ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 120 สะพานอุดรใหม่
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านป่าไม้ กระทบบนใบหน้าก่อให้เกิดความเย็น เขาจึงรู้สึกตัว ถึงได้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับมังกรดำที่ถามสตรีวัยกลางคนก่อนหน้านี้ ช่างเป็นการกระทำที่เสี่ยงเสียเหลือเกิน จึงอดไม่ได้ที่จะเสียใจ เวลานี้เอง ในป่าฤดูใบไม้ร่วงมีเสียงโกรธเคืองของเซวียนหยวนผ้อดังแว่วออกมา คงจะเป็นเพราะถังซานสือลิ่วขโมยกินอาหารมื้อดึกของเฉินฉางเซิง เขายิ้มพลางส่ายศีรษะ มิได้คิดถึงปัญหานั้นอีกต่อไป พลันเดินมุ่งไปยังสำนักฝึกหลวง
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นทิ้งอักษรคำว่าน้ำแข็งอยู่บนโต๊ะหิน เป็นเบาะแสให้เฉินฉางเซิงเพื่อตามหามังกรดำตัวนั้น นี่คล้ายกับว่าเป็นการทดสอบ มังกรดำเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง ร่างกายก็มีความเกี่ยวข้องกับหิมะน้ำแข็งอยู่แล้ว
ปัญหาอยู่ตรงที่ น้ำแข็งเดิมทีเป็นสิ่งของที่พบได้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูใบไม้ร่วงที่ยังไม่ถึงฤดูหนาว คูคลองใหญ่ทุกทีของจิงตูที่อยู่ใกล้กับแผ่นหิน บางคราวสามารถมองเห็นเศษเกล็ดน้ำแข็ง ยิ่งสถานที่เหนือขึ้นไปอีก เกรงว่าจะบนผิวแม้แต่น้ำก็จะเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมา ถึงแม้จะเป็นกลางฤดูร้อน ตำหนักขององค์หญิงองค์ชายที่สูงส่งเหล่านั้นจัดเตรียมโรงน้ำแข็งเพื่อเก็บก้อนน้ำแข็งไว้ไม่น้อย
สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เดินไปยังหนทางแห่งความเยือกเย็น น้ำแข็งเป็นสิ่งของที่พบเจอได้ง่ายดาย จัดเตรียมอ่างน้ำหนึ่งใบตามสบาย นำมือยื่นเข้าไปข้างใน รอเพียงชั่วครู่ก็ปรากฏน้ำแข็งเต็มอ่าง เป็นสถานที่ดังเช่นพระราชวังหลี ยิ่งมีค่ายกลสำหรับผลิตน้ำแข็งโดยเฉพาะ เป็นใต้เท้าสังฆราชและบรรดานักบวชระดับสูงเหล่านั้นแบ่งปันให้ใช้
เฉินฉางเซิงพบปัญหาบางอย่าง เพราะว่าน้ำแข็งที่จิงตู…พบได้ง่ายดายเกินไป
เมื่ออยู่ที่ซีหนิง ปลายฤดูหนาวเขากับศิษย์พี่มักจะไปเก็บก้อนน้ำแข็งริมลำธารบนภูเขาเสมอ หลังจากมาถึงจิงตู โอกาสที่ได้สัมผัสกับน้ำแข็งมีน้อยมาก ทว่าตอนนี้มาคิดดูแล้ว ความทรงจำที่สัมผัสกับน้ำแข็งครั้งล่าสุด เป็นเมื่อเขากับลั่วลั่วออกจากสำนักฝึกหลวงเดินเที่ยวบนตรอก คนทั้งสองซื้อแท่งไอศกรีมกินด้วยกัน
