ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 122 ข้าอยากมีอายุยืนยาวถึงห้าร้อยปีจริงๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงประมาณการว่าน่าจะเป็นเวลาเช้าตรู่ จึงยืดตัวลุกขึ้น เพื่อแสดงว่าค่ำคืนนี้เรียนถึงแค่นี้
อารมณ์ของมังกรชัดเจนว่าไม่ค่อยยินดีเท่าใด ทว่ามีช่างความกรุณาอย่างยิ่งที่มิได้ขัดขวางเขา
เขาแหงนหน้ามองไปยังเพดานทรงโค้งมนของพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่าง ก้นบ่อของบ่อรกร้างแห่งนั้นมองขึ้นไป เป็นเพียงแค่จุดด่างดำที่ไม่เตะตาดวงหนึ่งเท่านั้น กลับมิได้มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาแต่อย่างใด
แล้วจะขึ้นไปอย่างไร
เขาคิดไปถึงขั้นตอนการออกจากพื้นที่ด้านล่าง ท่าทางแข็งทื่อเล็กน้อย ใช้ความเร็วสูงสุดถอดเสื้อผ้าออก หลังจากนั้นเก็บให้เรียบร้อย จิตใจของเขามัวแต่รอคอยเรื่องหลังจากนี้ กลับมิได้สังเกต ในขั้นตอนนี้ นัยน์ตาของมังกรดำเผยให้อารมณ์ไม่ชื่นชอบและประหม่าออกมา
แสงสว่างเส้นหนึ่งส่องเป็นประกาย ร่างกายของเฉินฉางเซิงหายไป
มังกรแหงนหน้ามองไปยังพื้นดินข้างบน หนวดกวัดแกว่ง ไม่ใช่เป็นการบอกลา แต่เป็นการบอกให้รีบกลับมาอีก
เพียงชั่วครู่ เฉินฉางเซิงก็กลับมาถึงพื้นดิน
ยังคงเป็นตำหนักข้างพระราชวังหลังนั้น ยังคงเป็นสระน้ำแห่งนั้น
เขาเดินจากสระน้ำมายังฝั่ง กวาดตามองไปบริเวณรอบไร้ผู้คน รีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย
แสงอาทิตย์อ่อนๆ ของฤดูใบไม้ร่วงอันเหน็บหนาว มีสายลมพัดมาจากข้างตำหนัก เป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆ ทว่าแช่แข็งเขาจนทนไม่ไหว กระดูกเขาที่ถูกยาเคี่ยวมาเป็นระยะเวลาหลายปี ก็มิอาจต้านทานไหว
แล้วต่อไปควรจะเดินไปอย่างไรเล่า
เขาเอามือประสานกอดที่อก คิดไปถึงเส้นทางของคืนนั้น พลันมองเห็นแพะดำตัวนั้นอยู่ตรงข้ามสระน้ำ
เขาตกตะลึงเล็กน้อย มือทั้งสองค่อยๆ คลายออก ทุกครั้งเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะไปแห่งใด แพะดำก็จะปรากฏออกมา ริมสระน้ำวันนี้มิได้พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้น ทว่ากลับเห็นแพะดำเข้า เขายิ่งนานยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด รู้สึกว่าระหว่างเรื่องราวเหล่านี้ จะต้องมีความสัมพันธ์สิ่งใดซุกซ่อนอยู่
แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะถามผู้ใด เอ่ยถามแพะดำตัวนั้น ก็คงจะไม่ได้คำตอบเป็นแน่
เขาเดินไปถึงตรงข้ามสระน้ำ แพะดำดันหัวเข่าเขาเบาๆ เหมือนกับหลายครั้งก่อนหน้านี้ แล้วจึงเริ่มนำทางเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเช้าตรู่หรือว่าเช้าเกินไป หรือว่ายังมีสาเหตุอื่นใด พระราชวังในช่วงเช้าตรู่คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีคน แม้แต่คนงานทำความสะอาดก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว หนึ่งคนกับหนึ่งตัวเดินตามทางมาถึงยังด้านหน้ากำแพงพระราชวัง
