ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 169 อันดับของข้อสอบความรู้และไม้เท้าที่ปีนขึ้นเขา
ตำหนักฝึกฝนในโลกใบไม้คราม ไม่รู้วันรู้คืน ผู้คนที่อยู่ข้างในก็ยากที่จะรับรู้ถึงเวลาที่หมุนผ่าน ไม่รู้ว่าโลกภายนอกวันที่สองได้มาเยือนแล้ว
เวลาใกล้จะถึงตอนเที่ยงวัน พวกพ่อค้าขายแผงลอยก็กอบโกยโอกาสนี้ในการตะโกนเรียกลูกค้า ใช้เสาหินเป็นเส้นกั้น ด้านนอกเส้นครึกครื้นยิ่งนัก กลิ่นหอมของขนมเค้กดอกกุ้ยฮวา (ดอกหอมหมื่นลี้) เด่นชัดที่สุดในบรรดาอาหารทั้งหมดทั้งมวล
ฝูงชนที่มาชมการสอบใหญ่มุงล้อมอยู่ด้านนอกพระราชวังหลี สนทนาเกี่ยวกับข่าวสารที่ออกมาจากในตำหนัก ผู้คนไม่อาจมองเห็นภาพที่ทำให้ตื่นเต้นในสนามการสอบใหญ่ได้ ความรู้สึกกลับมิได้รับการกระทบแต่อย่างใด บรรยากาศยังคงคึกคัก จะต้องกล่าวว่า นี่ก็เป็นคุณงามความดีของนักเล่านิทานเหล่านั้น
ห่างออกไปหลายสิบจั้งของถนนของด้านนอกพระราชวังหลี มีโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ด้านหน้าลานมีโต๊ะธรรมดาวางไว้ นักเล่านิทานที่สวมชุดคลุมยาวยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะของตน พูดออกมาน้ำลายกระเด็น มือไม้เป็นพัลวัน อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักฝึกฝนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และก็ไม่รู้ว่านักเล่านิทานเหล่านี้รวมถึงเจ้าของร้านที่อยู่ด้านหลังพวกเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้ใดในพระราชวังหลี เรื่องที่เกิดขึ้นในสนามการสอบใหญ่ก่อนหน้านี้ เวลาต่อก็เปลี่ยนเป็นเนื้อหาของนิทาน ทว่ามิได้บิดเบือนมากนัก
ตรงข้ามมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้มีหอน้ำชาแห่งหนึ่ง ตกแต่งโอ่อ่า ทว่าวันนี้หอน้ำชาก็ไม่อาจดำเนินตามประเพณีที่นิยมกันได้ จึงเชื้อเชิญนักเล่านิทานมานั่งห้องโถง อีกทั้งยังซื้อข่าวจากพระราชวังหลีด้วยเงินจำนวนมาก เห็นเพียงแค่นักเล่านิทานท่าทางซูบผอมแต่มีชีวิตชีวานำไม้ตีลงบนโต๊ะ เอ่ยว่า “มีคนเอ่ยว่าคลองฉวี่เจียงใสจนสามารถส่องได้ เหล่าท่านผู้เข้าสอบได้แสดงความสามารถของตนออกมาทุกรูปแบบ บางคนเหยียบลำคลองข้ามผ่าน บางคนหายตัวไปตามหมู่เมฆ สุดท้ายแล้วเหลือเพียงหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นั้น ทั้งสองฝั่งลำคลองเงียบเป็นเป่าสาก ต่างก็อยากดูว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นจะข้ามลำคลองอย่างไร ผู้ใดจะคาดคิด ได้ยินเสียงนกกระเรียนมาจากขอบฟ้า นกกระเรียนขาวนั่นกลับมา!”
