันนี้ข้าไปดื่มน้ำชาที่สวนร้อยหญ้า”
ตำแหน่งในท้องฟ้ายามราตรีแห่งนั้นตอนนี้ทั่วทั้งผืนหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า ทว่าก่อนหน้านี้ยี่สิบปี ที่แห่งนั้นมีดวงดาวที่เปล่งแสงสว่างหาสิ่งใดเปรียบได้อยู่ดวงหนึ่ง
ดาวดวงนั้นคือดาวจักรพรรดิ
ดาวดวงนั้นมีความสำคัญต่อนางอย่างยิ่ง ก็เหมือนกับสวนร้อยหญ้า
หลายร้อยปีก่อน นางถูกขับไล่ออกจากพระราชวัง จึงฝึกบำเพ็ญเพียรที่สวนร้อยหญ้า หลังจากนั้นจึงพำนักอยู่ที่นั่นมาหลายปี
ในระยะเวลาหลายปีนั้น ทุกค่ำคืนจักรพรรดิองค์ก่อนก็จะออกมาจากประตูบานนั้น มาพบกับนาง
นางเป็นแม่ชีเต๋า อีกทั้งเป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ ไม่รู้ว่าถูกผู้คนในราชสำนักแอบสอดส่องมากน้อยเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นคนใกล้ชิดที่อยู่ข้างกายก็ไม่รู้ว่าจะเป็นหูเป็นตาให้ผู้อื่นหรือไม่ ถึงแม้จะกล้าพบเจอกับจักรพรรดิองค์ก่อนก็ไม่สะดวกจะทำเรื่องราวเกินไปกว่านี้
สิ่งที่นางกับจักรพรรดิองค์ก่อนทำที่สวนร้อยหญ้ามากที่สุดก็คือการดื่มชา การสนทนา และมีหยดน้ำตามากมาย
บางครั้งในค่ำคืนดึกดื่น ไร้ผู้คนเคียงกาย นางกับจักรพรรดิองค์ก่อนทำการกระทำที่ใกล้ชิดที่สุดก็ไม่เกินเลยไปกว่าการลูบไล้ใบหน้า จ้องมองกันและกันอย่างโง่เขลา
“วันนี้ข้าเจอหนุ่มน้อยผู้หนึ่งที่เหมือนกับท่านเป็นอย่างยิ่ง…”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนยิ้มพลางเอ่ยออกมา
ทว่าเพียงระยะเวลาต่อมา ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของนางพลันหุบลง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชา จนขนาดที่ว่าเยือกเย็น “ประจวบเหมาะ เขาก็แซ่เฉินเช่นกัน”
สายฝนฤดูใบไม้ร่วงประเดี๋ยวตกประเดี๋ยวหยุด มืดครึ้มและหนาวเย็นน่ารำคาญใจ ไม่เหมือนสายฝนฤดูใบไม้ผลิที่ซาบซึ้งกินใจ
ยังคงเป็นความรู้สึกของฤดูใบไม้ร่วงที่กระจ่างชัดเจน คล้ายกับว่าอะไรก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ความเป็นจริงแล้วได้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แสดงความเห็นในเหตุการณ์เกี่ยวกับจิงตูแม้แต่คำเดียว ทว่ามีคนที่มีคุณสมบัติล่วงรู้การมองคนของนางก็ทราบดี
เมื่อจิงตูจึงฟื้นคืนกลับมาสงบอีกครั้ง
คณะเจรจาจากทางทิศใต้ สำนักจวนราชวังหลี ราวกับว่าอยู่ห่างจากโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง
แม้แต่ผู้ส่งสูงก็อาจจะพบเจอองค์หญิงลั่วลั่วได้บางครั้ง และยังไม่มีข่าวคราว ได้ยินว่าอยู่ที่พระราชวังหลี
ตระกูลเทียนไห่ทุกหนทุกแห่งเสาะแสวงหาสิ่งของอัศจรรย์ล้ำค่า เล่ากันว่าเพราะว่าปีหน้าจัดเตรียมการสมรสระหว่างเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับองค์หญิงผิงกั๋ว และเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกลับไปยังด่านยงเสวี่ย
บรรดานักเรียนที่ผ่านการสอบเตรียมของการสอบใหญ่ มีบรรดาสำนักที่เรียกเข้าไปศึกษา มีบางคนที่เตรียมตัวอย่างหนักอยู่ที่โรงเตี๊ยม
ศูนย์รวมการใช้ชีวิตในจิงตูรวมถึงหัวข้อในการวิพากษ์วิจารณ์ ได้เปลี่ยนยิ่งนานยิ่งใกล้กับการสอบใหญ่
ครั้งหนึ่งเคยมีหัวข้อที่ว่า
สำนักฝึกหลวงขณะนี้เงียบนิ่งอย่างยิ่ง
หลังจากสายฝนฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านไปก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาก่อกวนที่สำนักฝึกหลวง สำนักฝึกหลวงก็ไม่ได้ซ่อมแซมประตูสำนักที่ผุพังไป บานประตูที่ผุพังยังคงอยู่ เป็นการหัวเราะเยาะตระกูลเทียนไห่อย่างเงียบๆ นี่เป็นล้วนแต่เป็นการกระทำที่มิได้น่าสนใจใดๆ
ในจิงตูยังคงคิดถึงทิวทัศน์การปกครองของจักรพรรดิองค์ก่อน คนที่เกลียดชังตระกูลเทียนไห่ก็มีไม่น้อย ประจำของสำนักฝึกหลวงที่ผุพังกลายเป็นทิวทัศน์ที่ขึ้นชื่อ ทุกวันก็จะมีคนมาดู เป็นการแสดงถึงการต่อต้านตระกูลเทียนไห่จนถึงกระทั่งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เวรยามผู้นั้นของสำนักฝึกหลวงก็เป็นทิวทัศน์ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นจินอวี้ลวี่บุคคลในตำนานผู้เคยเข้าร่วมการต่อสู้กับเผ่ามารในครั้งก่อนผู้นี้ อยู่ที่อื่นอยากจะพบเจอก็หาใช่ว่าจะพบเจอได้ และก็มิใช่ว่าทุกวันจะพบเจอได้
ส่วนบรรดาหนุ่มน้อยที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง…ผู้คนที่หยุดเดินคอยสอดส่องมองอยู่ด้านนอกประตูสำนักฝึกหลวง วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม เพียงแค่เสียงวิจารณ์นั้นต่างแผ่วเบายิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าด่าทอด้วยคำหยาบแม้แต่ประโยคเดียว
เพราะว่าตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งจิงตูต่างรู้ดี ในสำนักฝึกหลวงมีก้อนหินจำนวนมาก…
ประตูใหญ่ของสำนักฝึกหลวงแปรเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่ง ทว่ากับมีคนน้อยอย่างยิ่งที่กล้าเข้าไปในทิวทัศน์แห่งนี้
แน่นอนว่า มีคนที่เดิมทีก็มิได้สนใจต่อเรื่องเหล่านี้ จนขนาดที่ว่าสามารถนอนหลับอยู่ที่ทิวทัศน์แห่งนี้ได้
ป่าฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกหน้าต่างอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องเป็นสีเหลืองทอง งดงามอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงชักสายตากลับจากการมองนอกหน้าต่าง จ้องมองผมสีดำราวน้ำตก รู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิดแท้จริงแล้วนี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่