บนกำแพงพระราชวังมีไม้เลื้อย ข้างใต้ไม้เลื้อยมีประตูเก่าบานหนึ่งซ่อนอยู่ บนประตูมีแม่กุญแจ
คอของแพะดำคล้องลูกกุญแจดอกหนึ่งไว้
เฉินฉางเซิงหยิบลูกกุญแจเพื่อมาเปิดประตู ผลักประตูเข้าไปก็พบกับทางเดินที่เงียบเชียบ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงยังสำนักฝึกหลวง
นี่มิใช่ประตูบานที่สตรีวัยกลางคนผู้นั้นเดิน แต่เป็นประตูบานที่ม่ออวี่เดินเข้าไป
เฉินฉางเซิงอยากจะนำลูกกุญแจเข้าไปผูกบนคอแพะดำคืน ทว่าแพะดำเอียงคอเล็กน้อย แสดงว่าปฏิเสธ
เขาเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวขอบคุณ แล้วนำลูกกุญแจเก็บไว้
แพะดำกลับไปยังพระราชวัง ประตูบานนั้นได้ปิดลงอีกคราหนึ่ง
หลายวันหลังจากนี้ ชีวิตภายนอกเงียบสงบอย่างยิ่ง การกำชับของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ผ่านม่ออวี่ไปบอกบรรดาผู้มีพลังอำนาจในจิงตูได้อย่างแม่นยำ ประตูของสำนักฝึกหลวงยังมิได้ซ่อมแซม และไร้ผู้คนกล้ามาก่อกวน จินอวี้ลวี่เป็นประตูใหญ่แทน นั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ยกกาน้ำชาขึ้นรินลง เป็นความหมายว่าประตูใหญ่ได้ปิดลง
เฉินฉางเซิงเป็นดังเช่นที่ผ่านมา ทุกวันมุ่งมานะบากบั่นท่องตำราฝึกบำเพ็ญเพียร เพียงเพราะว่าเตรียมตัวในการสอบใหญ่ จึงต้องทำบางสิ่งปรับให้สอดคล้องกัน ดังเช่นอ่านตำราการสอบใหญ่ของครั้งก่อน และเขาพาถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อไปสวนร้อยหญ้าที่อยู่ด้านข้างเพื่อทำยาสมุนไพรอีกครั้งหนึ่ง อาการบาดเจ็บแขนขวาของเซวียนหยวนผ้อหายสนิทแล้ว เฉินฉางเซิงพบวิธีที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง เพียงแค่ไม่รู้ว่าเมื่อการสอบใหญ่มาถึงจะสามารถพัฒนาไปได้เท่าใด
เป็นบุตรหลานที่ได้รับความรักใคร่ที่สุดของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย การเข้าร่วมการสอบใหญ่ของถังซานสือลิ่ว เป็นธรรมดาที่จะได้รับความสำคัญจากตระกูลเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ในจดหมายเขาจะถูกคุณปู่ตำหนิเรื่องการออกจากสำนักเทียนเต้าด้วยความโมโหจัด ทว่าสิ่งของที่เตรียมให้เขากับมิได้ลดลงแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก มองแล้วตระกูลถังเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ของจิงตูชัดเจนยิ่งนักและรู้สถานการณ์ตอนนี้ของสำนักฝึกหลวง