เขาจดจำได้ขึ้นใจ เวลานั้นเป็นช่วงกลางฤดูร้อน ผู้คนที่ท่องเที่ยวบนตรอกทางเดินราวกับถูกถักทอเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสตรี หญิงสาว บุรุษหรือว่าเป็นคนลากของ แทบทุกคนในมือต่างก็มีไอศกรีมหนึ่งแท่ง เมื่ออยู่ที่ซีหนิง การบันทึกเกี่ยวกับฤดูร้อนของเมืองต่างๆ ในคัมภีร์เต๋าล้วนแต่เป็นภาพบรรยากาศที่พบเจอได้น้อยยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหรือว่าค่ายกล ล้วนแต่ทำน้ำแข็งออกมาได้ง่ายดายยิ่ง ทว่าไม่อาจทำให้ก้อนน้ำแข็งกลายเป็นสิ่งของราคาถูกได้ ถึงแม้ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทุกคนจะลดฐานะของตนลง ค่ายกลทั้งหมดทั้งมวลทำงาน ก็ไม่อาจมอบสิ่งที่ทั่วทั้งจิงตูต้องการได้ในฤดูร้อน
เขาเดินออกจากสำนักฝึกหลวง มาถึงร้านค้าขายของเบ็ดเตล็ดบนตรอกไป่ฮวา เอ่ยถามเมื่อฤดูร้อน ไอศกรีมของพวกเขามาส่งจากแห่งใดกัน หลังจากนั้นก็ตามเบาะแสนี้ เสาะหามาตลอดจนมาพบร้านขายของหวานในตรอกซินเฉา ต่อจากนั้นก็มาพบโรงน้ำแข็งที่มีการดูแลอย่างรอบคอบมิดชิดของราชสำนัก
ตามการตรวจสอบของเขา เมื่อถึงฤดูร้อน น้ำแข็งของร้านของหวานทั่วทั้งจิงตู ต่างก็ซื้อจากโรงน้ำแข็งนี้
โรงน้ำแข็งแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตรอกซีซื่อ ประตูมองแล้วเล็กยิ่งนัก แล้วจะมองออกได้อย่างไรว่าภายในโรงน้ำแข็งจะสามารถบรรจุน้ำแข็งได้มากมายเช่นนี้
เฉินฉางเซิงให้ถังซานสือลิ่วเดินดูหนึ่งรอบ พบว่าในตรอกซีซื่อไม่มีค่ายกลใดๆ ซุกซ่อนอยู่ เวลาเดียวกันก็ไปสืบถามทั่วทุกแห่ง มั่นใจว่าโรงน้ำแข็งแห่งนี้เป็นโถงเย็นตามธรรมชาติ ตามที่กล่าวว่าข้างใต้เมืองจิงตูมีแหล่งความเย็น ด้วยเหตุนี้จึงสามารถมอบน้ำแข็งให้ตลอดได้
คิดวิธีให้ถังซานสือลิ่วกลับสำนักฝึกหลวงไป เฉินฉางเซิงหาร้านอาหารง่ายๆ ตรงตรอกซีซื่อ จึงหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมา เริ่มเขียนคำนวณออกมาอย่างตั้งใจ
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อเรื่องแหล่งความเย็นใต้ดินอะไรนั่น ตามความรู้ของคัมภีร์น้ำและกฎระเบียบที่ที่เกี่ยวข้องกันของราชสำนัก รวมทั้งที่ถังซานสือลิ่วค้นหาทิศทางของโรงน้ำแข็ง เขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม นับภาพรวมออกมา จุดที่ลึกที่สุดของโรงน้ำแข็งอยู่แห่งใด ที่แห่งนั้นมีแม่น้ำข้างใต้หรือไม่ รวมถึงกุญแจสำคัญที่สุด…แหล่งกำเนิดความเยือกเย็นอยู่แห่งใด
เดินออกมาจากตรอกทิศตะวันตกของเมือง ตามเบาะแสบนกระดาษ เขามุ่งเดินไปยังข้างหน้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาพบว่าเสียงจ้อกแจ้กจอแจข้างกายเงียบหาย เขางงงันแหงนหน้าขึ้น พบเพียงแค่กำแพงสูงใหญ่ปรากฏอยู่ด้านหน้า สุดท้ายแล้วมาถึงยังด้านหน้าพระราชวัง!
คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงด้านหน้าพระราชวัง
จ้องมองชายหลังคาโค้งที่เห็นรางๆ บนกำแพงพระราชวัง แยกแยะสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น นำตำแหน่งของสำนักฝึกหลวงมาเป็นเปรียบเทียบ เขาเกือบจะสามารถหาตำแหน่งของตำหนักเว่ยยางพบ หลังจากนั้นปิดตาลง เขากำลังเริ่มเดินไปในสมอง เหมือนกับการชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนั้น เดินไปถึงสวนรกร้าง เข้าไปในสระน้ำเย็น เริ่มวิ่งห้อ วิ่งตะบึงไปตามทางเดิน สุดท้ายแล้วผลักประตูบานนั้นออก
เขาเบิกตาขึ้น เดินเลี้ยวไปยังหนทางที่อยู่ด้านซ้ายข้างหลัง เหยียบบนใบไม้สีทองเต็มพื้น ไปถึงยังเป้าหมายของตนเอง
ฤดูใบไม้ร่วงสีทองด้านหน้าพระราชวัง คล้ายกับไม้เลื้อยของพระราชวังหลีก็มิปาน ต่างก็เป็นภาพทิวทัศน์ที่เลื่องชื่อของจิงตู ขณะนี้เป็นเวลาช่วงสุดท้ายที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมทิวทัศน์ ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็น คนท่องเที่ยวยังคงมีอีกจำนวนมาก
เขาหลบหลีกมือของเด็กน้อยที่เปื้อนไปด้วยโคลนอย่างระมัดระวัง บอกให้ผู้ชราเดินไปก่อนอย่างมีมารยาท เดินผ่านต้นไม้หลายต้น มาถึงยังด้านหน้าของบ่อน้ำ
เขารู้ว่าที่แห่งนี้เรียกว่าสะพานอุดรใหม่ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่รู้ว่ามีบ่อน้ำ
เขายื่นร่างกายเข้าไปมองในบ่อน้ำแวบหนึ่ง พบว่าลึกจนไม่เห็นข้างใต้ ทว่ากลับไม่มีความเคลื่อนไหว คงจะเป็นบ่อรกร้าง
เขาแหงนหน้าทอดสายตามองท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่ไกลออกไป มองผู้คนเที่ยวสำราญไม่ไกล อารมณ์สั่นไหวอย่างยิ่ง และก็สลับซับซ้อน
มังกรดำตัวนั้น ไม่คาดคิดว่าจะถูกคุมขังอยู่ข้างใต้นี้ คาดไม่ถึงว่าเมื่อเข้าไปแล้วจะอยู่อย่างสงบนิ่งข้างใต้นี้
สะพานอุดรใหม่มิใช่สะพาน แต่เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง
ที่นี่ชัดเจนว่ามิได้มีสะพาน เพราะเหตุใดกลับเรียกว่าสะพานอุดรใหม่เล่า
สำหรับเรื่องนี้ จิงตูมีเรื่องที่เล่าขานโด่งดังอย่างยิ่ง
เรื่องเล่าขานหลายปีก่อน กองทัพพันธมิตรเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจต่อสู้นองโลหิตกับเผ่ามาร มีมังกรโหดเหี้ยมแข็งแกร่งตัวหนึ่งฉวยโอกาสมาก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองจิงตู ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล เข่นฆ่าอย่างไร้ปรานี ไร้ผู้คนต้านทานได้ เมื่อก่อเรื่องวุ่นวายที่จิงตู ใครก็คิดไม่ถึง หวังจือเช่อเป็นทัพหน้ากลับมายังจิงตูอย่างเงียบเชียบ นำขุนพลเทพที่ปกปักรักษาเมืองจิงตู ผนึกกำลังโจมตีมังกรโหดเหี้ยมตัวนั้น
