ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 104 คิดไปถึงคนผู้หนึ่ง
“ใช่แล้ว กังวลมากเกินไป”
นอกจากนอนไม่หลับ ความกังวล เฉินฉางเซิงได้กล่าวเกี่ยวกับอาการป่วย ตรงกับอาการของนาง สุดท้ายคล้ายกับว่ายังเอ่ยถึงสิ่งใดไม่พอดี
“พอแล้ว!”
ใบหน้าของม่ออวี่แดงฝาดขึ้นมา กล่าวว่า “ข้ายอมรับว่าเจ้าพูดมานั้นถูกต้อง บอกข้ามาเสีย ว่าจะต้องรักษาอย่างไร”
เฉินฉางเซิงรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยถาม “แม้จะเป็นแพทย์หลวงก็ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของเจ้าได้ทันที หากคลี่คลายเพียงชั่วคราวไม่มีปัญหา หรือว่าเจ้าไม่ได้ไปพบแพทย์รึ”
ม่ออวี่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะพลางกล่าวออกมา “การมีโรคแต่ไม่ปรารถนาบอกแพทย์นั่นมิใช่สิ่งที่ดี”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” ม่ออวี่จ้องมองเขา ทนไม่ได้จึงเอ่ยออกมา
เป็นขุนนางที่ใกล้ชิดได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในราชวงศ์ต้าโจวไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่คอยจ้องมองทุกการกระทำทุกย่างก้าวของนาง อาการป่วยบางอย่าง นางสามารถไปพบได้ อาการป่วยบางอย่าง นางมิอาจไปพบได้ ตอนแรกเริ่มนางคิดว่าอาการป่วยอาจจะเกี่ยวข้องกับชีพจรของหัวใจ นางจึงระงับความคิดที่จะเชิญแพทย์หลวงเสีย
กังวลเกินไปรึ นางมีความกังวลอะไรเกินไปรึ
ทั่วทั้งต้าลู่ต่างล่วงรู้ ทั้งตระกูลของนางถูกสังหาร นี่เป็นสิ่งที่นางกังวลที่สุดหรือ
หรือว่านางยังมีจิตใจที่อาฆาตแค้นต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ
ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่อาจรักษาได้
นางไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ว่าตนมีความกังวลมากเกินไปจนถึงขนาดไม่สามารถนอนได้
จนกระทั่งวันนี้ถูกเฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา
นางจ้องมองดวงตาของเฉินฉางเซิง คิดอยากจะสังหารเขาหรือว่าควรเชื่อความเสี่ยงที่ปรากฏออกมามากกว่ากัน
“เจ้าสามารถรักษาความลับให้ข้าได้หรือไม่” นางเอ่ยถาม
นางกับเฉินฉางเซิงเป็นศัตรูกัน ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร นางเชื่อมั่นคำสัญญาของเฉินฉางเซิง เฉินฉางเซิงคิดง่ายดายอย่างยิ่ง ในเมื่อเริ่มถามแพทย์เพื่อขอยา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็มิใช่เป็นความสัมพันธ์แบบศัตรู แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย
เมื่อกลายเป็นแพทย์ เป็นธรรมดาที่จะต้องรักษาความลับให้กับผู้ป่วย เขาจึงพยักหน้า
“จะรักษาอย่างไร จะต้องจับชีพจรหรือไม่”
ม่ออวี่คิดได้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของนักพรตจี้ จึงเกิดความเชื่อใจในฝีมือการแพทย์ของเขา พลันยื่นมือออกไปยังด้านหน้าของเขา พลางกล่าวว่า “ดีที่สุดไม่ต้องเอายาต้ม”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเพราะเหตุใดนางกล่าวว่าดีที่สุดไม่ต้องเอายาต้ม เพราะว่าหากมีกากยาก็ยากที่จะเก็บเป็นความลับ…กำลังคิดนี่เป็นหญิงสาวที่คล้ายกับมีหน้ามีตา ในความเป็นจริงใช้ชีวิตละเอียดระมัดระวังรอบคอบ ทุกวันราวกับว่าเผชิญกับหุบเหวลึก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความรู้สึกเกลียดชังได้เบาบางลงบางแล้ว
เฉินฉางเซิงยื่นมือไปทาบทับบนข้อมือของนางเบาๆ เวลาผ่านไปไม่นานก็วินิจฉัยโรคออกมา “ไม่ต้องกินยาก็ได้ เพียงแต่หายช้าเล็กน้อย”
ม่ออวี่ผ่อนคลายลง รอคอยประโยคต่อไปของเขา
“คลายเรื่องในจิตใจ เดินออกกำลังกายให้มาก ใช้ลูกเดือยต้มผสมกับต้นซานชีหั่นแผ่นหนา หลังจากนั้น…”
เฉินฉางเซิงจ้องมองรูปร่างหน้าตาของนาง เครื่องประทินโฉมที่หลงเหลือได้ล้างสะอาดสะอ้านแล้ว กลับยังมีความรู้สึกแห้งอยู่ หลังจากลังเลชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “มีโรคบางอย่าง ต้องรอหลังจากสมรสแล้วจึงดีขึ้น”
ม่ออวี่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นถึงจะเข้าใจ แก้มทั้งสองพลันก็เกิดสีแดงฝาดขึ้นมา ระหว่างคิ้วกลับเป็นความรู้สึกอ่อนแอกระหน่ำออกมา
นางถลึงตาทั้งคู่ดุร้ายใส่เขา ประโยคใดๆ ก็มิได้เอ่ยออกมา ร่างกายค่อยๆ รางเลือน หลังจากนั้นหายไป
เฉินฉางเซิงเดินไปถึงด้านข้างประตู จ้องมองภาพด้านหลังของหญิงสาวที่หายเข้าไปในป่าลึก ส่ายศีรษะ
ขณะเดินเข้าไปในป่าที่ระหว่างใบไม้หนาแน่น ได้ยินเสียงสวบสาบ ม่ออวี่รู้สึกจิตใจวุ่นวาย สายลมฤดูใบไม้ผลิเย็นเล็กน้อยทะลุผ่านกระทบด้านหน้า ใบหน้าของนางกลับยังคงร้อนผะผ่าวเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ถูกเฉินฉางเซิงกล่าวว่าร่างกายนางไม่เข้าที่เข้าทาง นางรู้สึกทั้งอับอายทั้งโมโห สุดท้ายถูกเขารู้ว่าตนยังเป็นสาวพรหมจรรย์ ยิ่งทำให้อับอายและโมโหเพิ่มขึ้น
ถ้าหากเฉินฉางเซิงเป็นแพทย์หลวงอาวุโสที่มากด้วยความรู้และประสบการณ์ก็คงจะมิเป็นไร ทว่าไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็เป็นเพียงหนุ่มน้อยที่อ่อนต่อโลก
ใบไม้ที่ร่วงแตกขาดตามย่างก้าวที่เดิน สายลมฤดูใบไม้ร่วงสั่นไหวตามแขนเสื้อ ทะลุเข้ามายังป่าฤดูใบไม้ร่วงในสำนักฝึกหลวง มาถึงยังด้านหน้ากำแพงพระราชวัง นางสงบนิ่งลงอย่างเชื่องช้า หันกลับไปมองอาคารหลังเล็กที่เห็นรางๆ อยู่ด้านหลังป่า คิดไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่นางทำ รู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ไม่ได้อยู่ในสายตานาง ยังกล่าวประโยคที่ไร้ยางอายมากมายชักนำเขา ถึงแม้ตอนนี้ได้ล่วงรู้ความลับนั้นแล้ว…หนุ่มน้อยมิใช่ศัตรูของตน เมื่อนางเผชิญหน้ากับเขากลับผ่อนคลายอย่างยิ่ง ทว่า…เรื่องราวที่ได้ทำในวันนี้ไร้เหตุผลเหลือเกิน
พวงแก้มทั้งสองข้างที่เพิ่งจะลดอุณหภูมิลง เพียงชั่วพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นร้อนผะผ่าว ในดวงตาคู่สวยก่อเกิดความรู้สึกอับอายโมโห ถ้าหากมีคนล่วงรู้ว่าวันนี้นางมาทำเรื่องบางอย่างที่สำนักฝึกหลวง เกรงว่าทั่วทั้งเมืองจิงตูก็คงจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา
ทันใดนั้น นางแปรเปลี่ยนเป็นสงบลง ยืนอยู่ด้านหน้ากำแพงพระราชวังในป่าเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด กิ่งไม้ที่ร่วงหล่นพัดมารวมกันที่ชายกระโปรง ค่อยๆ สะสมเป็นหนาขึ้น ทำให้เงาร่างกายของนางกลายเป็นผอมเล็กน้อย โดดเดี่ยวอย่างยิ่ง
ตามความรู้สึกของฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่มขึ้น ฤดูหนาวก็คงไม่ไกลมาก การสอบใหญ่ยิ่งนานยิ่งใกล้เข้ามา
ความสงบที่สำนักฝึกหลวงได้ต้อนรับครั้งนี้ยาวนานอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงรักและทะนุถนอมความสงบนี้อย่างยิ่ง นำเวลาทั้งหมดใช้กับการฝึกบำเพ็ญเพียรและอ่านตำรา เซวียนหยวนผ้อก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ถังซานสือลิ่วถึงแม้ยังคงคิดถึงโลกที่ดอกไม้บานสะพรั่งด้านนอกกำแพง ทว่าเห็นสหายทั้งสองเป็นเช่นนี้ จึงทำได้เพียงบีบเคล้นความขยันหมั่นเพียรออกมา
