ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 155 วันปกติ
ประตูหอชำระธุลีเปิดขึ้น เหลียงปั้นหูกับชีเจียนเดินออกมา นักบวชของพระราชวังหลีประกาศว่าชีเจียนเป็นผู้ชนะ ทำให้ทั่วทั้งผืนเกิดเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมา พวกเขาเองกลับมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ เอ่ยเสียงเบาคุยอะไรกันบางอย่าง คล้ายกับว่าเดิมทีมิได้สนใจเสื้อผ้าที่เป็นรอยขาดเหล่านั้น ทุกหนทุกแห่งต่างเป็นคราบโลหิต ระหว่างแขนเสื้อยังหลงเหลือร่องรอยของแสงศักดิ์สิทธิ์หลังจากรักษา
พวกเขาเดินลงบันไดหิน มุ่งหน้าไปยังริมคลอง ระหว่างทางเดินยังคงคุยกันเสียงเบาต่อไป
มีผู้เข้าสอบบางคนที่อยู่ใกล้ พอที่จะได้ยินว่าที่จริงแล้วศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ได้ถกปัญหาการต่อสู้ก่อนหน้านี้ กระบวนท่านี้เจ้าใช้ไม่ถูก ศิษย์พี่กระบวนท่านั้นเจ้าออกช้าไป…
หลายปีมานี้ เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพเป็นดังสิ่งที่อยู่ในฝันหรือว่าเป้าหมายของคนหนุ่มรุ่นนี้ กรณีการต่อสู้ของลูกศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งพรรคกระบี่หลีซาน เล่าต่อสืบกันมาบนโลกใบนี้ เป็นหัวข้อที่คนจำนวนมากพูดถึงอย่างออกรสออกชาติ เหมือนกับปีนั้นที่กระบวนท่ากระบี่ของชีเจียนพ่ายแพ้ให้แก่จวงห้วนอวี่ เพราะว่าเป็นร่องรอยความพ่ายแพ้ที่พบเห็นได้น้อยยิ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ จึงถูกนำมากล่าววิพากษ์วิจารณ์กลับไปกลับมา
แต่ว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่เคยเห็นการต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเขา
จนกระทั่งวันนี้ ผู้คนถึงรู้ว่าเพราะเหตุนี้คนหนุ่มของพรรคกระบี่หลีซานรุ่นนี้ถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ แสงโชติช่วงของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพเพราะเหตุใดจึงสว่างไสวแวววาวเช่นนี้
การต่อสู้ของศิษย์สำนักเดียวกัน ที่จริงแล้วไม่ออมแรงแม้แต่น้อย กลับมิได้มีความเจ็บแค้นขุ่นเคือง เพราะว่าสำหรับพวกเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่เรื่องปกติธรรมดา
ทุกๆ วันทำเรื่องปกติเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง แล้วเขาหลีซานจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไรกัน
ถังซานสือลิ่วจ้องมองลูกศิษย์ทั้งสี่ริมคลอง เอ่ยด้วยความรู้สึกหดหู่ “เดิมทีข้าพ่ายแพ้ให้แก่เหลียงปั้นหูก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ชีเจียนแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”
การพ่ายแพ้ ณ ที่นี้มิได้ชี้ไปถึงความแข็งแกร่งของระดับวิทยายุทธ์ แต่เป็นสิ่งอื่น
เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา “พวกเราสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้”
ถังซานสือลิ่วปรายตามองเขา พลางเอ่ยถาม “จะเรียนอย่างไร หรือว่าเจ้าไม่เห็นรึ เหลียงปั้นหูพ่ายแพ้แล้วยังดีใจยิ่ง ซ้ำยังเป็นการดีอกดีใจจริงๆ”
“ฮะ”
“ในการสอบใหญ่ พวกเขาออกกระบี่ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าจะพิการหรือว่าเสียชีวิต นี่จึงทำให้พวกเขาดีใจยิ่งนัก”
“แล้ว?”
