ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 153 ไม่ต่อสู้
ลั่วลั่วสามารถเข้าไปดูในสุสานเทียนซูได้โดยตรง แต่นางยังคงขอร้องใต้เท้าสังฆราชทั้งคืนเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ และไม่นับลำดับ เพราะเหตุใด เพราะว่านางจะต้องกวาดล้างแทนอาจารย์ ในการต่อสู้ ทุกสนามหากนางชนะคู่ต่อสู้ได้หนึ่งคน คู่ต่อสู้ของเฉินฉางเซิงก็จะลดลงไปอีกหนึ่ง
หากมองจากตรงนี้ ยิ่งนางปะทะกับคู่ต่อสู้ที่ยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งสอดคล้องกับความปรารถนาของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าแข็งแกร่งที่สุด ถึงแม้นางจะต่อสู้ไม่ชนะพวกเขา นางก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียอย่างรุนแรง อย่างน้อยก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้เมื่อเฉินฉางเซิงได้ปะทะกับพวกเขา ก็จะยังมีโอกาสเพียงน้อยนิด
ด้วยเหตุนี้เมื่อการจับฉลากการต่อสู้รอบที่สองนางคู่กับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ทั่วทั้งสนามต่างพากันตกตะลึง มีเพียงนางที่เงียบสงบ จนถึงขนาดว่าดีใจเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงไม่คิดมาก่อนว่าเพราะเหตุใดลั่วลั่วจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ เวลานี้เมื่อถังซานสือลิ่วเอ่ยขึ้นมา ได้ครุ่นคิดจึงเข้าใจสาเหตุในนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงก้มลงมองรองเท้าคู่ใหม่ หลังจากเงียบนิ่งเป็นเวลานาน จากนั้นจึงแหงนหน้ากล่าวกับถังซานสือลิ่ว “ข้าจะต้องชนะให้ได้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยกับเขา “ประโยคนี้เจ้าไม่ควรบอกกับข้า แต่จะต้องไปบอกนาง”
เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ข้าไม่ต้องบอกนาง นางก็รู้ดี”
เป็นเวลาที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ ประตูของหอชำระธุลีจึงได้ปิดลงอีกครา
การสอบใหญ่ในวันนี้จัดที่หอชำระธุลี กำหนดไว้ว่าประตูของหอชำระธุลีจะต้องปิดเป็นจำนวนหลายครั้ง หลังจากนี้ก็จะต้องปิดอีกหลายครา เสียงแอ๊ดอ๊าดของแกนประตูยิ่งนานยิ่งเสียดแทงหู แต่ไม่มีครั้งไหนดึงดูดความสนใจของผู้คนเท่าครั้งนี้ จึงทำให้เสียงแอ๊ดอ๊าดของประตูชัดเจนที่สุด
นี่เป็นคู่การต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เริ่มการสอบใหญ่ ท่านหนึ่งเป็นธิดาเมืองไป๋ตี้ มีสายเลือดพรสวรรค์แข็งแกร่งสูงสุด องค์หญิงลั่วลั่วสามารถทำให้ลำดับในประกาศชิงอวิ๋นเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อีกท่านหนึ่งเป็นหลายชายที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญที่สุด เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นผู้แข็งแกร่ง อยู่ในการต่อสู้กลิ่นคาวโลหิตที่ด่านยงเสวี่ยจนสำเร็จถึงขั้นทะลวงอเวจี
การต่อสู้เช่นนี้เป็นธรรมดาที่ถูกจับจ้องจากฝูงชน
หนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ด้านนอกกลุ่มมาตลอด หันหลังให้โลกใบนี้ ต่างก็หันกายมามองยังหอชำระธุลี
นัยน์ตาลึกของวั่วฟูเจ๋อซิ่วดุจน้ำแข็ง มีเปลวไฟลุกขึ้นมาเลือนราง
ด้านในหอชำระธุลีเงียบนิ่งยิ่งนัก
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับลั่วลั่วยืนตรงกัน ทำการเคารพเงียบๆ จากนั้นยืดตัวตรง
ไร้คนลงมือ
แสงอาทิตย์ในโลกใบไม้คราม สาดกระทบบนใบหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ผิวพรรณขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ
ลั่วลั่วยืนอยู่นิ่งๆ ขนคิ้วประหนึ่งรูปวาด แม้อยู่ในโลกประหนึ่งรูปวาด ทว่าก็ยังคงงดงามประหนึ่งรูปวาด
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านนอกหอ จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ใบหน้ายิ้มแย้มของเขาดึงดูดผู้คน