เล่ามาถึงตรงนี้ นักเล่านิทานผู้นี้ก็ตีไม้ทำให้ตกอกตกใจ ทำให้แขกหอน้ำชาที่ใจจดใจจ่อตกใจ จากนั้นถึงจะค่อยๆ อธิบายต่อ “เวลานั้นทั้งสองฝั่งคลองฉวี่เจียงมีผู้เข้าสอบเกือบร้อย เช่นนี้ผู้เข้าสอบต่างก็ตกตะลึงตาค้าง ท่านทั้งหลายอาจจะถูกหนุ่มน้อยผู้นั้นทำให้ตกใจ แต่ผู้เข้าสอบเหล่านั้นกลับถูกนกกระเรียนขาวตัวนั้นทำให้ตกใจ เพราะเหตุใด เพราะว่าเวลาต่อมา หนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นั้นมิได้เอ่ยสิ่งใด สะบัดชุดคลุมยาว จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนนกกระเรียนขาว ทะยานไปบนก้อนเมฆ มุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม เป็นการขี่นกกระเรียนข้ามลำคลองจริงๆ ภาพเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน!”
ในหอน้ำชามีเสียงพูดคุยดังขึ้นอื้ออึง
นักเล่านิทานผู้นั้นยิ้มพลางเอ่ยต่อ “ทุกท่านมิจำเป็นต้องพูดคุยกัน ทราบกันดีว่าบรรดาผู้เข้าสอบเหล่านั้น ไม่ว่าจากมาจากพรรคหรือว่าสำนักใดล้วนแต่เคยพบเห็นสัตว์เทพมาก่อน แต่เพราะเหตุใดพวกเขาถึงตกตะลึงถึงเพียงนี้เล่า เพราะไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าจะนำวิธีนี้มาข้ามลำคลองได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ นกกระเรียนตัวนั้นมิใช่นกกระเรียนธรรมดา เป็นนกกระเรียนจวนเทพขุนพลตงอวี้ของต้าโจวพวกเรา!”
ในหอน้ำชามีเสียงพูดคุยดังเกรียวกราวขึ้น คนของจิงตูส่วนมากต่างรู้ดี จวนเทพขุนพลตงอวี้เลี้ยงนกกระเรียนขาว แค่หลายปีมานี้พบเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง และยิ่งคิดไปถึงการสมรสที่แพร่สะพัดอลหม่านนั่น อดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดนกกระเรียนขาวตัวนั้นถึงยินยอมพาหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงข้ามไป
“ทุกท่านหากยังไม่ลืมก็คงจะทราบดี นกกระเรียนขาวตัวนั้นติดตามคุณหนูสวี่ไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทางทิศใต้ เพราะเหตุใดจู่ๆ ถึงปรากฏอยู่ที่จิงตูซึ่งมีระยะทางห่างเป็นหมื่นลี้เล่า หรือว่าคุณหนูสวี่จะยอมรับจริงๆ ว่าหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นั้นเป็นว่าที่สามี แล้วลูกศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซานทั้งสี่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร”
เล่ามาถึงตรงนี้ นักเล่านิทานผู้นี้กระแอมสองที ยกน้ำชาขึ้นดื่ม แขกหอน้ำชาต่างเข้าใจว่านี่หมายถึงสิ่งใด ถึงแม้จะมีแขกร้านน้ำชาสองสามคนเอ่ยออกมาด้วยความโมโหว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เหตุใดวันนี้ถึงมาเล่าหลอกเอาเงินอีก ทว่าคนส่วนใหญ่ยังคงหยอดเงินค่าน้ำชาอย่างซื่อๆ ตามกันต่อไปอีก