มังกรโหดเหี้ยมเป็นเผ่ามังกร อีกทั้งเป็นสัตว์เทพที่มีระดับสูงที่สุดบนโลกนี้ การปรารถนาที่จะสังหารเป็นเรื่องยากลำบากอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเรื่องเล่าขานในร่างกายมังกรโหดเหี้ยมตัวนี้มีสายเลือดของพญามังกรหมุนเวียนอยู่ ถึงแม้จะเป็นบุคคลในตำนานดังเช่นหวังจือเช่อก็กังวลว่าหากสังหารมังกรโหดเหี้ยมตัวนี้จะสั่นคลอนไปถึงเผ่ามังกรที่อยู่ในโลกมนุษย์มายาวนานจนทำให้โกรธเคืองหรือไม่ อีกทั้งกังวลว่าก่อนจะเผชิญกับความตาย มังกรตัวนี้จะทำให้จิงตูเกิดภัยพิบัติใหญ่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจให้มันมีชีวิตรอดหนึ่งทาง หวังจือเช่อร้องขอให้มังกรยอมรับการคุมขังของเผ่ามนุษย์ เพื่อเป็นการขอขมา หลังจากนั้นรับปากมังกรตัวนั้น บนพื้นที่คุมขังมันสร้างสะพานใหม่หนึ่งแห่ง หากสะพานแห่งนี้เสื่อมโทรมหรือว่าถูกน้ำน้ำท่วมขัง ก็จะปล่อยมันออกมา
อายุขัยของมังกรยาวนานจนยากที่จะจินตนาการได้ มังกรโหดเหี้ยมในใจกำลังคิด สะพานใหม่แห่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นเก่า มากที่สุดก็คงไม่เกินหลายสิบปีเต็มที่ให้หลายร้อยปี อีกทั้งด้วยพรสวรรค์จึงสามารถเข้าใจระบบน้ำของจิงตู จะมีน้ำท่วมใหญ่ทุกหกสิบปีอย่างแน่นอน บวกกับก่อนหน้านี้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ใกล้พานพบกับความตาย ด้วยเหตุนี้จึงตอบตกลงเงื่อนไขนี้
มังกรโหดเหี้ยมตัวนั้นยอมพ่ายแพ้ ราชสำนักต้าโจวได้สร้างเขตหวงห้ามอยู่ด้านนอกพระราชวัง นำมันไปคุมขังไว้ข้างใต้ ทว่า…เดิมทีมิได้สร้างสะพานอยู่บนพื้นดิน
น้ำท่วมได้ผ่านทะลุไปนอกเขตพระราชวัง มิได้ท่วมมายังบริเวณแห่งนี้แต่อย่างใด เรียกว่าสะพาน แต่เป็นเพียงแค่สะพานปลอมเท่านั้นเอง
หวังจือเช่อยังทำอีกเรื่องหนึ่ง เขาแก้ไขชื่อของที่แห่งนี้เป็นสะพานอุดรใหม่
สะพานแห่งนี้ ไม่มีวันถูกน้ำท่วม
สะพานแห่งนี้ เป็นสะพานใหม่ตลอดกาล
มังกรโหดเหี้ยมตัวนั้น ไร้หนทางจะออกมาตลอดกาล
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาร่วงอยู่บนตำรา ทว่ากลับอ่านไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย
หลังต้นไม้ มีบิดาท่านหนึ่งที่กำลังเอ่ยอธิบายตำนานเล่าขานท่อนนี้ให้แก่บุตรชายของตน
บิดาท่านนั้นชมเชยสรรเสริญกลอุบายอันแยบยลของเทพเซียนหวัง พวกเด็กๆ ดีใจปรบมือกันเกรียวกราว มีเด็กน้อยเอ่ยถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วมังกรโหดเหี้ยมตัวนั้นขณะนี้อยู่ข้างใต้เท้าของพวกเราหรือ เด็กน้อยไม่กี่คนที่เหลือได้ยินประโยคนี้ รู้สึกหวาดกลัว บรรดาผู้ใหญ่ฉีกยิ้มออกมา กล่าวว่าเป็นเรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า จะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงก็เคยได้ยินประโยคเรื่องเล่านั้น ทว่ากลับไม่เคยคิดมาก่อน ในเรื่องเล่าอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้
เขาทอดสายตาไปยังบ่อน้ำรกร้างไม่ไกลออกไป อารมณ์ยิ่งนานยิ่งสลับซับซ้อน
คนที่เคยได้ยินเรื่องเล่าขานของสะพานอุดรใหม่ ต่างก็เกลียดชังความโหดเหี้ยมของมังกรตัวนั้น ชมเชยสรรเสริญสติปัญญาของหวังจือเช่อ ทว่าเขากลับรู้สึกว่ามังกรตัวนั้นน่าสงสาร
