ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 144 ชาติที่แล้วเจ้าทำสิ่งใดมาบ้าง
หนึ่งหมัด และอีกหนึ่งหมัด เพียงแค่หนึ่งหมัด มิได้มีกระบวนท่าอะไร ไม่ได้สนใจศาสตราวิเศษอะไร อีกทั้งยังมองไม่เห็นพลังปราณแท้ที่สะท้อนออกมา เพียงแค่มีพลังรวมเข้ากับความเร็ว นี่เป็นวิถีทางอะไรกัน
จะต้องรู้ว่าเมื่อก่อนสำนักฝึกหลวงไม่ได้เป็นเช่นนี้ สำนักฝึกหลวงในปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์และนักเรียนวิชาเต๋าจะลึกซึ้งสูงส่งอย่างไร การกระทำเรื่องอันใดจะแฝงไปด้วยเอกลักษณ์ มีบุคลิกภาพของนักพรตเต๋า
ปีนี้สำนักฝึกหลวงได้เปิดรับสมัครนักเรียนใหม่อีกครั้ง สำนักฝึกหลวงสำหรับผู้อาวุโสแล้ว แฝงไว้ด้วยเรื่องราวมากมาย พวกเขาเดิมทีคิดว่าเวลาสิบกว่าปี เป็นเพียงฝุ่นหนึ่งเม็ดเล็กๆ ในระยะเวลาอันยาวนาน เรื่องราวมากมายยังมิได้เปลี่ยนแปลง เพียงแค่สำนักฝึกหลวงฟื้นฟูอีกครั้ง ก็สามารถเห็นทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ผู้ใดเคยคาดคิดสิ่งใดมาก่อน สำนักฝึกหลวงขณะนี้มิได้เป็นดังเช่นที่พวกเขาได้คาดคิดไว้ ถึงแม้ว่าเซวียนหยวนผ้อกับเฉินฉางเซิงจะชนะต่อเนื่องกัน ทว่าเอกลักษณ์ของสำนักฝึกหลวงกลับมิได้มีนานแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกของนักบวชพระราชวังหลีผู้นั้นกับผู้คุมสอบจำนวนมากที่อยู่ในหอชำระธุลียากที่จะหลีกเลี่ยงมิให้รู้สึกสลับซับซ้อน
ท้องฟ้าครึ่งซีกของตำหนักประจักษ์อักษร มีกระจกใสลอยเหนือพื้น ขอบล่างขวาของกระจกวาดใบไม้หลายใบ ในกระจกแสดงภาพในหอชำระธุลี ผู้คนในตำหนักจ้องมองภาพด้านหลังเฉินฉางเซิงที่กำลังเดินออกจากหอไป จ้องมองประตูบานนั้นที่ค่อยๆ ปิดลง มีความรู้สึกหลากหลายที่แตกต่างกัน
เฉินหลิวอ๋องกับม่ออวี่ ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา หัวหน้าสำนักของบรรดาสำนักไม้เลื้อยในจิงตู เซวียสิ่งชวนรวมถึงสวีซื่อจีซึ่งเป็นตัวแทนของกองทัพที่มาเข้าร่วม ใต้เท้าโจวทงที่นั่งอยู่ในมุมเพียงลำพัง และยังมีตัวแทนจากนิกายทางทิศใต้หลายท่าน ตำหนักประจักษ์อักษรเวลานี้มีบุคคลยิ่งใหญ่จำนวนมาก ขณะนี้พวกเขากำลังมองไปที่เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักของสำนักเทียนเต้า นักเรียนของเขาเพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับเฉินฉางเซิง ยังมีบางคนที่จำได้ว่าร่มกระดาษน้ำมันคันนั้น เมื่อเหมาชิวอวี่ยังเป็นหนุ่มน้อยได้พกติดตัวไปทั่วต้าลู่ ในใจครุ่นคิดว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้จะต้องย่ำแย่เป็นแน่ อย่างไรก็ตามไม่เหมือนดังที่ผู้คนคาดคิดไว้ ใบหน้าของเหมาชิวอวี่มิได้ปรากฏความโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับมีท่าทางสงบนิ่งเหมือนปกติ
ผู้คนมองไม่เห็นสิ่งใดบนใบหน้าของเหมาชิวอวี่ ทันใดนั้นจึงหันกายไปมองใต้เท้ามุขนายกตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าผู้อาวุโสท่านนี้ยังคงหลับตา ราวกับว่าหลับสนิทก็มิปาน นี่เป็นการแสดงว่าเชื่อมั่นในตัวเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าการเชื่อมั่นนี้เป็นเรื่องน่าขบขัน แต่ใครจะคาดคิด เฉินฉางเซิงจะมีชัยชนะอันว่องไวในการต่อสู้สนามแรกเช่นนี้ จึงอดกังวลใจไม่ได้ว่าตนจะถูกหัวเราะเยาะหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมสอบในหอชำระธุลีหรือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มองการต่อสู้ผ่านกระจกใส การแสดงของเฉินฉางเซิงต่างทำให้ทุกคนตกตะลึง ผู้คนไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ชัดเจนยิ่งนักว่าหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นี้เพิ่งจะชำระล้างกระดูกสำเร็จไม่นาน จำนวนพลังปราณแท้ก็ธรรมดา เพราะเหตุใดกลับสามารถใช้พลังที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงเช่นนี้ได้เล่า
“พลังของเขาไม่เกี่ยวข้องกับจำนวนพลังปราณแท้แต่อย่างใด คงจะเป็นเพราะชำระล้างกระดูกได้สมบูรณ์แบบ หรือว่าไม่กี่วันมานี้พบเจอกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ นั่นเป็นพลังที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์”
เป็นขุนพลเทพอันดับที่สองของดินแดนต้าลู่ เซวียสิ่งชวน ผู้ผ่านสนามรบมากว่าร้อยสนาม มีความเข้าใจต่อพลังลึกซึ้งเป็นพิเศษ มองผู้คนมีท่าทางไม่เข้าใจ จึงเอ่ยอธิบายอย่างไม่ใส่ใจนัก
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ เขาเหลือบมองไปยังใต้เท้ามุขนายก การชำระล้างกระดูกในระดับที่สมบูรณ์น้อยครั้งมากจะพบเจอ การพบเจอเรื่องราวประหลาดมหัศจรรย์เช่นนี้นับได้ว่ามหัศจรรย์มากเพียงใด หากเขาคิดดูแล้ว ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะทะลวงผ่านด่านจนมีพลังบริสุทธิ์สมบูรณ์เช่นนี้ด้วยวิธีใด จะต้องเป็นโชคที่มุขนายกผู้นี้มอบให้เป็นแน่
แต่เฉินฉางเซิงสามารถรับได้ดีเช่นนี้ ที่จริงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เซวียสิ่งชวนท่าทางเมินเฉยจ้องไปทางซ้ายมือ สวีซื่อจีเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ในใจคิดลูกเขยเช่นนี้ ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับชิวซานจวิน แต่ก็นับว่าไม่เลว เป็นถึงขุนพลเทพสองคนที่จักรพรรดินีให้ความไว้ใจ เขาครุ่นคิด รออีกสักครู่เมื่อสะดวกแล้ว ตนควรจะไปโน้มน้าวสวีซื่อจีดีหรือไม่
เฉินฉางเซิงได้แสดงพลังที่เหนือความคาดหมายของผู้คนออกมา ทำให้ตำหนักประจักษ์อักษรเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบขึ้นมา หลังจากเซวียสิ่งชวนเอ่ยจบ เป็นเวลายาวนานก็มิได้มีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมา จนกระทั่งเสียงที่เยือกเย็นของม่ออวี่ได้ทำลายบรรยากาศที่เงียบสนิท
“อาศัยเพียงแค่พลัง สุดท้ายแล้วไม่อาจไปได้ไกล”
ในตำหนักประจักษ์อักษรพลันเงียบสงัดอีกครั้ง ผู้คนต่างทราบดีว่าประโยคนี้ของนางมิผิด ไม่มีวิทยายุทธ์ประคับประคอง มีพลังปราณไม่เพียงพอ ไม่ว่าพลังจะแข็งแกร่งอย่างไรก็คงจะใช้ได้แค่ในการต่อสู้ระดับล่างเท่านั้น หากวันหนึ่งพบเจอกับผู้ที่มีวิทยายุทธ์สูงส่ง ก็คงจะถูกบดขยี้ เฉินฉางเซิงถ้าหากไม่มีฝีมือด้านอื่น เช่นนั้นแล้วในการต่อสู้จะต้องเดินไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายไม่ได้เป็นแน่ ถึงขนาดที่ว่าในการต่อสู้รอบต่อไปอาจจะต้องพ่ายแพ้
เสียงแผดร้องแหลมดังออกมาจากหอชำระธุลี
พวกผู้เข้าสอบท่าทางเปลี่ยนไปฉับพลัน ไม่รู้ว่าในหอเกิดสิ่งใดขึ้น ท่าทางของโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา ชัดเจนยิ่งนัก หนุ่มน้อยแกร่งกล้าทั้งสองผู้ผ่านขั้นทะลวงอเวจีรับรู้ได้แจ่มแจ้งยิ่งกว่า