นักเล่านิทานเห็นจำนวนเงินในถาดรองชงชาก็พึงพอใจยิ่งนัก ทำเสียงให้สดใสอีกครา เริ่มอธิบายเรื่องการสอบใหญ่ต่อ บรรดาคนในหอน้ำชาตั้งอกตั้งใจฟัง ไร้คนสังเกตว่ามีคนวัยกลางคนที่สวมหมวกงอบหลังจากจิบน้ำชาแล้วก็เดินออกไป หมวกงอบของคนวัยกลางคนผู้นี้งุ้มต่ำลง มองเห็นรูปหน้าไม่ชัดเจน หลังจากออกมาจากหอน้ำชาก็เดินผสมปนเปไปกับฝูงชนบนถนน เพียงไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปไม่นาน คนวัยกลางคนผู้นี้ก็ปรากฏตัวในตำหนักรับรองทางด้านทิศใต้ของพระราชวังหลี เขาล้วงเม็ดยาสีแดงออกมาจากอก ไอออกมาด้วยความทรมานระลอกใหญ่ สุดท้ายจึงสามารถสะกดอาการบาดเจ็บภายในร่างกายได้ เดินไปนอนบนเตียง ถอดหมวกงอบวางไว้ข้างๆ เส้นผมสีดำพลันโผล่ขึ้นมาเลือนรางสองหย่อม
หลังจากผ่านเวลาเที่ยงวัน การค้าขายของหอน้ำชาหอน้ำชาต่างก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น นี่มิใช่ว่าเป็นเพราะนักเล่านิทานเล่าเรื่องดึงดูดผู้คน แต่เป็นเพราะคะแนนของการสอบความรู้ได้ประกาศออกมาเป็นทางการ เจ้าของร้านหรือว่าหุ้นส่วนของทุกหอทุกโรงน้ำชาต่างไปจดที่ด้านหน้าพระราชวังหลีกลับมา แล้วจึงเริ่มอธิบายให้บรรดาแขกในร้านน้ำชาฟัง
ลำดับสุดท้ายของประกาศการสอบความรู้เป็นผู้เข้าสอบที่นามว่าจางทิงเทาของสำนักเด็ดดารา ฝูงชนมิได้คุ้นเคยชื่อนี้ เป็นธรรมดาที่มิได้พูดคุยกัน เพียงแค่หัวเราะคิกคัก โจมตีเป้าหมายการก่อตั้งของสำนักเด็ดดาราเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ชื่อของเซวียนหยวนผ้ออยู่ค่อนไปข้างหลัง ถังซานสือลิ่วอยู่อันดับที่เจ็ด จวงห้วนอวี่ลำดับที่หก คะแนนสอบของบัณฑิตสำนักต้นไหวดีอย่างยิ่ง ทุกคนต่างเข้าไปอยู่สิบอันดับแรก แน่นอนว่า สิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญที่สุดก็คือรายชื่อที่อยู่สองอันดับแรก โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงมีรายชื่ออยู่อันดับแรกและอันดับสองตามลำดับ แต่ว่าชื่อของทั้งสองคนต่างก็มีหมายเหตุว่า ยอดเยี่ยม
เห็นคะแนนสอบความรู้ของการสอบใหญ่ เห็นการพูดคุยของแขกน้ำชาเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดใจ ชี้ไปยังรายชื่อของโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง ชื่นชมไม่หยุด มีกลุ่มคนที่จากต่างเมืองมาถึงจิงตูเห็นคะแนนสอบของการสอบความรู้ต่างก็ไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดในเมื่อมีรายชื่ออยู่ในอันดับแรก แล้วเหตุใดยังจะต้องเขียนชื่นชมอีกเล่า
มีกลุ่มคนจิงตูอธิบายให้แก่คนเหล่านี้ การสอบความรู้ของการสอบใหญ่เป็นเพียงแค่การจัดลำดับ มีเพียงแค่ข้อสอบที่พิเศษถึงจะได้รับการระบุว่ายอดเยี่ยม การกล่าวว่ายอดเยี่ยมในที่นี้โดยปกติจะแปลว่าทำถูกต้องทั้งหมด
รายชื่อของโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงล้วนแต่ถูกระบุไว้ว่ายอดเยี่ยม เช่นนั้นแล้วข้อสอบของพวกเขาก็เรียกว่าสมบูรณ์แบบ