แน่นอนว่า เรื่องเล่าขานถึงแม้อาจจะเป็นจริงได้ มังกรตัวนั้นอาจจะสังหารคนที่ไร้ความผิดเป็นจำนวนมากจริงๆ จึงถูกหวังจือเช่อวางแผนให้เป็นเช่นนี้ เขารู้ว่าตนเกิดความรู้สึกชนิดนี้ ทัศนคติไม่มั่นคงเล็กน้อย เพียงแค่สุดท้ายแล้วเขาเคยพบสภาพที่น่าเวทนาของมังกรตัวนั้นในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองเห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามบนพื้น คิดไปถึงความหนาวเย็นของถ้ำหินข้างใต้ จึงรู้สึกสงสารเห็นใจ
เมื่อเวลากลางวัน ผู้คนของสะพานอุดรใหม่ยังมีมากมาย ข้างใต้กำแพงพระราชวังมีทหารรักษาพระราชวังลาดตระเวน ท้องฟ้าด้านบนของกำแพง ทุกระยะเวลาที่เว้นกั้นหนึ่งช่วง จะมีรถลากบินลงมา บางครั้งบางคราวยังสามารถมองเห็นแสงไฟจากที่ไกลได้ คงจะเป็นเซวียสิ่งชวนขี่กิเลนเมฆแดง เขารู้ว่าตอนนี้หมดหนทางที่จะลงไปสู่ข้างใต้ จะต้องรอคอยอีกสักช่วงหนึ่งเวลา
เขาก้มศีรษะอ่านหนังตำราต่อ
ใบไม้ร่วงหล่นลงมาจากกิ่งก้าน ร่วงลงมาบนไหล่ของเขา สีทองอร่ามประหนึ่งใบไม้ทองคำมิปาน
ไม่รู้ว่าระยะเวลาผ่านไปนานเท่าใด เสียงบริเวณรอบค่อยๆ เงียบ แสงสายัณห์ได้จางหายไป ความมืดยามราตรีย่างกรายเข้ามา เขาแหงนหน้าขึ้น มั่นใจว่าไร้คนสนใจทางนี้ จึงเดินไปทางบ่อน้ำรกร้างแห่งนั้น
เขารู้ว่าไม่อาจหยุดลังเลใดๆ มิเช่นนั้นก็คงจะต้องดึงดูดความสนใจของบางคนได้เป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกระโดดพุ่งพรวดไปข้างหน้า ใบไม้สีทองอร่ามใบนั้นล่องลอยปลิวไสว หลังจากนั้นร่วงหล่นลงบริเวณบ่อน้ำรกร้าง
เดิมทีบ่อรกร้างมิได้มีก้นบ่อ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีดินเลน ประหนึ่งเข้าไปในสถานที่ที่ว่างเปล่า ที่นี่ไม่มีแสงใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแค่ความมืดมิด เฉินฉางเซิงอยู่ในความว่างเปล่าที่มืดมิดยิ่งดำดิ่งลงไปยิ่งรวดเร็ว เมื่อกระโดดลงไปในบ่อน้ำ มือทั้งสองของเขากุมศีรษะอยู่ ตั้งแต่เยาว์วัยอาจารย์ให้ศิษย์พี่ใช้ไม้เรียวเคี่ยวยาจนเข้าไปในกระดูก รับประกันว่าต่อให้กระแทกกับผนังบ่อก็จะไม่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอะไร
หลังจากผ่านก้นบ่อมาถึงยังพื้นที่มืดมิดแห่งนี้ เสียงสายลมร้องคำรามเฉียดผ่านใบหน้าไป เขามิได้กังวลว่าจะตกลงมาเสียชีวิต เพราะเขารู้ว่ามังกรดำตัวนั้นจะต้องรับรู้การมาของตน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ยิ่งใกล้กับมังกรดำตัวนั้น เขายิ่งรู้สึกว่าใกล้กับการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนั้น มีเรื่องราวมากมายที่มิได้หวาดกลัว กระทั่งรวมไปถึงความตาย
คนยังอยู่กลางท้องฟ้า ได้ยินเสียงเรียกโกรธแค้นยาวนาน หลังจากนั้นได้ยินเสียงร้องได้ขาดหายไป
กลางความมืดมิดปรากฏดวงไฟกลมสองดวง นั่นเป็นดวงตาของมัน
มังกรดำตัวนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว
ไอพลังอ่อนนุ่มสายหนึ่งปรากฏอยู่ข้างใต้ร่างกายเฉินฉางเซิง ช่วยให้เขาร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
เงาร่างกายมหึมาประดุจขุนเขาทอดยาวเหยียด ขยับเขยื้อนด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่งมายังเบื้องหน้าเขา อากาศของพื้นที่กว้างใหญ่มหึมาด้านล่างบีบอัดกันจนเกิดเป็นเสียงแตกร้าวไม่น่าฟัง