นอกเหนือจากนี้ สำนักการศึกษากลางอำนวยความสะดวกในการเข้าร่วมการสอบใหญ่ของสำนักฝึกหลวงจำนวนมาก อาจารย์ซินออกหน้าด้วยตนเอง จัดการขั้นตอนทุกอย่าง แน่นอนว่า ยังเป็นลั่วลั่วที่อุทิศให้มากที่สุด นางนำสูตรยาที่เฉินฉางเซิงส่งมาให้นำไปปรุงเป็นยาตามขั้นตอน รวมทั้งสิ่งของจำนวนมาก แล้วนำทุกอย่างส่งกลับไปยังสำนักฝึกหลวง
ได้เตรียมการไว้ทุกเรื่องราว คล้ายกับว่ารอคอยให้วันเวลาการสอบใหญ่มาถึง เพียงแค่เวลานี้ กลับก่อเกิดสิ่งแทรกแซงเล็กๆ
เวลาเช้าตรู่ในต้นฤดูหนาววันหนึ่ง เฉินฉางเซิงได้ดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกที่เป็นกิจวัตรประจำวันสิ้นสุดลงแล้ว ออกจากหอตำรากลับมายังอาคารหลังเล็ก ได้พบกับม่ออวี่อีกครั้ง เส้นผมดำขลับราวกับน้ำตกของแม่นางม่ออวี่ยังคงสยายอยู่ตรงไหล่ ทว่ากลับมิได้หลับสนิท อีกทั้งหลังยังเอียงอยู่บนเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับเป็นหญิงสาวขี้โมโหอยากจะมีเรื่องทะเลาะวิวาท
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ระยะนี้เฉินฉางเซิงพบเจอมาหลายครั้ง ทุกวันเมื่อตะโกนเรียกถังซานสือลิ่วตื่นนอนก็จะเห็นหนึ่งรอบ เขารู้ดีว่า นี่เรียกว่าอารมณ์ของการตื่นนอน หรืออาจจะกล่าวว่านอนไม่เต็มตื่น
“เป็นอะไรรึ”
สำนักฝึกหลวงกับม่ออวี่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องเป็นศัตรูกัน แต่เขาประหลาดใจยิ่งนัก เพราะเหตุใดนางถึงมีลักษณะเช่นนี้ เขาจำได้ชัดเจนอย่างยิ่ง ในหมอนได้เปลี่ยนยาสมุนไพรใหม่แล้ว ซึ่งช่วยในการสงบจิตใจในการนอนหลับ
ม่ออวี่นำที่นอนพลิกออก ชี้ไปยังผลึกก้อนหินที่ร่วงหล่นอยู่บนเตียง กล่าวด้วยความโมโหโกรธเคือง “เจ้าไม่อยากให้ข้ามานอนหลับก็เอ่ยให้ชัดเจน เหตุใดถึงกับต้องเอาก้อนหินจำนวนมากมาทำให้ข้าไม่สบายตัวด้วยเล่า”
เจ็บ ไม่ใช่ไม่สบายตัว ทว่าสำหรับนาง เฉินฉางเซิงทำเช่นนี้ก็เพราะอยากจะทำให้นางไม่สบายตัว
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หินผลึกเหล่านั้นเป็นตระกูลถังจากเวิ่นสุ่ยกับลั่วลั่วส่งมาถึงสำนักฝึกหลวง ด้านในซุกซ่อนไปด้วยเนื้อแท้ที่งดงามและล้ำค่าจำนวนมาก ถ้าหากเมื่อนั่งสมาธิแล้วกุมหินผลึกอยู่ จะสามารถดึงระดับความเร็วของละอองดวงดาวได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำหินผลึกวางไว้ข้างใต้ที่นอน
เพราะว่าการสอบใหญ่ เขาจะต้องไม่พลาดรายละเอียดปลีกย่อยแม้แต่น้อย
“ข้านำที่เบาะนอนมาเพิ่มอีกสองชั้น ทดลองด้วยตนเองแล้ว มิได้รู้สึกถึงแม้แต่น้อย” เขาอธิบายให้กับม่ออวี่
ม่ออวี่มิได้เอ่ยสิ่งใด ในใจครุ่นคิดถ้าหากรู้ว่าที่แคว้นผิงหากข้างใต้ของเบาะนอนซ้อนกันสิบชั้นมีเมล็ดถั่วลันเตาเพียงหนึ่งเม็ดก็มิอาจนอนหลับได้ เขาก็คงจะไม่เข้าใจเป็นแน่
ด้านนอกหน้าต่างอยู่ๆ มีหิมะตกลงมา นั่นเป็นหิมะแรก
ด้านในหน้าต่างอยู่ๆ ก็เงียบเชียบ สองคนจ้องมองกันไร้วาจาเอื้อนเอ่ย บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัด
เวลานี้เองม่ออวี่ถึงเข้าใจว่าที่ตนโมโหช่างไร้เหตุผล เฉินฉางเซิงก็เพิ่งคิดได้ เดิมทีตนก็ไม่ต้องอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นห้องนอนของเขา เป็นเตียงของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางมิได้มีมิตรภาพใดๆ กลับเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำ
ม่ออวี่จากไปแล้ว จนกระทั่งถึงการสอบใหญ่ นางจะไม่กลับมาสำนักฝึกหลวงอีก คล้ายกับว่าในที่สุดนางเข้าใจว่าตนทำเช่นนี้ไร้สาระอย่างยิ่ง
ทว่าในวันต่อมา เฉินฉางเซิงพบว่าหมอนกับที่นอนของตนหายไปแล้ว
ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ เขายกแขนเสื้อขึ้นมาดม พบว่าไม่มีกลิ่นใดๆ
เพราะเหตุใดลั่วลั่ว แพะดำต่างก็ชื่นชอบดมตนเล่า ตอนนี้แม้แต่บุคคลดังเช่นแม่นางม่ออวี่ ก็…
เฉินฉางเซิงยากที่จะรู้สึกภาคภูมิใจใดๆ ได้ เขาเป็นคนที่รักความสะอาด คิดไปว่าทุกค่ำคืนม่ออวี่จะกอดผ้าห่มที่นอนของตนนอนหลับ กลับจะรู้สึกยากที่จะยอมรับได้เสียด้วยซ้ำ
ตามวันเวลาหมุนผ่านไป แรกหิมะนำมาซึ่งความแปลกประหลาดใจ จิงตูมีหิมะตกทุกคืนวัน ฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาวความหนาวเย็นค่อยๆ ทวีขึ้น วันของการสอบใหญ่ยิ่งใกล้ขึ้นมา
เฉินฉางเซิงรู้ว่าไม่อาจลังเลอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เขาจะไม่ลังเล
มีเวลาอีกเพียงหลายสิบกว่าวันจะถึงการสอบใหญ่ เขามิได้เอ่ยกับผู้ใด หยิบยืมเวลาเช้าตรู่ในลมหิมะอำพรางตัว จากสำนักฝึกหลวงมายังสะพานใหม่ ใบไม้ร่วงหล่นประหนึ่งใบไม้ทองคำ ถูกใบไม้ปิดมิดชิด เพียงแค่ฤดูนี้มาถึง รอยเท้าของนักท่องเที่ยวก็จางหายไป นอกจากกองทัพทหารรักษาพระราชวังรวมถึงร่องรอยของรถลากตระเวนบนอากาศที่มองเห็นรางเลือนแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีอะไร
มิใช่อะไรก็ไม่มี ไกลออกไปมีคนในวังคนหนึ่งสวมใส่เสื้อหนังขนสัตว์ จูงสุนัขหิมะสองตัวเดินเล่น
สุนัขหิมะมิใช่สุนัขพันธุ์ธรรมดา เป็นสัตว์อสูรแกร่งกล้าที่สามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งได้ มันเกิดที่ภูเขาหินดำที่อยู่ด้านนอกเมืองเสวี่ยเหล่า ชื่นชอบอากาศหนาวเย็นเกลียดความร้อน ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ในจิงตูได้อย่างไร แน่นอนว่า ผู้ที่สามารถเลี้ยงสุนัขหิมะได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา สุนัขหิมะสองตัวนี้มิใช่สีขาว มีตัวหนึ่งออกสีเหลืองเล็กน้อย เมื่อหิมะตกแรงเข้า สุนัขสีเหลืองตัวนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว และสุนัขขาวตัวนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตัวใหญ่
ด้านหน้ากำแพงพระราชวัง หิมะสีขาวทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นหนึ่งเดียวกับเขาเจียงซาน บนพื้นมีอุโมงค์หินสีดำ
