ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 112 บนประกาศชิงอวิ๋นมีคนใหม่ (1)
เดินลงบันได มาถึงยังทางเดิน นอกจากจวนรับรองที่เงียบสนิทไร้เสียงของคณะทูตทางทิศใต้ ด้านนอกประตูของสำนักอื่นมีเสียงผู้คนโกลาหลวุ่นวาย ป่าฤดูใบไม้ร่วงด้านข้างทางเดินมีเงาคนอยู่ทุกคนทุกแห่ง ยังมีคนจำนวนมากที่ยืนอยู่บนทางเดิน สำนักจวนราชวังหลี กระทรวงสิบสามชิงเหย้ารวมถึงหอจงซื่อ ต่างมีนักบวชปรากฏออกมา จนถึงขนาดมีนักบวชของพระราชวังหลีออกมาดูเรื่องที่คึกคักนี้ด้วย การที่คึกคักเช่นนี้ เป็นเพราะว่าประโยคที่ทิ้งไว้เมื่อตอนเช้าก่อนไปตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ของถังซานสือลิ่ว
นักบวชที่นำทางเฉินฉางเซิงและพวกออกมาจากตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์คงมีตำแหน่งไม่ต่ำในพระราชวังหลี เขาเห็นเหตุการณ์ที่โกลาหลวุ่นวาย หัวคิ้วขมวดขึ้นอย่างไม่ยินดี ก่นด่าเสียงต่ำไม่กี่ประโยค ก็มีนักบวชของสำนักที่รักษาความระเบียบเรียบร้อยออกมา นำนักเรียนที่คิดวางแผนจะสกัดกั้นเฉินฉางเซิงและพวก ไล่ให้ไปอยู่ด้านข้างทางเดิน
เฉินฉางเซิงและพวกเดินบนทางเดิน มีนักเรียนจำนวนหลายร้อยคนยืนอยู่ในป่าฤดูใบไม้ร่วงข้างทางเดินจ้องมองพวกเขา เหมือนกับภาพตอนเช้าอย่างยิ่ง เพียงแค่ตอนนี้ สายตาของบรรดานักเรียนคนหนุ่มยิ่งเพิ่มความเหยียดหยาม ไม่รู้ว่าเป็นนักเรียนของสำนักไหน ตะโกนลั่นออกมา “ถังถัง หากเจ้ากล้าหาญก็อย่าเดินหนีสิ!”
ประโยคนี้ได้ตอบโต้ประโยคตอนเช้าของถังซานสือลิ่ว ก่อเกิดเป็นเสียงหัวเราะทั่วทั้งผืน ตามลักษณะนิสัยของถังซานสือลิ่ว แน่นอนว่าจะไม่ยินยอมเดินต่อไป แต่นักบวชท่านนั้นจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็นด้วยสองตา อีกทั้งเขาก็ไม่อยากจะให้สำนักฝึกหลวงเกิดความยุ่งยากมากเกินไป โมโหพลางกล่าวออกไป “ข้าไม่ชอบที่จะถูกเรียกว่าถังถัง”
เห็นถังซานสือลิ่วกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ พวกนักเรียนหนุ่มยิ่งรู้สึกฮึกเหิม พวกเขารู้ว่านักบวชที่มีสีหน้าเยือกเย็นเป็นคนจัดการเรื่องราวเข้มงวดระดับไหน จึงไม่มีผู้ใดกล้ายืนบนทางเดิน ทว่ากลับไม่ยินยอมที่จะเสียโอกาสโต้ตอบสำนักฝึกหลวงเป็นแน่
“เฉินฉางเซิง นอกจากเจ้าอาศัยจับเอวองค์หญิงลั่วลั่ว เจ้ายังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่”
“ถ้าหากมิใช่เพราะว่าองค์หญิงลั่วลั่วจัดการ เมื่อครู่เจ้าแม้แต่เดินลงบันไดก็คงมิกล้าใช่หรือไม่”
“ก็ไม่เห็นหรือ เขายังสามารถนำหนังสือสมรสออกมาป้องกันตัวได้”
“ใช่แล้ว ว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง…จุ๊ๆ ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินเล่า”