ความเยือกเย็นที่ยากจะจินตนาการ เพียงชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย บนขนตาเขาก่อเกิดเป็นเกล็ดน้ำค้างแข็ง สามารถปลิวร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ
“ข้าเอง” เขาหยิบไข่มุกราตรีขึ้นมา ส่องเข้ากับใบหน้าตน
เมื่อเขาหยิบไข่มุกราตรีออกมา ในเวลาเดียวไข่มุกราตรีโค้งมนหลายพันเม็ดพลันสว่างขึ้นมากลางพื้นที่มืดมิดด้านล่าง
มังกรดำตัวนั้นได้ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง ร่างกายมังกรประหนึ่งขุนเขายาวเหยียด ไม่อาจมองเห็นส่วนปลายสุด ศีรษะมังกรก็เหมือนกับตำหนักพระราชวังหนึ่งตำหนัก เกล็ดมังกรดุจกระจก มีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่รางๆ บนนั้นปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง เกิดการแปรปรวนที่ยากจะเอ่ยได้ หนวดมังกรกวัดแกว่งเบาๆ รู้สึกเหมือนกับเป็นเรื่องจริง ความสงสัยกะพริบวาบมา
นี่เป็นครั้งที่สามที่เฉินฉางเซิงเห็นมังกรดำอยู่ด้านหน้าจริงๆ ร่างยังคงสั่นเทา ใช้เวลายาวนานถึงจะรู้สึกตัว
เขานำไข่มุกราตรีเก็บให้ดี ทำความเคารพมังกรดำ คิดไปถึงอายุของมังกรดำ เป็นธรรมดาที่เป็นคนรุ่นหลังทำความเคารพ เอ่ยว่า “คุณปู่มังกร ข้ามาหาท่านแล้ว”
มองเห็นเฉินฉางเซิงมาถึงจริงๆ ดวงตาของมังกรดำกำลังแผดเผาดวงไฟแห่งความคึกคักไม่หยุด ราวกับกำลังเต้นรำ คล้ายกับว่ายินดีอย่างยิ่ง หลังจากได้ยินคำเรียกขาน ดวงไฟสองดวงนั้นชั่วพริบตากลับถูกแช่แข็งไว้ แปรเปลี่ยนเป็นน้ำค้างแข็ง
อานุภาพที่น่าหวาดกลัวของมังกร ปรากฏออกมายังพื้นที่ด้านล่างอีกครั้ง
เฉินฉางเซิงไม่สบายใจอย่างยิ่ง รีบยกมือข้างขวาขึ้น เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
อานุภาพของมังกรลดลงเล็กน้อย ท่าทางของมังกรดำมองเขาเมินเฉย รอคอยให้เขาเคารพอีกครั้ง
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดจนเข้าใจแล้ว คงจะเป็นเพราะคำว่าคุณปู่สองคำนี้มันเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกล่าวตามอายุของมังกร มังกรดำตัวนี้ถึงแม้จะถูกคุมขังมาแล้วหลายร้อยปี อาจจะเป็นเพียงแค่วัยเยาว์ มากที่สุดก็คงจะเป็นหนุ่มสาว อีกทั้งก็เหมือนกับสตรีที่ซีหนิง ไม่ชื่นชอบให้เรียกคุณอา เพียงชื่นชอบให้ถูกเรียกว่าพี่สาว…
เขาจึงทำความเคารพมังกรดำอีกครั้ง กล่าวอย่างสนิทสนม “พี่ใหญ่มังกร ไม่เจอกันนานเลย”
เสียงอยู่ในลำคอ มังกรดำปล่อยอานุภาพมังกรที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงกลิ้งตกลงพื้นดิน เศษน้ำแข็งกระเซ็นนับไม่ถ้วน
มังกรดำบินขึ้นไปข้างบนเชื่องช้า หนวดแกว่งสะบัดอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าเป็นมือที่ยื่นออกมาจากสถานที่อันลึกล้ำ ชัดเจนยิ่งนัก ความโกรธแค้นได้เกิดขึ้น
เฉินฉางเซิงฟุบลงบนพื้น ยกมือขวาขึ้นอย่างยากลำบาก พลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส อย่าได้เคืองโกรธ!”