เวลาผ่านไปไม่นาน ประตูของหอชำระธุลีเปิดขึ้นอีกคราหนึ่ง เฉินฉางเซิงเดินออกมา เห็นเพียงแค่เท้าขวาของเขาเปลือยเปล่า รองเท้าไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งใด มองแล้วจนตรอกเล็กน้อย แต่ว่านอกเหนือจากนี้ บนร่างกายของเขามิได้มีร่องรอยของการต่อสู้ที่ดุเดือดแต่อย่างใด ประหนึ่งว่าเมื่อครู่เพิ่งเข้าไปเดินเที่ยวเล่นในหอแล้วก็ออกมา
ด้านนอกหอชำระธุลีเงียบสนิท ไม่มีผู้เข้าสอบเอ่ยสิ่งใดออกมา ความรู้สึกสลับซับซ้อน จ้องมองไปยังการเคลื่อนไหวของเขา มองเขาเดินลงมาจากบันไดหิน จนกระทั่งเดินมาถึงยังริมป่า
“อืม ใช้ได้!” ถังซานสือลิ่วยื่นมือไปตบไหล่ของเขา เอ่ยชื่นชมออกมา
เซวียนหยวนผ้อจ้องมองเขามิได้เอ่ยสิ่งใด ในสายตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
ซูม่ออวี๋ในใจครุ่นคิด ถึงแม้ว่านักเรียนสำนักเทียนเต้าผู้นั้นระดับวิทยายุทธ์จะธรรมดา พละกำลังมิได้แข็งแกร่ง ถ้าหากว่าเป็นตนต่อสู้ ก็คงจะไม่ชนะอย่างสบาย อีกทั้งยังยากจะทำได้รวดเร็วดังเช่นเฉินฉางเซิง คิดดูแล้วก่อนการสอบใหญ่มีสหายร่วมสำนักได้คาดการณ์ไว้ก็คงจะเป็นเรื่องจริง แท้จริงแล้วเขาซุกซ่อนพลังมาโดยตลอด
ลั่วลั่วยิ้มร่าด้วยความเบิกบานใจ หัวเราะคิกๆ ประหนึ่งเสียงกระดิ่งเงินที่ใสกังวาน
หญิงสาวอยากจะเช็ดเหงื่อให้เฉินฉางเซิง กลับพบว่าเขามิได้มีเหงื่อออกมา ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มความอิ่มอกอิ่มใจเข้าไปอีก ในใจคิดที่แท้อาจารย์มิใช่คนธรรมดา ก็เหมือนดังเช่นหลายเดือนก่อนที่ตนคาดคิดไว้
นางอยากจะรู้ยิ่งนักว่าเฉินฉางเซิงเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงถามออกมา เฉินฉางเซิงบอกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ง่ายๆ มิได้อธิบายมากเกินไป
เซวียนหยวนผ้อนำหินผลึกทั้งสองก้อนส่งให้เฉินฉางเซิง เฉินฉางเซิงส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่ต้องการ การประลองยุทธ์ก่อนหน้านี้เขามิได้ใช้พลังปราณแท้แต่อย่างใด ไยจะต้องฟื้นฟูพลังด้วยเล่า
สายตาของพวกผู้เข้าสอบยังคงจ้องบนร่างกายของเฉินฉางเซิง ก่อนหน้านี้ไม่นาน เฉินฉางเซิงยังเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่ชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ วันนี้กลับเอาชนะลูกศิษย์ของเจ้าสำนักเทียนเต้าที่อบรมสั่งสอนด้วยตนเองได้อย่างง่ายดาย หากกล่าวตามเหตุผล พวกเขาควรแสดงออกว่ายิ่งตกตะลึงถึงจะถูก เพียงแค่ว่าจากการชุมนุมไม้เลื้อยถึงการเปลี่ยนอันดับประกาศชิงอวิ๋น และยังมีสิ่งที่ใต้เท้ามุขนายกป่าวประกาศแทนเขา เฉินฉางเซิงถูกผลักให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง ถึงแม้ผู้คนไม่อาจพิสูจน์ได้ กลับรู้สึกว่าเขาจะต้องมีพลังบางอย่างซุกซ่อนอยู่เป็นแน่ จึงได้มีการเตรียมใจหรือจะกล่าวว่าคาดเดาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงแม้พวกเขาจะตกตะลึง แต่ก็มิได้เสียสติจนเกินไป