ในป่าสองข้างทางเดินเกิดเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นไม่หยุด เต็มไปด้วยความเหยียดหยามกับยั่วเย้า จะมีความหมายว่าไม่กล้าล่วงเกินได้อย่างไร จนกระทั่งมีคนเริ่มเสียงดังเอะอะโวยวายว่าเขาเป็นคนเกาะชายกระโปรงผู้หญิง
สีหน้าของถังซานสือลิ่วยิ่งนานยิ่งไม่น่ามอง เฉินฉางเซิงก้มหน้าลง เดินไปข้างหน้าต่อ กลับคล้ายว่าไม่ได้ยิน มือทั้งสองข้างอยู่ในแขนเสื้อ มองไม่เห็นว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นดังเช่นเหตุการณ์สายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่สำนักฝึกหลวงถูกโจมตี เขาชัดเจนอย่างยิ่งการจงใจเกิดขึ้นเพราะเหตุใด มิใช่เป็นเพราะว่าคำพูดโจมตีเมื่อยามเช้า และก็มิได้เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์สาวน้อยของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีก แต่เป็นเพราะว่านาง
หญิงสาวที่นามว่าสวีโหย่วหรง
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มิอาจโทษนาง และมิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับนางทั้งสิ้น
เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับเงียบๆ เสีย
ทันทีทันใดนั้น เสียงที่หัวเราะเยาะราวกับกระแสน้ำที่หวนย้อนกลับ เฉินฉางเซิงแหงนหน้าขึ้น พบว่ามีนักเรียนหนุ่มผู้สุภาพสงบเสงี่ยมยืนอยู่บนทางเดิน ภายใต้การด่าทอของนักบวชของพระราชวังหลี อีกทั้งภายใต้ความกดดันของบรรดานักบวชทั้งหลาย บนทางเดินไม่มีคนแม้แต่คนเดียว เป็นทางเดินที่กว้างขวางเย็นชา ทว่านักเรียนผู้นี้กลับยืนอยู่บนทางเดิน
ซูม่ออวี๋แห่งสำนักจวนราชวังหลี
ซูม่ออวี๋ทำความเคารพนักบวชของพระราชวังหลีก่อน หลังจากนั้นประสานคารวะ เฉินฉางเซิงคารวะกลับ เขามีตำแหน่งพิเศษในสำนักจวนพระราชวังหลี มีตำแหน่งดังเช่นจวงห้วนอวี่ของสำนักเทียนเต้า ถึงแม้เป็นนักบวชที่กุมอำนาจอยู่ในมือก็ยังให้เกียรติ ด้วยเหตุนี้นักบวชจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วขึ้น ไม่ได้กล่าวตำหนิแต่อย่างใด
“วาจาของพวกเขาไม่มีมารยาทอย่างยิ่ง ข้าเป็นตัวแทนของสำนักจวนราชวังหลีขออภัยกับเจ้า” ซูม่ออวี๋กล่าว
เฉินฉางเซิง กล่าวตอบ “ไม่จำเป็น”
ซูม่ออวี๋ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดทางให้ ยังคงยืนอยู่บนทางเดิน
ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “นี่ดูเหมือนว่าจะต้องการต่อสู้รึ”
ซูม่ออวี๋ส่ายศีรษะ ทำความเคารพไปยังนักบวชที่ลั่วลั่วให้มาส่ง กล่าวว่า “ขุนนางเทพฮั่วอยู่ที่นี่ พวกเราเป็นนักเรียน ไหยเลยจะกล้ากำเริบเสิบสาน”
นักบวชแซ่ฮั่วท่านนั่นท่าทางเย็นลง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
“ไม่ต่อสู้แต่ไม่ให้ทาง เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ดวงตาของถังซานสือลิ่วหรี่ขึ้นเล็กน้อย
ซูม่ออวี๋ไม่ได้สนใจเขา มองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยว่า “ข้ามีบางอย่างจะคุยกับเจ้า”
เฉินฉางเซิง กล่าวว่า “เชิญพูด”
“เจ้าไม่เคยคิดว่าเพราะเหตุใดทุกคนไม่มีมารยาทกับเจ้าเช่นนี้หรือ” ซูม่ออวี๋เอ่ยถาม
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบ เพราะว่าคำตอบว่าชัดเจนยิ่งนัก
“วาจาของทุกคนถึงแม้จะไม่น่าฟัง ประกอบกับความอิจฉา ไร้มารยาทอย่างยิ่ง ทว่า…มิได้หมายความว่าไม่ได้สนใจ ด้วยเหตุนี้ขณะนี้สิ่งที่เจ้ามี ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่เจ้ามี”
ซูม่ออวี๋มองเขาเงียบๆ เอ่ยว่า “เพราะ เจ้าไม่แข็งแกร่งพอ”
ประโยคนี้เมื่อกล่าวออกไป ท่าทางของถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อเปลี่ยนไป ถึงแม้จะเป็นนักบวชของสำนักจวนราชวังหลีหรือว่าหอจงซื่อก็แสดงท่าทางที่ไม่เห็นด้วย
“ใช่แล้ว อยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย เจ้ากับโก่วหานสือประลองกัน คล้ายกับว่าช่วยให้สำนักฝึกหลวงชนะหอกระบี่เขาหลีซาน…ทว่าข้าไม่ได้คิดเช่นนี้ ข้าเพียงแค่คิดว่าเจ้าโชคดี มีสหายที่แข็งแกร่งมากมาย องค์หญิงลั่วลั่วมีสายเลือดพรสวรรค์ของตระกูลไป๋ตี้ และเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ อีกทั้งเจ้าก็รู้จักนาง นอกจากโชคที่ไร้สิ่งใดจะมาอธิบายได้แล้ว สหายถังถังก็เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนุ่มที่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ถ้าหากเขามิได้หยิ่งยโสโอหังจนเกินไป ก็จะไม่แตกหักกับสำนักเทียนเต้า แล้วจะเข้าสำนักฝึกหลวงได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด
“อะไรเรียกว่าแข็งแกร่ง ตนเองแข็งแกร่ง หรือจะต้องให้สหายแข็งแกร่งไปด้วยกัน นี่ถึงเป็นการแข็งแกร่งอย่างแท้จริง การสอบใหญ่ครานี้ ข้าไม่ได้เพ้อฝันที่จะเข้าไปอยู่อันดับแรกของประกาศ ทว่าข้าหวังว่าผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในสำนักจวนราชวังหลีเหนือกว่าสำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารา กลายเป็นอันดับต้น…ของสำนักไม้เลื้อยทั้งหก หรืออย่างน้อย ข้าจะไม่เป็นภาระของสำนักจวนราชวังหลี แล้วเจ้าเล่า เมื่อการสอบใหญ่มาถึง ถ้าหากเจ้ากับลั่วลั่วเข้าทดสอบ ยังจะสามารถฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบดังเช่นการชุมนุมไม้เลื้อยได้อีกหรือ แตกฉานในตำราแล้วเป็นอย่างไร มีความรู้ไม่น้อยกว่าโก่วหานสือแล้วเป็นอย่างไร ถ้าหากโก่วหานสือไม่ได้ผ่านขั้นทะลวงอเวจี แล้วอาศัยอะไรสามารถอยู่อันดับสองของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพได้ แม้แต่ชิวซานจวินยังเกรงใจเขามากขึ้น”
ซูม่ออวี๋จ้องมองเขาท่าทางเคร่งขรึม พลางกล่าวต่อ “เพียงแค่อ่านตำราก็ไม่อาจใช้ได้ คนเช่นนี้อยู่ในชนบทมีจำนวนมาก เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถช่วยสหายได้หรือ ก็ไม่ เป็นพวกเขาที่ช่วยเจ้า ไม่มีพวกเขา เจ้าก็เป็นเพียงแค่หนอนหนังสือที่ไร้ประโยชน์ เจ้าก็เป็นเพียงแค่ภาระของสำนักฝึกหลวงเท่านั้น”
ถังซานสือลิ่ว เอ่ยถากถาง “ฟังแล้วคล้ายกับว่าเจ้าใส่ใจความสำเร็จของสำนักฝึกหลวงยิ่งกว่าพวกข้าเสียอีก”
“แน่นอน”
ซูม่ออวี๋เงยหน้าขึ้น มิได้ปิดบังความรู้สึกของตนแม้แต่น้อย “ข้าเป็นคนของอำนาจเก่า ข้าก็เป็นดังเช่นคนของอำนาจเก่าในพระราชวังหลีและบรรดาสำนักต่างๆ ที่ปรารถนาให้สำนักฝึกหลวงสว่างรุ่งโรจน์ในภายภาคหน้า เมื่อหวนรำลึกถึงไร้สิ่งใดเปรียบ พวกข้าล้วนแต่มุ่งหวังที่จะเห็นสำนักฝึกหลวงฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ข้าถึงตั้งใจเอ่ยประโยคเหล่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะขยันอีกสักเล็กน้อย หวังว่าเมื่อการสอบใหญ่มาถึงอย่างน้อยก็สามารถชำระล้างกระดูกสำเร็จ ถึงแม้จะเป็นภาระของสำนักฝึกหลวง ทว่าก็อย่าได้เป็นจนน่าเกลียดเกินไปเลย”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็เปิดทางให้
เฉินฉางเซิงเห็นคนที่เคร่งขรึมจนขนาดพูดน้อยเช่นนี้น้อยอย่างยิ่ง รู้สึกอึดอัด จนปัญญาอย่างยิ่ง ทันใดนั้นคิดไปถึงตนเอง ก็เริ่มสงสารถังซานสือลิ่วและพวกเขา
ถังซานสือลิ่วไม่คิดว่าซูม่ออวี๋กับเฉินฉางเซิงเป็นคนประเภทเดียวกัน ถึงแม้จะมองว่าพูดน้อย มีความคิดเห็นเป็นของตนเองอีกทั้งยังยืนหยัดอีกด้วย ทว่าเฉินฉางเซิงจะนำความคิดของตนมาบีบบังคับให้คนอื่นเห็นด้วยน้อยอย่างยิ่ง
เขารู้ว่าความรู้สึกของเฉินฉางเซิงย่ำแย่ มองซูม่ออวี๋ยิ่งไม่สบายใจ ในใจครุ่นคิดเจ้าจะเอาอะไรมาชี้นำอนาคตของสำนักฝึกหลวงเล่า
เขาหัวเราะเยาะ เอ่ยว่า “คุยเล่นเช่นนี้ มีความหมายรึ”
ซูม่ออวี๋ท่าทางทะนงตน เอ่ยออกไป “เมื่อไหร่ที่เจ้าอยู่อันดับในประกาศชิงอวิ๋นเหนือกว่าข้า เจ้าค่อยมาบอกข้าว่าวันนี้ที่ข้ากล่าวออกมานั้นผิด”
ถังซานสือลิ่วจัดแขนเสื้อ กล่าวยิ่งทระนงออกไป “เช่นนั้นก็สักตา”
ท่าทางซูม่ออวี๋ท่าทางพูดน้อย เอ่ยออกไป “ข้าไม่ต่อสู้กับเจ้า”
ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน เอ่ยถาม “เจ้าไม่ต่อสู้กับข้า แล้วข้าจะเหนือกว่าเจ้าได้อย่างไร”
ซูม่ออวี๋กล่าว “รับปากกับเจ้าสำนักไว้ ก่อนการสอบใหญ่จะรักษาร่างกายและพลัง จะไม่ลงมือเป็นแน่”
ถังซานสือลิ่วโกรธจัด เอ่ยถาม “เช่นนี้ก็ไม่ต้องการศักดิ์ศรีเลยหรือ”
นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก่นด่าออกมาพร้อมเพรียงกัน ซูม่ออวี๋กลับมีท่าทางไม่เปลี่ยนแปลง มิได้มีความรู้สึกสะทกสะท้านใด เอ่ยถาม “เมื่อถึงการสอบใหญ่ก็จะเจอกันเอง เจ้าจะรีบร้อนอะไร”
ถังซานสือลิ่วกล่าวด้วยความโมโห “ไม่ใช่เพราะว่าข้าไร้หนทางจะตอกหน้าเจ้าก่อนการจัดอันดับของประกาศชิงอวิ๋นหรอกหรือ”
ซูม่ออวี๋กล่าวอย่างสงบ “เจ้าคิดเช่นนี้ได้หรือ”
ถังซานสือลิ่วใกล้จะกลัดกลุ้มจนบ้าคลั่งแล้ว ตัดสินใจไม่ใส่ใจนักบวชแซ่ฮั่ว และก็ไม่ไปสนใจนักบวชที่อยู่ข้างทางเดินเหล่านั้น มือเลื่อนไปกุมด้ามกระบี่ อยากจะไปฟันซูม่ออวี๋สักสองที
เฉินฉางเซิงยื่นมือไปกดบ่าของเขา ส่ายศีรษะ
เขาเห็นได้ชัดเจน ซูม่ออวี๋หนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์ของสำนักจวนราชวังหลี มิได้ชื่นชอบให้คู่ต่อสู้ขายหน้า เพียงแค่มีลักษณะนิสัยส่วนตัวแปลกไปบ้างเท่านั้น ทำตามกฎระเบียบมากเกินไป หรืออาจจะกล่าวว่ายึดมั่นในประเพณีเก่าแก่ ให้ความสำคัญกับพลังอำนาจ ให้ความสำคัญกับการจัดลำดับในประกาศชิงอวิ๋น กลับรักษาคำมั่นสัญญาดียิ่ง ไม่ต้องกล่าวว่าเวลานี้มีผู้อาวุโสสำนักจวนราชวังหลีจำนวนมากที่ไม่ให้ถังซานสือลิ่วลงมือ ถึงแม้ถังซานสือลิ่วจะใช้กระบี่ฟันไปแล้ว ตามลักษณะนิสัยของซูม่ออวี๋ ไม่แน่ว่าอาจจะยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้ฟันเสียก็เป็นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกของเขาเวลานี้ก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ถึงแม้ถังซานสือลิ่วจะฟันซูม่ออวี๋จนเป็นดอกไม้ หรือว่าพูดจนเป็นดอกไม้ ก็ไร้หนทางที่จะแก้ไขคำพูดที่ซูม่ออวี๋พูดเช่นนั้นได้
การไม่สามารถบำเพ็ญเพียรเป็นความผิดพลาดที่เห็นได้ชัดเจนของเขา ด้วยเหตุนี้คำพูดของเขาจึงไม่มีหนักแน่นเพียงพอ ด้วยเหตุนี้จึงถูกคนชี้จมูกด่าทอว่าเกาะชายกระโปรงสตรี ตอนนี้เขาคิดเพียงว่าอยากจะแก้ปัญหาการชำระล้างกระดูก ถึงจะสามารถแก้ไขอคติที่ผู้คนบนโลกใบนี้มีต่อตน เขาถึงจะสามารถพิสูจน์ตนเองในการสอบใหญ่ได้
แน่นอน ในด้านของการพิสูจน์ตนเอง การที่เขาเข้าร่วมการสอบใหญ่ยังมีสาเหตุที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งยังเป็นเงื่อนไขให้เขาจำเป็นต้องแก้ปัญหาการชำระล้างกระดูกเช่นเดียวกัน วันนี้ซูม่ออวี๋เพียงแค่นำปัญหามาพูดพลิกแพลงแค่นั้น
ในเหตุการณ์ยังมีอีกหนึ่งคนที่ไม่สบายใจ เซวียนหยวนผ้อจ้องมองซูม่ออวี๋ กลั้นเอาไว้ยาวนานถึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา “เจ้ามีร่างกายเป็นลูกไก่ตัวเล็กๆ ยังกล้าที่จะสอนพวกข้าว่าอะไรแข็งแกร่งอีกหรือ”
“เจ้า? รอเจ้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ค่อยมาคุยกับข้า”
ซูม่ออวี๋ปรายตามองเขา หันกายกลับไปยังสำนักจวนราชวังหลี มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นต่อเซวียนหยวนผ้อ
หากเปรียบเทียบกับร่างกายสูงใหญ่ของหนุ่มน้อยเผ่ามาร ซูม่ออวี๋เป็นเพียงหนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง จ้องมองคล้ายกับว่าผอมอ่อนแอกว่ามากเป็นแน่ ทว่าประโยคนั้นของเขากลับมีแรงอย่างยิ่ง
ความแข็งแกร่ง สุดท้ายแล้วมิได้เกี่ยวข้องกับร่างกาย
หนึ่งคนเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับที่สามสิบสามของประกาศชิงอวิ๋น อีกคนเพิ่งจากชนเผ่าแม่น้ำแดงมาถึงเมืองจิงตูที่เจริญรุ่งเรือง หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่เพิ่งเริ่มการฝึกบำเพ็ญเพียร ทั้งสองคนจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไรเล่า
เซวียนหยวนผ้อครุ่นคิด พบว่าตนไม่รู้จะตอบโต้กลับฝ่ายตรงข้ามอย่างไร
เฉินฉางเซิงยิ้มจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกขออภัย
ตอนนี้เอง เซวียนหยวนผ้อได้ยินเสียงคนตนโกนเรียกตนเอง
เสียงนั้นไกลอย่างยิ่ง แหลมเล็ก ทว่าเขาฟังชัดเจนอย่างยิ่ง มั่นใจว่ามีคนร้องเรียกตนเอง
เขาหันกายจ้องมองไปยังด้านในของพระราชวังหลี งงงวยเอ่ยถาม “ผู้ใดเรียกข้า”
การได้ยินและสายตาของเผ่าปีศาจดีกว่าเผ่ามนุษย์ไม่น้อย เขาได้ยินเสียง ทว่านักเรียนเผ่ามนุษย์ที่อยู่บนหนทางกลับไม่ได้ยิน คิดว่าเขาเขินอายจึงกำลังแสร้งทำเป็นโง่เขลาเบาปัญญา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ทว่าหลังจากชั่วครู่ เสียงนั้นก็ดังจากด้านในของพระราชวังหลีมาถึงยังที่พวกเขาอยู่
เสียงนั้นกังวานอย่างยิ่ง กล่าวได้ชัดเจนยิ่งนัก
ไม่มีผู้ใดร้องตะโกนชื่อของเซวียนหยวนผ้อ
มีคนกำลังประกาศชื่อของเซวียนหยวนผ้อ
“เซวียนหยวนผ้อ สำนักฝึกหลวงแห่งเมืองจิงตู ลำดับที่ 148 ของประกาศชิงอวิ๋น”
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามาในป่า ใบไม้สีเหลืองพัดกวัดแกว่ง ด้านข้างทางเดินทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ
เซวียนหยวนผ้ออ้าปากค้าง ไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุใดขึ้น
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมายังเขา
พวกนักเรียนคนหนุ่มในป่าฤดูใบไม้ผลิตกตะลึงไร้คำเอื้อนเอ่ย
หรือว่าประกาศชิงอวิ๋นเริ่มเปลี่ยนลำดับแล้วหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร
แล้วเจ้าเด็กคนนี้มีสิ่งใดให้อยู่ในอันดับได้เล่า