“ข้ามิใช่คนประหลาด ข้าเรียนรู้เช่นนั้นไม่ได้ ข้ายอมแพ้”
ตั้งแต่เช้าตรู่จนเข้ามาในพระราชวังหลี จากนั้นก็เข้ามาในตำหนักฝึกฝนของโลกใบไม้คราม จากตำหนักประจักษ์อักษรมายังหอชำระธุลี นักบวชพระราชวังหลีที่ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกผู้เข้าสอบมีไม่มาก ทว่าในความเป็นจริง ทั่วทั้งพระราชวังหลี หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้องทั่วทั้งนิกายหลวงต่างมาอำนวยความสะดวกให้ในการสอบใหญ่ มีผู้คนสอบจำนวนมากที่มองไม่เห็นเหล่านักบวชกำลังทำงานในหลากหลายรูปแบบ ปรารถนาจะเสียชีวิตในการสอบใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
เมื่อเข้าไปในหอชำระธุลีอีกครา เฉินฉางเซิงตั้งใจมองไปยังบนหอ ทว่ามองไม่เห็นผู้ใด จากนั้นเขาจึงมองเห็นคู่ต่อสู้ของตน
การต่อสู้รอบที่สาม คู่ต่อสู้ของเขาเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง พอดีกับว่าเป็นศิษย์น้องที่วันนั้นถูกถังซานสือลิ่วเยาะหยันทำให้เสียเกียรติจนร้องไห้บนทางเดิน นามว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียน
เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับพรรคฉางเซิงก็เหมือนกัน ต่างเป็นระบบของนิกายหนานฟางเช่นเดียวกัน มีสำนักที่อยู่ภายใต้การดูแลจำนวนมาก เยี่ยเสี่ยวเหลียนมาจากวัดฉือเจี้ยน ข้อมูลที่สำนักการศึกษากลางมอบให้แก่สำนักฝึกหลวง ระบุไว้อย่างชัดเจน หญิงสาวผู้นี้มีคุณสมบัติไม่เลวนัก รอให้อายุเติบโตภายหลัง ก็สามารถเข้าไปอยู่ในสถานศึกษาหนานซีได้ แน่นอนว่า นางเข้าไปได้เพียงแค่ส่วนฝึกฝนฝ่ายนอกเท่านั้น
แม้คุณสมบัติการฝึกบำเพ็ญเพียรจะดีอย่างไร แต่อายุของเยี่ยเสี่ยวเหลียนเยาว์วัยเกินไป นางเป็นหนึ่งในผู้เข้าสอบอายุน้อยที่สุดเข้าร่วมในการสอบใหญ่ ระดับวิทยายุทธ์ของนางยังไม่นิ่ง กล่าวตามเหตุผล ยากที่เข้าไปในการต่อสู้รอบที่สามได้ แต่โชคในการจับฉลากของนางดียิ่ง รอบแรกชนะได้อย่างราบรื่น คู่ต่อสู้รอบที่สองเป็นนักเรียนชาวบ้านที่สอบผ่านการเตรียมสอบถึงสามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่ ระดับวิทยายุทธ์นางกับคู่ต่อสู้พอๆ กัน พลังปราณแท้มิได้ลึกล้ำเท่าคู่ต่อสู้ สุดท้ายแล้วจึงอาศัยศาสตราวิเศษของสำนัก ถึงโชคดีเอาชนะมาได้ นางออกมาจากหอชำระธุลีก็ถลันเข้าไปในอ้อมกอดของศิษย์พี่ร้องไห้โฮ ยินดีจนยากจะระงับได้
การจับฉลากในรอบที่สาม นางได้ยินชื่อของเฉินฉางเซิง นางก็รู้ว่าโชคดีของตนได้สิ้นสุดลงแล้ว
เยี่ยเสี่ยวเหลียนมองเฉินฉางเซิง ใบหน้าเรียวเล็กอ่อนเยาว์มีท่าทางตึงเครียดไม่สงบ ขาวซีดเล็กน้อย