นั่นเป็นบ่อน้ำ
เฉินฉางเซิงเดินไปถึงด้านหน้าบ่อน้ำ มองคนในวังกับสุนัขหิมะสองตัวไกลออกไป มั่นใจว่ามิได้สังเกตเห็นตน จึงกระโจนลงไป
หิมะตกติดต่อกันหลายวัน พื้นดินมีหิมะโปรยลงมาไม่ขาดสาย ลมหิมะเหล่านั้นมาจากการถอนหายใจทุกครั้งของมังกรดำ
หลายวันมานี้เฉินฉางเซิงเจอมังกรดำหลายต่อหลายครั้ง จึงไม่ตื่นเต้นเหมือนตอนแรกเริ่ม ที่แม้แต่ยืนก็ไม่รู้จะยืนอย่างไร มือไม้ก็ไม่รู้จะวางอย่างไร
มังกรดำพึงพอใจต่อการเรียนภาษามังกรของเขาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับความถี่ในการมาเรียนของเขากลับไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้จะเป็นมังกรตัวหนึ่ง มันก็รู้ว่าการสอบใหญ่มีความหมายต่อเผ่ามนุษย์อย่างไร ด้วยเหตุนี้ก็มิได้ต้องการให้เขาเรียนมากเกินไป
หนวดมังกรกวัดแกว่งเบาๆ ปัดเศษน้ำแข็งเกล็ดหิมะบนพื้นด้านหน้าเฉินฉางเซิงจนสะอาดสะอ้าน
เฉินฉางเซิงนำถุงกระดาษน้ำมันสองสามใบออกมาด้วยความชำนาญ และยังมีหนังสือนิยายสองสามเล่มที่พบเห็นบ่อยๆ ในท้องตลาด นำทั้งหมดวางบนพื้น
เปิดกระดาษน้ำมันออก ด้านในมีแกะย่าง ไก่ย่าง หางกวางย่าง ตุ๋นลิ้นวัว และยังมีปลาสองเศียรนึ่ง
“เหลือลิ้นวัวให้ข้า” เขาเอ่ยขึ้นมา
คิดไปถึงว่ามังกรดำถูกจองจำอยู่พื้นข้างใต้นี้เป็นเวลาหลายร้อยปี โดดเดี่ยวเดียวดายน่าสงสาร เป็นเวลานานที่ไม่ได้กินสิ่งใด ทุกครั้งที่เฉินฉางเซิงมาหาเขาก็นำอาหารมาด้วยทุกครั้ง
อาหารเหล่านี้แน่นอนว่าไม่เพียงพอให้มังกรดำอิ่มได้ เพียงแค่แก้ขัดความหิวเท่านั้นเอง
เมื่อแรกเริ่ม มังกรดำทำเสียงฮึดฮัดออกในจมูกในปีนั้นผู้อาวุโสตัวหนึ่งกินเนื้อมนุษย์ในพระราชวังใช้พลังโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อกินกลับมิได้เกรงใจ
“ข้าตัดสินใจแล้ว”
หลังจากเฉินฉางเซิงใช้ความอดทนอย่างกล้าหาญรอคอยให้มังกรดำตัวนี้กินอาหารด้วยเวลาเชื่องช้ายาวนาน ถึงจะเริ่มสนทนา
มังกรดำจ้องมองเขาราวกับมองคนโง่เขลาก็มิปาน
เมื่อพบเจอกันหลายครั้งผ่านไป มันก็ล่วงรู้ว่าเฉินฉางเซิงอยากจะทำสิ่งใด
มนุษย์ผู้ต่ำต้อยที่มีร่างกายอ่อนแอ อีกทั้งยังชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ ต้องการที่จะเดินพลังไปขั้นถอดจิต นั่นก็เป็นเพียงหนทางแห่งความตายกระมัง
มันในปีนั้นร่ำเรียนกับพญามังกรถึงแม้จะมิได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่เหตุผลง่ายดายเช่นนี้ ก็เข้าใจได้
ที่จริงแล้วเฉินฉางเซิงก็รู้ดี นี่เป็นพื้นฐานที่ไม่อาจสำเร็จได้ เพราะว่าในคัมภีร์สามพันมหามรรค เขายังไม่เคยเห็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมาก่อน
ทว่าเขาจะต้องทำเช่นนี้ เพราะว่าการสอบใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้ว
เขาจะต้องได้อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ มีเพียงสิ่งนี้ ถึงจะสามารถคิดวิเคราะห์ในหอหลิงเยียนหนึ่งคืนได้
มีเพียงสิ่งนี้ เขาถึงจะมีโอกาสไปสัมผัสการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาได้
มีเพียงสิ่งนี้ เขาถึงจะสามารถมีชีวิตเลยยี่สิบปี
ถ้าหากมิได้ ยี่สิบปีกับสิบห้าปีก็มิได้แตกต่างกัน
ใช่แล้ว ในการเล่าเรียนฝึกบำเพ็ญเพียรที่ซ้ำซากจำเจ เขาอายุสิบห้าปีแล้ว
อายุยี่สิบปีหักไปห้าปี ก็ยังเหลืออีกห้าปี
ห้าร้อยปีหักไปยี่สิบปี ยังเหลือประมาณห้าร้อยปี
เขาจะนำห้าปีมาเดิมพันกับห้าร้อยปี
เขาอยากมีอายุยืนยาวถึงห้าร้อยปีจริงๆ
มองท่าทางของเฉินฉางเซิง มังกรดำรู้ว่าครั้งนี้เขาตั้งใจจริง
สายตาของมังกรดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา มันเตรียมที่จะยับยั้งเรื่องที่จะเกิดขึ้น
ถ้าหากเจ้าเสียชีวิตแล้ว ผู้ใดจะมาคุยกับข้า ผู้ใดจะทำเรื่องนั้นแทนข้าเล่า
เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่จ้องมองมันเงียบๆ มันก็รู้ว่าตนห้ามมิได้
สายตาของมังกรดำเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว
เฉินฉางเซิงปลดกระบี่ด้ามเล็กที่เอว จ้องมองมันพลางเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าเสียชีวิตแล้ว…”
มังกรดำมองกระบี่สั้นเล่มนั้น ดวงตาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด เอ่ยต่อ “มิเป็นไร ตายก็คือตาย ทิ้งคำพูดไว้ก็ไม่มีความหมาย”
สายตาของมังกรดำจากเคร่งขรึม จึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง สุดท้ายแล้วเหลือเพียงแค่เลื่อมใสศรัทธา
สามารถยอมรับความตายด้วยความนิ่งสงบ ต่อสู้กับโชคชะตาแห่งความตายเช่นนี้ ก็ควรคู่ให้เคารพเลื่อมใส
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามังกร เผ่ามาร เผ่าปีศาจหรือว่าเผ่ามนุษย์ จนกระทั่งเป็นเพียงแค่นกกระจอกตัวหนึ่ง
มันยังจำประโยคที่บิดาเอ่ยกับตนประโยคนั้นได้
เพราะว่าเคารพเลื่อมใส มันจึงไม่คิดที่จะยับยั้งเฉินฉางเซิง หนวดสะบัดกวัดแกว่ง แตะตรงหน้าผากเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นจึงชักกลับ
เฉินฉางเซิงนั่งลง หยิบลิ้นวัวที่มังกรดำตั้งใจเหลือไว้ให้ตนขึ้นมา
อายุสิบปีนั้น หลังจากรู้ว่าตนจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปี เขาก็ไม่เคยกินลิ้นวัวอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทว่ารสชาติเลิศล้ำเช่นนี้อีก
เขาตั้งอกตั้งใจกิน กำลังลิ้มลอง ท่าทางอิ่มอกอิ่มใจ
หลังจากกินลิ้นวัวแล้ว ดื่มน้ำเล็กน้อย เขากอบหิมะที่อยู่ข้างกายขึ้นมาล้างมือให้สะอาด แล้วไปถูหน้า ทำให้ตนเองตื่นขึ้นมา
เมื่อเตรียมตัวทั้งหมดแล้ว เขาจึงหลับตาลง เริ่มขั้นถอดจิต