อยู่ในหอตำรา ทุกค่ำคืนเฉินฉางเซิงดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก ถึงแม้ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ การบำเพ็ญเพียรไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทว่าเขามิได้ท้อถอยแม้แต่น้อย ทุกช่วงต่อจากนั่งสมาธิใคร่ครวญถึงการรับเอาล้วนแต่ทำอย่างตั้งใจละเอียดรอบคอบ มิได้มีจุดใดที่ผิดพลาดตกหล่น
แขนขวาที่ได้บาดเจ็บของเซวียนหยวนผ้อดีขึ้น อีกทั้งความเร็วในการเปลี่ยนแปลงยิ่งเพิ่มขึ้น ถ้าหากอาการบาดเจ็บทั้งหมดสามารถรักษาให้หายทันก่อนฤดูหนาวมาถึง ภายในการชี้แนะของเฉินฉางเซิงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรวิทยายุทธ์ของนิกายเหล่านั้นในหอตำรา ไม่แน่อาจจะเร่งรีบทันการสอบใหญ่ก็เป็นได้
ถังซานสือลิ่วฝึกบำเพ็ญเพียรมิได้หยุด จำนวนพลังปราณแท้และระดับความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไม่หยุด ขั้นถอดจิตยิ่งนานยิ่งมั่นคง มาถึงยังธรณีประตูในการทะลวงขั้นทะลวงอเวจีนานแล้ว ทว่าเขาก็เหมือนกับบรรดาสหายที่อยู่บนประกาศชิงอวิ๋น หากก่อนหน้านี้มิได้เตรียมตัวให้พร้อม เขาจะไม่เสี่ยงกับก้าวนั้นเป็นแน่
จากขั้นถอดจิตถึงขึ้นทะลวงอเวจี นี่เป็นด่านที่ลาดชันสู่อันตรายของความเป็นความตายที่สุด เกรงว่าถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพรสวรรค์ ก็ยังจะต้องเตรียมตัวเป็นเวลายาวนาน ถึงแม้จะเป็นชิวซานจวินเมื่อตอนนั้นก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม นั่นยังเป็นเพราะหอกระบี่เขาหลีซานยังมอบเม็ดยาช่วยฟื้นฟูพลังขั้นพื้นฐานให้เขา
ตอนนี้หากมองแล้ว ถังซานสือลิ่วคงจะเป็นนักเรียนคนแรกของสำนักฝึกหลวงที่เผชิญกับการตรวจสอบในธรณีประตูแห่งความเป็นความตาย เมื่อเป็นนักเรียนคนแรกของสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงก็คงไม่นิ่งดูดายมองเขาต่อสู้เพียงลำพังเป็นแน่ ในความเป็นจริง เฉินฉางเซิงได้เตรียมตัวไว้มากมายแล้ว
ก่อนอื่นก็คือเม็ดยา สองสามวันนี้ เขากับถังซานสือลิ่วถือโอกาสเวลากลางคืนแอบเข้าไปในสวนร้อยหญ้าสามครั้ง เก็บยาสมุนไพรและผลไม้วิญญาณที่บนโลกนี้เห็นได้น้อยยิ่งเป็นจำนวนมาก รอคอยเมื่อต้องการ เขาก็จะเริ่มปรุงยาตามวิธีที่อาจารย์นักพรตจี้สอนให้แก่ตน เขามั่นใจว่าตนสามารถปรุงยาไม่ด้อยไปกว่าหอกระบี่เขาหลีซานและสำนักเทียนเต้า รองลงมาก็คือวิชา ถึงแม้เขาจะชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ กลับเริ่มอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับการนั่งถอดจิตภายใน หวังว่าเมื่อเวลามาถึงสามารถช่วยถังซานสือลิ่วผ่านด่านได้อย่างราบรื่น
ขณะกำลังขโมยยาสมุนไพรในสวนร้อยหญ้านั้นเขาตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันผิดต่อหลักการบางอย่างของเขา แต่เมื่อความเป็นความตายอยู่ข้างหน้า เขาจึงไม่คิดมาก เพียงแค่เมื่อมองเห็นตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะตัวนั้น เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดไปถึงสตรีวัยกลางคนผู้นั้น
หลังจากนั้นเขาคิดไปถึงลั่วลั่ว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะลั่วลั่วสร้างประตูบานนั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะลั่วลั่วเคยมาพักที่สวนร้อยหญ้าเป็นระยะเวลายาวนาน ถ้าหากไม่ใช่เพราะลั่วลั่วให้เสนาธิการจินอยู่สำนักฝึกหลวง คอยแอบช่วยเหลือเมื่อพวกเขาขโมยยาสมุนไพร ทั้งหมดทั้งมวลก็คงไม่เกิดขึ้น
ในค่ำคืนวันหนึ่ง เฉินฉางเซิงอ่านบันทึกจากขั้นถอดจิตเข้าขั้นทะลวงอเวจีของผู้อาวุโสพลันคิดได้ว่าตนได้ลืมเลือนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป
ก็คือลั่วลั่ว
ทันใดนั้น เสื้อด้านหลังของเขาถูกเหงื่อที่ไหลพลั่กเปียกชื้นขึ้นมา