ขณะนี้ผู้คนให้ความสนใจว่าพลังที่แท้จริงของเขาอยู่ในระดับไหน รวมถึงเขาใช้วิธีการใดเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถเอาชนะนักเรียนของสำนักเทียนเต้าผู้นั้นได้ จะต้องรู้ว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มีสายตาหลักแหลมดังเช่นโก่วหานสือได้มองออกนานแล้วว่าร่มคันนั้นเป็นศาสตราวิเศษที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงนึกขอบคุณที่การต่อสู้วันนี้เป็นแบบปิดประตู ผู้พ่ายแพ้ถูกส่งตัวกลับตำหนักฝึกฝน ไร้หนทางที่จะบอกรายละเอียดการต่อสู้ให้แก่สหายร่วมสำนัก ฝีมือของผู้ชนะตั้งแต่ต้นจนจบไร้ผู้คนล่วงรู้ นี่เป็นประโยชน์ที่จะรักษาความลับและฝีมือของตนได้ดีอย่างยิ่ง
การสอบใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป ผู้เข้าสอบลำดับที่หกสิบสองจึงจำใจเลือกซูม่ออวี๋ ผู้เข้าสอบคนต่อไปจึงเลือกถังซานสือลิ่ว การต่อสู้ทั้งสองสนามดำเนินมิได้เปลี่ยนแปลง มิได้มีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ซูม่ออวี๋กับถังซานสือลิ่วสุดท้ายแล้วก็ได้รับชัยชนะ
ผู้เข้าสอบด้านนอกหอได้ยินเสียงผู้เข้าสอบที่พ่ายแพ้ตะโกนด้วยความโกรธเคืองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมรางๆ ชัดเจนว่าในการประลองยุทธ์คงทำได้ไม่เลวนัก สามารถเข้ามาสู่ถึงครึ่งหน้าได้ กลับพบกับหนุ่มน้อยที่มีพรสวรรค์ดังเช่นซูม่ออวี๋และถังซานสือลิ่ว ที่จริงยากที่จะกล่าวว่ายุติธรรม จึงได้แต่กล่าวว่าโชคของผู้เข้าสอบเหล่านี้ช่างเลวร้าย
การต่อสู้รอบสุดท้ายมาถึงยังช่วงเวลาสุดท้าย ผู้เข้าสอบคนสุดท้ายมองไปยังนักบวชสำนักพระราชวังหลีที่ควบคุมการสอบ เอ่ยถาม “ลำดับขององค์หญิงไม่รวมอยู่ในผลคะแนน เช่นนี้แล้วจะนับอย่างไรเล่า”
ท่าทางของผู้เข้าสอบคนนี้ท้อแท้ผิดหวัง มองแล้วทำให้ผู้คนเกิดความเวทนา
นักบวชพระราชวังหลีใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “นั่นมิใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะต้องครุ่นคิด”
ผู้เข้าสอบคนนั้นจนปัญญาจะทำสิ่งใดได้ หันกายมองไปยังลั่วลั่ว ทำความเคารพ พลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดชี้แนะ”
ในฝูงชนมีเสียงปรบมือดังขึ้น เวลานี้ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ดังเช่นองค์หญิงลั่วลั่ว ผู้เข้าสอบคนนี้มิได้ละทิ้ง มิได้ยอมแพ้ คู่ควรที่จะได้รับการชื่นชมอย่างแท้จริง
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ไม่ว่าจะเป็นการคู่ควรที่จะสงสารหรือว่าคู่ควรที่จะชื่นชม ล้วนก็มิได้ส่งผลต่อการแพ้ชนะแต่อย่างใด
ด้านในหอชำระธุลีมีเสียงโครมดังสนั่น ประหนึ่งยอดเทือกเขาพังทลายลงมา
เวลาต่อมา ลั่วลั่วเดินออกมาจากหอชำระธุลี มายังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง ท่าทางเต็มไปด้วยความดีใจ เอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าก็ใช้เพียงแค่หมัดเดียว”
นางมิได้ลำพองใจ อันดับสองของประกาศชิงอวิ๋น สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรในรุ่นคนหนุ่มได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงสุดแล้ว เอาชนะผู้เข้าสอบที่ธรรมดาคนหนึ่ง ที่จริงแล้วก็มิได้มีตรงไหนให้ดีอกดีใจ นางดีใจเช่นนี้ เป็นเพราะว่าตนได้ใช้วิธีเดียวกับเฉินฉางเซิงจบการต่อสู้
เซวียนหยวนผ้อ เฉินฉางเซิงและลั่วลั่วต่างก็ใช้เพียงหมัดเดียวจบการต่อสู้ของตนเอง พวกผู้เข้าสอบที่อยู่ด้านนอกหอชำระธุลีได้ยินเพียงแค่สามเสียง เสียงอสนีบาต เสียงมังกรคำราม เสียงเทือกเขาใหญ่พังทลาย