ปกติลั่วลั่วที่ไม่ถูกดึงดูด ก็ยังรู้สึกว่าน่าดึงดูดบ้าง เพราะเหตุใดเมื่อยู่ด้านนอกหอ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเดิมทีไม่ยิ้ม เวลานี้ถึงพยายามยิ้มขึ้นมา
“มีคนจำนวนมากอยากให้ข้ากับองค์หญิงต่อสู้กัน เพราะว่าการต่อสู้ในการสอบใหญ่ คนที่สามารถเอาชนะท่านได้มีเพียงแค่ข้ากับโก่วหานสือ ซ้ำยังเมื่อเทียบกับโก่วหานสือ ข้าดูเหมือนว่าจะเหมาะสมเป็นคู่ต่อสู้กับท่าน เพราะว่าถึงอย่างไรแม้ข้าจะทำร้ายท่านจริงๆ จักรพรรดินีของจักรพรรดิขาวต้องเห็นแก่เกียรติของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ คงไม่โกรธเคืองมากเท่าใด”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจ้องมองใบหน้ายิ้มน้อยๆ ของนางพลางเอ่ยว่า “ถูกแล้ว มีคนจำนวนมากอยากจะหยิบยืมมือของข้าคัดองค์หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักฝึกหลวงออก ส่วนเจตนาของท่านข้าก็ชัดเจนยิ่งนัก แค่อยากจะคุ้มกันเส้นทางให้แก่เฉินฉางเซิงเท่านั้นเอง เพียงแต่ข้ามีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ถึงแม้ท่านสามารถเอาชนะทุกคนได้ แล้วจะรับประกันได้อย่างไรว่าเขาจะชนะได้ต่อไป”
ลั่วลั่วเอ่ยตอบ “เป็นลูกศิษย์ ข้าจะต้องทำสิ่งที่ตนสามารถกระทำได้ ไม่ว่าอาจารย์สามารถเดินไปได้ไกลเท่าใด”
“น่าสนใจอยู่บ้าง ไม่ๆ น่าสนใจอย่างยิ่ง”
รอยยิ้มบนใบหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยหุบลงช้าๆ เงียบนิ่งจนกระทั่งเมินเฉยแล้วกล่าวต่อ “ที่น่าเสียดายก็คือ การต่อสู้สนามนี้เป็นความสนใจของใต้เท้าสังฆราชทั้งสองในนิกายหลวง เป็นความสนใจของครอบครัวข้า เป็นความสนใจของคนบางคนในพระราชวัง และยังเป็นความสนใจของคนจำนวนมาก พวกเขาต่างไม่เคยคำนึงถึงว่านี่เป็นความสนใจของข้าเพียงคนเดียว”
ห้องที่เงียบสนิทในหอชำระธุลี มีเก้าอี้สิบกว่าตัวเรียงรายกันอยู่
ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวงทั้งสองท่านแยกนั่งหัวท้ายของด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ม่ออวี่กับเฉินหลิวอ๋องนั่งอยู่ตรงกลาง เซวียสิ่งชวน สวีซื่อจี เจ้าหอจงซื่อกับเจ้าสำนักเด็ดดารารวมถึงผู้แทนของพรรคทิศใต้ทั้งสามท่าน ล้วนแต่แยกย้ายกันนั่งตามเก้าอี้
การสอบใหญ่ในปีนี้ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรคนหนุ่มเหล่านั้นต่างนำความตกตะลึงและเหนือความคาดหมายมาด้วย บรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ปรารถนาจะชมในระยะประชิดยิ่งขึ้น เพื่อมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงจากตำหนักประจักษ์อักษรมายังด้านในหอชำระธุลี พวกเขาต้องการเห็นการต่อสู้สนามแรก และก็เป็นการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของพวกเขา
การต่อสู้ของลั่วลั่วกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสามารถดำเนินได้ สามารถแบ่งผู้แพ้ผู้ชนะ แต่ว่าไม่เหมือนดังเช่นเจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี๋ก่อนหน้านี้เป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นไม่อาจเหมือนเฉินฉางเซิงกับฮั่วกวง ผู้ที่รับผิดชอบควบคุมการต่อสู้ต่างก็ตั้งรับไม่ทัน จนไม่อาจดูแลผู้เข้าสอบที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ทันท่วงที นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาต่างรับปากกับใต้เท้าสังฆราชและตระกูลเทียนไห่
อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างคาดคิดไม่ถึง การต่อสู้สนามนี้ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน เพียงแค่เริ่มต้นก็ปรากฏผลลัพธ์ออกมา ก็เหมือนกับผลลัพธ์ที่ในการสอบใหญ่วันนี้เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเงียบนิ่งสงบเสงี่ยม เขามิได้ขับม้าตีแส้ และไม่ได้สู้รบอยู่ที่ด่านยงเสวี่ย เพียงแค่เสียงที่สงบนิ่งของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไม่หยุดส่งเสียงในหอเท่านั้นเอง
ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดครุ่นคิดความสนใจของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมาก่อน นี่เป็นความคิดของตระกูลเทียนไห่
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ท่าทางของใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองท่านเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อะไรคือความน่าสนใจ ความน่าสนใจก็คือการเสาะแสวงหา ข้าจะต้องมีการเสาะแสวงหาในชีวิตของตนอย่างแน่นอน อาจจะกล่าวว่ามีจุดมุ่งหมาย”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจ้องมองไปยังชั้นสองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงชักสายตากลับ มองไปยังลั่วลั่วที่จับตาดูด้วยความเงียบนิ่งเอ่ยว่า “หลายปีมานี้จิงตูต่างเอ่ยมาตลอดว่าข้าอิจฉาเฉินหลิวอ๋อง เพราะว่าตั้งแต่เล็กเขาก็อยู่ในพระราชวังมาตลอด ได้เรียนกับม่ออวี่แห่งแคว้นผิง ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาต่างพูดผิดเสียแล้ว คนที่ข้าอิจฉาก็คือม่ออวี่”
“คนบนโลกนี้มองเห็นเพียงแค่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มอบความไว้วางใจและความรักใคร่ให้นาง มอบอำนาจและเกียรติยศ ทว่ากลับถูกแสงสว่างโชติช่วงปิดบังดวงตา มองไม่เห็นว่านางยังเยาว์วัยขนาดไหน ก็อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว ขั้นรวบรวมดวงดาวสินะ…หลายปีมานี้ผู้คนต่างกล่าวถึงสวีโหย่วหรง ชิวซานจวิน หลายปีก่อน ผู้คนต่างกล่าวถึงหวังผ้อ เอ่ยถึงเซี่ยวจาง กลับมีคนเพียงน้อยนิดที่คิดว่าแท้จริงแล้วนางแข็งแกร่งขนาดไหน”
ความมืดครึ้มของห้องในชั้นสอง มีสายตาจำนวนมากร่วงหล่นบนร่างกายของม่ออวี่ ท่าทางของนางเมินเฉย คล้ายกับว่าเดิมทีเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเอ่ยถึงมิใช่นาง
“มิผิด ข้าเป็นคนที่มีอนาคตไกลที่สุดในตระกูลเทียนไห่ ด้วยเหตุนี้ผู้คนต่างคิดว่า ข้าจากด่านยงเสวี่ยไกลหมื่นลี้มายังจิงตูเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ ก็เพื่อต้องการอันดับแรกประกาศแรก อย่างไรก็ตาม…ชิวซานจวินไม่มา ถึงแม้ข้าจะเอาอันดับแรกประกาศแรกแล้วจะมีความหมายอะไรเล่า หรือว่าสามารถยืนยันได้ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าม่ออวี่รึ”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจู่ๆ ก็หยุดคำพูดลง เงียบนิ่งเป็นเวลายาวนาน ถึงจะเริ่มพูดต่ออีกครา “เอาเถอะ ถึงแม้ข้าจะชนะชิวซานจวิน ก็ยังคงไม่อาจพิสูจน์ว่าตนแข็งแกร่งกว่านาง อีกทั้งถ้าหากเป็นข้าเมื่อก่อน ข้าก็คงจะยินยอมเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ เพราะว่านั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นเกียรติยศ”
ลั่วลั่วจ้องมองเขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่คิดเช่นนี้แล้ว”
“จุดมุ่งหมายของการฝึกบำเพ็ญเพียรคืออะไร คือแข็งแกร่ง จุดมุ่งหมายของแข็งแกร่งคืออะไร คือการมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจ้องมองนางด้วยความรู้สึกสงบนิ่งเอ่ยต่อ “แต่ก่อนข้าคิดว่าอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่สำคัญยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะอย่างน้อยเมื่อข้าเผชิญหน้ากับม่ออวี่ จะสามารถเพิ่มความมั่นใจได้เล็กน้อย แต่ขณะนี้การสอบใหญ่สำหรับข้า ความน่าสนใจที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ข้าได้พบกับท่าน และท่านก็ต้องการให้ข้าพ่ายแพ้”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขามองไปยังชั้นสองอีกครา รู้สึกภูมิใจเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “ต่อไปนี้ประโยคที่ข้าจะเอ่ย แนะนำว่าทางที่ดีที่สุดพวกท่านไม่ต้องฟัง มิเช่นนั้นสำหรับพวกท่านแล้ว ก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก”