ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 121 ปัญหาของมังกร
มังกรดำมองเขาด้วยสายตาเมินเฉยแวบหนึ่ง มิได้มีความรู้สึกอะไร หรืออาจจะกล่าวว่ารู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ทว่าก็เหมือนมันเปล่งภาษามังกร ในรูปร่างที่ง่ายดายสามารถซุกซ่อนสารที่สลับซับซ้อน สายตาของเฉินฉางเซิงกับมังกรดำสบกันเพียงชั่วพริบตา คล้ายกับว่าเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วน รับรู้ถึงความหมายที่มันอยากจะแสดงออกมามากมาย
บ่อน้ำรกร้างนั้นเป็นหวังจือเช่อควบคุมสร้างด้วยตนเอง เป็นค่ายกลคุมขังมังกรดำในประตูนำทาง ก็เหมือนประตูนำทางของตำหนักถงตอนที่เฉินฉางเซิงพบสระน้ำมังกรดำในสวนรกร้าง ก้นบ่อเดิมทีมีสามรูที่ใช้ทองคำก้อนหินผสมสร้างเป็นตาข่าย ทั้งยังรับประกันว่าจะเชื่อมต่อกับประตูนำทาง และยังรับรองว่าประชาชนเมืองจิงตูจะไม่ตกลงไปกลางบ่อกลายเป็นอาหารของมังกร เพียงแค่เวลาไม่นาน เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจสิ่งที่มันอยากจะบอกว่าเวลาที่ไม่นานนั้นไม่นานเพียงใด เป็นเวลาหลายสิบปีก่อนหรือว่าหลายวันก่อน คนในพระราชวังหลีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงนำตาข่ายทองออกไปแล้ว
มังกรดำเพียงแค่มองด้วยสายตาเมินเฉย มีสารนับไม่ถ้วนที่พรั่งพรูเข้าไปในสมองเฉินฉางเซิง เขาเข้าใจจำนวนมาก กลับยังมีสารจำนวนมากที่ไม่ทันได้จัดระเบียบ ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่เขาเข้าใจชัดเจนความคิดสุดท้ายที่มังกรดำตัวนั้นต้องการที่จะบอกคือ
เผ่ามนุษย์ช่างน่าเบื่อจริงๆ
มังกรตัวหนึ่งถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ไร้หนทางเจรจา ในชีวิตผ่านความโดดเดี่ยวเหน็บหนาวไปวันๆ คาดไม่ถึงจะกล่าวว่าเผ่ามนุษย์น่าเบื่อหน่าย เฉินฉางเซิงมิใช่ว่ายอมรับได้มากนัก ในใจครุ่นคิดถ้าหากเจ้ามิใช่ว่าถูกคุมขังจนรู้สึกเบื่อหน่ายเกิน ค่ำคืนนั้นเพราะเหตุใดยินยอมปล่อยตนออกไป อีกทั้งยังให้ตนรับปากว่าจะกลับมาคุยเป็นเพื่อนเจ้าอีก ทว่าเพราะเหตุใดคนผู้นั้นถึงนำตาข่ายผสานทองคำไป ไม่กังวลว่าจะมีคนตกลงไปหรือ
เขามองไปยังโซ่ตรวนที่อยู่ข้างหลังมังกรดำ ทอดสายตามองไกลออกไป สายตาร่วงหล่นไปยังแผ่นหินที่เป็นภาพของขุนพลเทพในตำนานทั้งสองท่านซึ่งใหญ่โตประหนึ่งภูเขา ก่อเกิดความไม่เข้าใจมากมาย
เขามิได้คิดปลดปล่อยมังกรดำในการจองจำ เมื่อมาถึงเขาก็ไม่เข้าใจว่าในเรื่องเล่าขานแท้จริงแล้วมีความจริงกี่ส่วน ถ้าหากมังกรดำออกไปจากข้างใต้ช่องว่างนี้ จะทำให้ประชาชนชาวเมืองจิงตูก่อเกิดภัยพิบัติจนพังพินาศหรือไม่ สาเหตุที่สำคัญก็คือ ค่ายกลที่คุมขังมังกรดำอันนี้ เป็นหวังจือเช่อกับจักรพรรดิไท่จงที่แข็งแกร่งเลื่องชื่อได้จัดวางไว้ จากพลังของเขาตอนนี้ จะทำลายค่ายกลได้อย่างนั้นรึ คิดแล้วคงเป็นเรื่องเหลวไหล
ทันใดนั้น เขาคิดไปถึงเรื่องหนึ่ง มังกรดำถึงแม้จะเข้าใจภาษามนุษย์ ตนก็สามารถรับข่าวสารจากนัยน์ตาของมันได้โดยตรง เช่นนั้นการสนทนาระหว่างตนกับมังกรดำก็ไม่มีปัญหาใดๆ กล่าวก็คือ ผู้แข็งแกร่งฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวขึ้นไป ในระยะเวลาสั้นๆ ก็สื่อสารทางจิตได้ ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตจิตเทพดังเช่นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งแล้วด้วย
เฉินฉางเซิงจ้องเขม็งนัยน์ตาของมังกรดำ ปรารถนาอยากจะกล่าวกับเขาเรื่องหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามังกรดำจะคล้ายว่าล่วงรู้ความคิดของเขาก่อน ใช้เวลารวดเร็วปิดตาลง เกล็ดน้ำแข็งกระเซ็นไปทั่วทิศทาง มองกิริยาโต้ตอบของมัน เฉินฉางเซิงตะลึงงัน คล้ายกับว่าคาดเดาได้รางๆ ว่ามังกรดำตัวนี้ไม่คิดเพียงแค่สนทนาแลกเปลี่ยน ยังอยากจะฟังภาษาของเผ่าพันธุ์ตนอีกหรือ นี่เป็นเพราะสิ่งใดกัน เป็นเพราะความคิดถึงหรือ
“ค่ำคืนนั้นข้ารับปากว่าจะมาหาท่านให้เร็วที่สุด เพียงแต่…พระราชวังยากที่จะเข้ามายิ่งนัก อยากจะเข้ามาเพียงครั้งหนึ่งมิได้ง่ายดายเลย ต้องฝ่าฟันความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่ ท่านก็รู้ว่าข้ากลัวตายอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ข้าเผชิญกับปัญหาหนึ่งข้อ หากแก้ไขไม่ดี ข้าอาจจะเสียชีวิต เมื่อดูคิดแล้ว ก่อนที่จะเสียชีวิตจะต้องมาหาท่านสักครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมา”
เฉินฉางเซิงไม่ได้อธิบายตัวอักษรบนโต๊ะหินที่สตรีวัยกลางคนผู้นั้นทิ้งไว้ และไม่ได้เอ่ยว่าเพื่อมาพบมังกรดำจึงทำให้สิ้นเปลืองจิตใจและกำลังวังชามากน้อยเท่าใด
“ค่ำคืนวันนั้นที่เคยเจอกับท่านเป็นครั้งแรก ข้าได้เอ่ยเกี่ยวกับความตายจำนวนมาก วันนี้ก็ได้เอ่ยอีก หวังว่าท่านจะไม่รำคาญ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เขาอยู่ๆ ก็คิดไปถึงการสามารถครอบครองแหล่งพลังดวงดาวฟ้าดินของเผ่ามังกรได้ตั้งแต่กำเนิด ตามสติปัญญาของพวกมัน คงจะเข้าใจทางด้านนี้ถึงจะถูกต้อง ในจิตใจพลันก่อเกิดความหวังอย่างไร้ขอบเขต นำปัญหาที่ประสบในการฝึกบำเพ็ญเอ่ยออกมา หลังจากนั้นตั้งใจรอคอยมันลืมตาขึ้น
หลังจากเงียบนิ่งเป็นเวลายาวนาน มังกรดำลืมตาขึ้นเชื่องช้า เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมา
มันจ้องมองเฉินฉางเซิง นัยน์ตายังคงเมินเฉย ทว่าเฉินฉางเซิงมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดที่สุด นั่นคือความผิดหวังห่อเหี่ยวใจและงงงวย
สายเลือดมังกรที่สูงส่งที่สุด เป็นสามกิ่งก้านสาขาที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ไหนแต่ไรมามังกรน้ำค้างแข็งมีสติปัญญาเลื่องลือที่สุด แม้แต่มันยังไม่อาจแก้ไขปัญหาที่พบของตนได้ นี่ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงยิ่งหนักอึ้ง
เวลานี้เอง หนวดของมังกรดำสะบัดขึ้นมา มายังด้านหน้าร่างกายของเขาแตะตรงกลางหน้าผาก ทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา
การกระทำเช่นนี้ แสดงว่ามันทนความรำคาญมิไหวแล้ว
การบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องอันใดกับมันเล่า มันกังวลเพียงแค่ว่าจะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจภาษามังกรโดยเร็ว หลังจากนั้นจะได้ไปทำเรื่องบางอย่างให้ได้
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เกิดความรู้สึกเจ็บปวดกลัดกลุ้มใจ เมื่อนึกถึงตำราที่เขาศึกษาในซีหนิง จึงเกิดความหวาดกลัวเพราะในนั้นบันทึกความหยิ่งยโสโหดเหี้ยมของเผ่ามังกรไว้ จะไปคิดได้อย่างไรว่าในชีวิตของตนจะพบเจอมังกรตัวเป็นๆ อีกทั้งยังเป็นมังกรที่ชื่นชอบเป็นอาจารย์อีกด้วย
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่
“เอ๋า…”
เฉินฉางเซิงเปล่งคล้ายกับว่าเป็นเสียงคำรามทุ้มต่ำ ยิ่งเหมือนเสียงสายลม ไม่เหมือนการเปล่งเสียงปกติอย่างสิ้นเชิง เสียงนี้ง่ายดายยิ่งนัก และสลับซับซ้อนยิ่ง จะต้องใช้ตำแหน่งหลังลิ้นและคอหอยและกลุ่มกล้ามเนื้อมัดที่ละเอียดจำนวนมาก จนถึงขนาดที่ว่าจำเป็นต้องใช้การกระทำตามจิตใต้สำนึกเล็กน้อยถึงจะสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ทว่าไม่ถึงกับต้องใช้ลิ้น
นี่เป็นคำแรกที่มังกรสอนเขาในค่ำคืนนั้น เมื่อเยาว์วัยอยู่ที่วัดเก่าซีหนิงเขาเคยศึกษาการออกเสียงทำนองนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียนรู้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมิได้ลืมเลือน คำนี้มีความหมายสลับซับซ้อน ถ้าหากใช้ภาษาของมนุษย์มาเปรียบเทียบ จะครอบคลุมถึงสารอื่นอีกอย่างน้อยหลายสิบคำ สารที่มีความซับซ้อนที่สุดจะต้องใช้การอธิบายทั้งหมดหนึ่งวรรค สารที่ง่ายดายที่สุดก็คือคำว่า ข้า
มังกรดำแสดงออกต่อเฉินฉางเซิงด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง หนวดมังกรปลิวสะบัด ศักยภาพในการสอนมนุษย์ของตนนั้นน่าพึงพอใจอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าใด เพดานทรงโค้งมีไข่มุกราตรีสองเม็ดร่วงหล่นลงมา มันจับมาเข้ามาไว้ที่อุ้งเท้าแล้วหมุนรอบๆ ถ้าหากไข่มุกราตรีใหญ่กว่านี้อีกสักหน่อย หรือว่าอุ้งเท้าของมันเล็กกว่านี้อีกสักเล็กน้อย มันคงจะเหมือนอาจารย์อาวุโสที่สอนตำราในหมู่บ้าน
มันกลอกลูกตาเล็กน้อย มองไข่มุกราตรีข้างกายของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงจดจำได้ชัดเจนยิ่งนัก ค่ำคืนนั้นมังกรดำจอมละโมบวางแผนยึดครองไข่มุกราตรีไม่ยอมคืนให้แก่เขา พลันรีบเก็บไข่มุกราตรีเอาไว้อย่างดี
หนวดของมังกรดำกวัดแกว่งเบาๆ คล้ายกับว่าจนปัญญา หลังจากนั้นเปล่งเสียงออกมาเสียงหนึ่ง
นั่นเป็นคำที่สองที่มันสอนเฉินฉางเซิง
ไข่มุกราตรี แก้วผลึก สายรุ้ง เกล็ดสีทองเหนือผิวน้ำ แผดเผาเมฆยามเย็น หรืออาจจะกล่าวว่า…แสงสว่าง
เฉินฉางเซิงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน ขยี้ระหว่างคิ้ว ทำให้ตนมีชีวิตชีวาขึ้น หลังจากนั้นเริ่มเลียนแบบการออกเสียงของมังกรดำ สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วนั้น ภาษามังกรที่จริงแล้วยากที่จะเรียนรู้ แม้เขาที่มีประสบการณ์มากมายก็ยังเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ้นเปลืองพลังจิตใจจำนวนมาก สีหน้าของเขารวมถึงกล้ามเนื้อตาเปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างรวดเร็ว
ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุด การสอบใหญ่ใกล้จะมาถึง ปัญหาการชำระล้างกระดูกยังไม่ได้รับการแก้ไข ความเสี่ยงในการเสียชีวิตก็อยู่ตรงหน้า เวลาสำหรับเฉินฉางเซิง เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดบนโลกใบนี้ กล่าวตามเหตุผล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรมาเสียเวลาในการศึกษาภาษามังกร จะต้องรู้ว่า นี่ยิ่งไม่มีความหมายมากกว่าการเรียนรู้วิชาสังหารมังกรเสียอีก
ทว่าเขามิได้ปฏิเสธความต้องการของมังกรดำ และมิได้จากไป ตั้งใจศึกษาต่อไป เพราะว่าเขาชื่นชอบการศึกษาร่ำเรียน เพราะว่าได้รับปากฝ่ายตรงข้ามแล้ว เรื่องของตนตนก็ต้องกระทำ เรื่องการรับปากก็จะต้องทำให้ได้ จนกระทั่งเสียชีวิต
นี่เป็นการบ่มเพาะจนเป็นการเคยชิน ไม่พบความงดงาม ทว่าเป็นความแข็งแกร่ง
เป็นพื้นที่ข้างใต้ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ถึงแม้มีไข่มุกราตรีจำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่าง ยังคงเงียบเหงาเยือกเย็น เป็นพื้นที่กว้างขวางไร้ที่เปรียบ
อยู่บนพื้น เฉินฉางเซิงเหมือนกับมดตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้ามังกรดำตัวใหญ่มหึมา
เขาเหมือนเด็กทารกหัดพูดหัดเรียนภาษา
ในพื้นที่ข้างใต้ที่กว้างใหญ่ มีเสียงแปลกประหลาดพิลึกกึกกือได้ยินบ่อยครั้ง นั่นเป็นเสียงที่เปล่งผิดของเขา
หลังจากนั้น ก็เป็นเสียงหัวเราะจี๊ดๆ ของมังกรดำสะท้อนกลับมา