ถังซานสือลิ่วมิได้ใช้หมัด เขาใช้ท่าที่มีพลังมากที่สุดของสามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ย เวลานั้นผู้เข้าสอบอยู่ด้านนอกหอชำระธุลีได้ยินเสียงกระบี่ที่ดังออกมา คิดว่าเป็นน้ำของแม่น้ำที่ล้นตลิ่ง
“จะต้องขนาดนี้เชียวรึ” กวนเฟยไป๋มองหนุ่มน้อยสามคนกับหญิงสาวผู้นั้นริมป่า ขมวดคิ้วพลางเอ่ยออกมา
เขากับลูกศิษย์ทั้งสามของสำนักกระบี่หลีซาน ก่อนหน้านี้ถ้าหากต้องการลงสนามประลอง ก็เป็นดังเช่นคนของสำนักฝึกหลวง จนถึงขนาดว่าจะจบการต่อสู้ได้รวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ ทำการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็เหมือนกับที่เขากล่าว เพียงแค่การต่อสู้ธรรมดา จะต้องเล่นใหญ่เช่นนี้ไปทำไมเล่า
ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร คิดเห็นอย่างไร โดยสรุปแล้วคนของสำนักฝึกหลวงทั้งสี่ได้ผ่านการสอบใหญ่รอบแรก ถึงเวลานี้เป็นผู้เข้าสอบหกสิบสี่คนที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่รอบต่อไป
มีผู้เข้าสอบมั่นใจในคะแนนการสอบความรู้ของตน เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว ก็คงสามารถเข้าสู่ครึ่งหน้าสี่สิบสามคนได้ เป้าหมายสามอันดับแรกของการสอบใหญ่ได้สิ้นสุดลง ก็คงจะผ่อนคลาย ใบหน้าเผยให้เห็นความเบิกบานใจ มีผู้เข้าสอบบางคนที่ได้คำนวณว่าคะแนนสอบความรู้ของตนอยู่ในระดับธรรมดา จึงเงียบนิ่งตึงเครียด ถึงขนาดเป็นกังวล หากพวกเขาปรารถนาจะเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกของการสอบใหญ่ อย่างน้อยจะต้องชนะอีกตาถึงจะมีความหวัง อย่างไรก็ตามการต่อสู้ก็เหมือนกับการฝึกบำเพ็ญเพียร ยิ่งไปข้างหน้ายิ่งเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ปรารถนาจะไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียวก็เป็นเรื่องยิ่งยากลำบาก
หลังจากการต่อสู้รอบแรกสิ้นสุดลง มีเวลาพักผ่อนเพียงชั่วครู่ พวกผู้เข้าสอบจึงนั่งอยู่ในที่นั่งของตน กินอาหารที่ตนได้พกติดตัวมา มีผู้เข้าสอบบางคนฉวยเวลารีบเร่งนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังปราณแท้ของตน
นางกำนัลหลี่นำสาวใช้มายังด้านหน้าหอชำระธุลี ปูผ้ารองอาหารลง วางอาหารรสเลิศทุกชนิดลง พวกนางเดิมทีก็พักอยู่ในตำหนักกับลั่วลั่ว หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ จึงไม่มีนักบวชผู้ใดขัดขวางพวกนาง
นี่เป็นการสอบใหญ่หรือการเที่ยวพักผ่อนกันแน่ มองเห็นภาพข้างชายป่าเหล่านี้ พวกผู้เข้าสอบรู้สึกว่ารสชาติอาหารในปากยิ่งนานยิ่งจืดชืด ก่อเกิดความรู้สึกอิจฉามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นองค์หญิงลั่วลั่วกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเฉินฉางเซิง คีบตะเกียบไม้ดำป้อนเนื้อย่างให้เขากิน ความรู้สึกอิจฉาเป็นธรรมดาที่จะเพิ่มจนกลายเป็นริษยา
กวนเฟยไป๋มองไปทางด้านนั้น ทอดถอนใจพลางเอ่ยว่า “ชาติที่แล้วเจ้าเด็กเฉินฉางเซิงจะต้องช่วยกู้โลกมนุษย์ไว้เป็นแน่”
โก่วหานสือยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นเขาก็คงจะช่วยเหลือเมืองไป๋ตี้เป็นอันดับแรก”
……………………….