บนทางเดินวันนั้น นางเคยด่าทอเฉินฉางเซิงว่าเป็นคางคกที่อยากจะกินเนื้อหงส์ นางคิดมาตลอดว่าเฉินฉางเซิงเป็นของไร้ประโยชน์ ทว่าใครก็คิดไม่ถึง เฉินฉางเซิงจะชนะมาสองรอบติด รอบก่อนหน้านี้ยิ่งชนะฮั่วกวงแห่งสำนักต้นไหว โดยอาศัยพละกำลังของตน มิได้มีเหตุการณ์โชคดีในการจับฉลากดังเช่นนาง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนทราบดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของเฉินฉางเซิง คิดว่าเคยล่วงเกินคนผู้นี้มาก่อน ในใจยิ่งทวีความตึงเครียด
เวลานี้เอง เสียงของผู้คุมสอบบนชั้นสองดังขึ้นมา “เตรียมตัวเสร็จหรือยัง เริ่มได้เลย”
เฉินฉางเซิงมองเยี่ยเสี่ยวเหลียน พยักหน้าเป็นสัญญาณ
ถูกเขามองแวบหนึ่ง เยี่ยเสี่ยวเหลียนยากที่จะระงับความหวาดกลัวไว้ได้ รอบดวงตาแดง กระโปรงสั่นไหวเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่านางเป็นอะไร
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกลัวจริงๆ ร่างกายไม่หยุดสั่นเทา กระดิ่งในข้อมือก็สั่นตามไปด้วย กระทบกันเสียงดังไพเราะชัดเจน
เสียงกระดิ่งดังไพเราะชัดเจน ทำให้นางรู้สึกตัวขึ้นมา นางปลุกเร้าความกล้าหาญ นำกระดิ่งที่อยู่บนข้อมือโยนออกไปทางเฉินฉางเซิง
ระยะห่างนางกับเฉินฉางเซิงห่างกันหลายสิบจั้ง กระดิ่งเส้นนั้นพลันไปถึงยังด้านหน้าของเฉินฉางเซิงทันที
กระดิ่งเส้นนี้ก็คือกระดิ่งฟ่านอินศาสตราวิเศษของวัดฉือเจี้ยน แม้ไม่อาจเทียบได้กับกระดุมพันลี้ศราตราวิเศษในตำนานได้ แต่ก็มีพลังแข็งแกร่งยิ่ง มีพลังด้อยกว่าร่มของสำนักเทียนเต้าที่ลั่วลั่วพบในการต่อสู้รอบแรกไม่มาก มิเช่นนั้นนางก็คงไม่สามารถหยิบยืมพลังศาสตราวิเศษนี้เอาชนะคู่ต่อสู้ในรอบที่สองได้
กระดิ่งเส้นนี้ไม่รู้ว่าทำมาจากโลหะอะไร ในสายรัดก็มีพลังกระบี่ที่ดุดันเบาบาง ในเสียงที่ไพเราะชัดเจนซุกซ่อนพลังปราณบางชนิดไว้รางๆ สามารถก่อกวนการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรได้ เพียงแค่โชคของเยี่ยเสี่ยวเหลียนคล้ายกับว่าหมดลงในรอบก่อนหน้านี้แล้ว เวลานี้คู่ต่อสู้ของนางเป็นเฉินฉางเซิงที่มีจำนวนพลังปราณแท้อ่อนด้อยที่สุด ซ้ำยังเขาก็ไม่ต้องการนำพลังปราณแท้มาต่อสู้
มือขวากำหมัดตีออกไปข้างหน้า จากนั้นกางออกในอากาศ ประหนึ่งดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เตรียมที่จะกำกระดิ่งฟ่านอิน
กระดิ่งฟ่านอินอยู่กลางฝ่ามือเขาสั่นไหวไม่หยุด มองแล้วก็เหมือนกำลังต่อสู้ดิ้นรน ส่งพลังมหาศาลออกไปบริเวณรอบๆ เวลาเดียวกันพลังปราณที่รบกวนการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ยิ่งนานยิ่งดุเดือด
การขับเคลื่อนพลังปราณแท้ในร่างกายของเฉินฉางเซิงแน่นอนว่าได้รับผลกระทบ ปัญหาอยู่ตรงที่ ถึงแม้กระดิ่งฟ่านอินมิได้ทำอะไร การขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของเขาก็ยากที่จะคล่อง ชีพจรของเขาเดิมทีก็ได้ขาดลง
เขาไม่ใช้พลังปราณแท้ อาศัยเพียงแค่พละกำลังของร่างกาย ก็สามารถกำกระดิ่งฟ่านอินอยู่ในมือได้
กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!