คำที่เรียกว่าผู้อาวุโสก็มิได้พบว่าเหมาะสมอย่างสิ้นเชิง ทว่ามังกรดำก็ฝืนยอมรับแล้ว เมื่อเฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนพื้นหิมะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ คิดไปถึงภาพที่ก่อนหน้านี้ ความหวาดกลัวยากที่จะหายไป ในใจครุ่นคิดถ้าหากตอนนั้นตนเปล่งคำว่าจี๊ดๆ ออกจากปากไป ไม่รู้ว่าเพียงชั่วพริบตาเสียงลมหายใจของมังกรจะพัดผ่านกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเต็มพื้นหรือ
ตามคำสัญญาในค่ำคืนนั้น เฉินฉางเซิงจะมาเยี่ยมมังกรดำ คงจะต้องการให้คุยเป็นเพื่อนกับมัน แต่เวลานี้หนึ่งคนหนึ่งมังกรนั่งด้วยกันไร้คำพูด บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย วางตัวไม่ถูก มังกรดำเข้าใจภาษามนุษย์ เฉินฉางเซิงออกเสียงมังกรเป็นบางคำ กลับมิได้เป็นภาษามังกร แล้วทั้งสองฝ่ายจะสนทนากันอย่างไร
ทันใดนั้น เฉินฉางเซิงคิดไปถึงก่อนหน้านี้ที่ตนกระโดดเข้าไปในบ่อรกร้างของสะพานอุดรใหม่ ชี้ไปบนยอดโดมสามารถเห็นจุดด่างดำเล็กเลือนราง เอ่ยถาม “เป็นเช่นนี้มาตลอดหรือไม่ หลายปีมานี้จะต้องมีคนร่วงหล่นลงมายังก้นบ่อน้ำเป็นแน่ คนเหล่านั้นล้วนแต่เสียชีวิตแล้วหรือ หรือเป็นเพราะว่าถูกเจ้าช่วยชีวิตแล้วหรือ ถ้าหากถูกเจ้าช่วยชีวิต คนเหล่านั้นไปที่ไหนแล้ว”
นี่เป็นปัญหาที่เขาให้ความสนใจที่สุดในตอนนี้ ถึงแม้หลังจากได้ยินเรื่องเล่าขานนั้น เขารู้สึกสงสารมังกรดำตัวนั้นขึ้นมา รู้สึกซาบซึ้งในตัวฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้ตนได้มีชีวิตต่อ แต่ถ้าหาก…คนที่ร่วงหล่นยังพื้นที่ด้านล่าง สุดท้ายแล้วกลายเป็นอาหารของมัน เขาจะต้องไร้หนทางที่จะนั่งอยู่ด้านหน้าเขาต่อไปเป็นแน่
เขามิได้เกรงกลัวว่าจะถูกมังกรดำตัวนี้กลืนกิน แต่ไร้หนทางที่จะสนทนากับมังกรกินคนตัวนี้