กระดิ่งฟ่านอินสั่นไหวรุนแรง ต่อสู้ดิ้นรน ปรารถนาจะกระโดดออกจากการเกาะกุม ทว่ากลับไม่เป็นผล
หลังจากเวลาหลายอึดใจ กระดิ่งฟ่านอินในที่สุดก็สงบลงได้ นอนแน่นิ่งอยู่ในฝ่ามือของเขา
เยี่ยเสี่ยวเหลียนมองภาพนี้ ลืมว่าตนกำลังอยู่ในการต่อสู้หมดสิ้น ใช้มือกุมปากตนเองไว้ ตื่นตระหนกจนขีดสุด
กระดิ่งฟ่านอินเป็นสิ่งที่อาจารย์ของวัดฉือเจี้ยนมอบให้แก่นาง นางชัดเจนยิ่งนัก กระดิ่งฟ่านอินเส้นนี้เมื่อบินออกไปมีพลังมากมายเพียงใด ยากที่จะควบคุมได้ นางเคยคิดไว้ว่าเฉินฉางเซิงอาจจะมีหลายวิธีที่จะทำให้กระดิ่งฟ่านอินหมดฤทธิ์ได้ง่ายดาย กลับคิดไม่ถึง เฉินฉางเซิงจะใช้มือเปล่าจับกระดิ่งฟ่านอินไว้ได้
เสียงไพเราะชัดเจนหายไป ในหอชำระล้างธุลีทั่วทั้งผืนเงียบสนิท
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตกตะลึงมิได้เอ่ยสิ่งใด มิได้กระทำสิ่งใดต่อ
เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้ลงมือต่อ กำกระดิ่งฟ่านอินในมือ มองขึ้นไปบนชั้นสองของหอ
ห้องบนชั้นสองยังคงเงียบสงัด ไม่รู้ว่าตื่นตะลึงที่เฉินฉางเซิงมีพละกำลังเหนือคนธรรมดา หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุบางประการ จึงไร้คนเอ่ยสิ่งใด
ท่าทางม่ออวี่เฉยเมยพลางเอ่ยขึ้นมา “หรือพวกเจ้าคิดว่าเขาจะทำให้หญิงสาวผู้นี้เสียเกียรติจริงๆ กัน เขามิใช่ถังถัง”
ประโยคนี้เผยให้เห็นความตั้งใจบางอย่างที่ปิดบังเอาไว้ และยังเป็นการตัดสินอีกด้วย
นักบวชพระราชวังหลีผู้หนึ่งปรากฏออกมาริมระเบียงชั้นสอง มองไปยังเยี่ยเสี่ยวเหลียนตะโกนถาม “ยอมแพ้รึ”
ยังเยี่ยเสี่ยวเหลียนพยักหน้า เบ้าตาแดงรื้นขึ้นมา
เฉินฉางเซิงวางกระดิ่งฟ่านอินลงบนพื้นทรายข้างเท้า หันกายเดินออกจากหอชำระธุลี
เขาไม่ได้เอ่ยคำหยาบคายต่อหญิงสาวที่เคยทำให้เขาเสียเกียรติ อีกทั้งมิได้ใส่ใจนาง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตกตะลึงมองตามฝีเท้าของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไร้เรี่ยวแรง
ก่อนหน้านี้นางได้เตรียมที่จะถูกเฉินฉางเซิงโจมตีจนพ่ายแพ้ จากนั้นก็เตรียมที่จะเสียเกียรติ กลับคิดไม่ถึงเขาจะทำเช่นนี้
ออกจากหอชำระธุลี เฉินฉางเซิงเดินกลับไปยังริมป่าไม้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกลับไปอยู่ข้างกายศิษย์พี่ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา
“เป็นสุภาพบุรุษรึ”
ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้มมองเฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “แล้วข้าจะกลายเป็นคนอย่างไรเล่า”
เฉินฉางเซิงกล่าวถามออกไป “หากเปลี่ยนเป็นเจ้า จะทำอย่างไร”
ถังซานสือลิ่วครุ่นคิด พบว่าตนก็ไร้หนทางจะทำอะไรได้ เขาไม่ชื่นชอบหญิงสาวที่นามว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียน วาจาโหดร้ายย่อมได้ เพราะว่าการโต้เถียงจะต้องอาศัยภาษากับพลังการหายใจเข้าออกรวมถึงไม่ต้องการศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจะโจมตีนาง เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอไม่ใช่หรือ
ต่อมาเป็นลั่วลั่วที่ลงสนาม
บัณฑิตของสำนักต้นไหวที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ขณะนี้เหลือเพียงแค่สองคน คู่ต่อสู้ของนางในสนามนี้เป็นอีกคนที่มิใช่จงฮุ่ย
นางกับบัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นั้นเดินเข้าไปในหอชำระธุลี
ในชั้นสองมีเสียงริมฝีเท้าก้าวเดิน
มีผู้ยิ่งใหญ่บางคนเดินมาดูการต่อสู้ริมหน้าต่าง พวกเขาแปลกประหลาดใจยิ่ง ขณะนี้องค์หญิงลั่วลั่วแท้จริงแล้วอยู่ระดับไหน ถึงสามารถทำให้หอความลับสวรรค์เปลี่ยนอันดับในประกาศชิงอวิ๋น เมื่อการต่อสู้รอบแรก ลั่วลั่วพบกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนด้อยเกินไป รอบสองเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็สละสิทธิ์ เช่นนี้แล้วรอบนี้ก็จะต้องต่อสู้แล้วกระมัง
ลั่วลั่วปลดแส้วิรุณโปรยออกมาจากข้างกาย มองบัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นั้นพลางเอ่ยออกมา “เจ้าออกกระบี่ก่อน”
นางอยู่ในสำนักฝึกหลวงเคารพรักศรัทธาเฉินฉางเซิง ยิ่งทวีความน่าเอ็นดู บางครั้งบางครามีความกระเง้ากระงอด ทว่าพลังอำนาจที่กระทำต่อผู้อื่นนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อแรกเริ่มอยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สำนักเทียนเต้าหรือว่าผู้อาวุโสเสี่ยวซงกง ต่างก็มิได้อยู่ในสายตาของนาง แล้วจะนับอะไรกับบัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นี้
นางมิได้ตั้งใจมองจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มิได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เพียงแค่สุภาพเยือกเย็น วาจาเมินเฉย ให้ความรู้สึกสูงส่งและมีอำนาจบางอย่าง
ท่าทางของบัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นั้นเปลี่ยนไป ค่อยๆ ชักกระบี่ยาวออกมา
การกระทำของเขาเชื่องช้า ทว่าเสียงกระบี่ยาวออกมาจากฝักตรงไปตรงมา
เสียงฉับดังขึ้น!
แสงกระบี่สว่างไสวเส้นหนึ่ง พลันก็พุ่งมาด้วยระยะทางสิบกว่าจั้ง มายังตรงหน้าลั่วลั่ว!
ดวงตาของลั่วลั่วมิได้กะพริบ ขนตาก็มิได้ขยับแม้แต่น้อย
ยกบุษราคราม!
แส้วิรุณโปรยในมือนางเต้นระห่ำมุ่งทะยานออกไป
กระบี่ลมฝนเขาจงซานใช้พลังปราณแท้มหาศาล แสงกระบี่เผาทำลายได้ง่ายดาย จากนั้นโจมตีไปยังด้านหน้าบัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นั้น
ตำหนักฝึกฝนเป็นโลกใบเล็ก การตอบสนองของฟ้าดินยิ่งไวกว่าเดิม ตามที่นางออกกระบี่ลมฝนจงซาน ในท้องฟ้าสีครามปรากฏสิ่งแปลกประหลาดขึ้น
ไม่รู้ว่ามีเมฆดำล่องลอยมาจากแห่งใด ปกคลุมทั่วทั้งหอชำระธุลี
จากนั้นจึงเริ่มมีฝนตกลงมา
ก็เหมือนกับเริ่มการต่อสู้ ชายหลังคาของหอชำระธุลีถูกชะล้างอีกรอบ
นางใช้ก็คือแส้วิรุณโปรย เม็ดฝนก็คือปลายแส้
เม็ดฝนร่วงหล่นบนหลังคา ร่วงหล่นบนพื้นทราย เกิดเป็นเสียงดังซ่าๆ
ก็เหมือนกับเสียงแส้โบยลงบนร่างกายของคน
พลังของสายฝนค่อยรวมกัน ฝนเทกระหน่ำลงมา ม่านสายฝนด้านในหอชำระธุลีหนาแน่น ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก
แสงกระบี่บางครั้งบางคราแลบขึ้นมา เพียงชั่วพริบตาก็ถูกฝนที่เทกระหน่ำลงมากลืนหายไป
หลังจากนั้น ด้านในหอก็มีเสียงไพเราะชัดเจนเปรี้ยงดังขึ้น
ฝนที่เทกระหน่ำพลันหยุดลง
บัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นั้นไร้เรี่ยวแรงล้มลงอยู่มุมกำแพง มีร่องรอยบาดเจ็บเต็มตัว โลหิตและเม็ดฝนรวมกันเป็นแห่งเดียว
สีหน้าของเขาขาวซีด ริมฝีปากที่เริ่มเขียวคล้ำสั่นเทาเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
นั่นเป็นความผิดหวังหลังจากถูกผู้แกร่งกล้าบดขยี้