จะต้องรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยอย่างยิ่ง หลายปีผ่านมานี้ ข้อสอบของการสอบใหญ่ยังไม่ปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
คนต่างเมืองที่มาท่องเที่ยวเหล่านั้นถึงจะเข้าใจเหตุผลนั้น กลับมีบางอย่างที่คิดไม่ตก ในเมื่อคะแนนข้อสอบความรู้ของทั้งสองล้วนแต่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ก็คงจะถูกต้องทั้งหมด เช่นนั้นแล้วจะจัดลำดับคะแนนสูงต่ำอย่างไร เพราะเหตุใดรายชื่อของโก่วหานสือถึงอยู่อันดับแรก เฉินฉางเซิงถึงอยู่อันดับที่สองเล่า ปัญหานี้ไร้ผู้คนอธิบายได้ กลุ่มผู้คนที่พบเจอสิ่งต่างๆ มีความรู้กว้างไกลของจิงตูต่างก็แปลกประหลาดใจกับเรื่องนี้ คนที่ไม่เข้าเช่นกันก็คือผู้คุมสอบที่มีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบของพระราชวังหลี
ผู้ควบคุมการสอบความรู้จ้องมองนักบวชที่ท่าทางเยือกเย็น ชัดเจนยิ่งนักว่าจะมาหาเรื่องก่อกวน ในใจครุ่นคิดสำนักการศึกษากลางถึงกับไม่ยินยอมหากเฉินฉางเซิงจะไม่ได้อันดับแรก ทว่าเหตุใดถึงแสดงออกโจ่งแจ้งเช่นนี้ด้วยเล่า
ทว่าสำนักการศึกษากลางอยู่ภายใต้การดูแลของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา หนึ่งปีที่ผ่านมามีพลังอำนาจแข็งแกร่งผิดปกติ ถึงแม้หัวหน้าผู้ควบคุมการสอบจะมีตำแหน่งเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ยังคงอธิบายอย่างระมัดระวัง
“มีปัญหาเรื่องมาตรฐานการใช้ภาษา”
เขาจ้องมองนักบวชที่มีหน้าที่ตรวจสอบคะแนนการสอบความรู้ของสำนักการศึกษากลางไม่กี่คนเหล่านั้น ท่าทางเคร่งขรึมพลางเอ่ยออกมา “ทางด้านอื่นต่างก็ไม่อาจแบ่งแยกได้ แต่โก่วหานสือใช้ภาษาละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้คำเฉพาะที่เกี่ยวข้องในตำรา แม้แต่เส้นพู่กันก็ยังไม่ผิดแม้แต่น้อย เฉินฉางเซิงถึงแม้จะตอบคำถามไม่มีผิดแม้แต่น้อย แต่การใช้คำของเขาค่อนข้างเก่าแก่เกินไป ตามมาตรฐานหลังจากการปรับปรุง แน่นอนว่าจะต้องถูกหักคะแนน”
คะแนนการสอบความรู้ถูกส่งออกไปจากพระราชวังหลี ประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบทั่วกัน แน่นอนว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างยอดเยี่ยมทั้งสองคน ได้กลายเป็นคู่ที่ทุกคนชื่นชม เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเล็กน้อย หลังจากคนที่ถูกคัดเลือกเข้ามาอยู่ในรอบสุดท้าย ยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นพิเศษ พูดคุยกันไม่หยุด ก็เป็นเพราะสองคนในรอบสุดท้ายยังคงเป็นโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง นี่เหมือนแฝงอะไรบางอย่าง อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ในปีนี้ จะต้องอยู่ที่หนึ่งในสองคนนี้เป็นแน่
คนหนึ่งเป็นอันดับสองที่โด่งดังของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ หนุ่มน้อยผู้มีสติปัญญาของพรรคกระบี่หลีซาน โก่วหานสือที่แตกฉานในคัมภีร์เต๋า อีกหนึ่งเป็นนักเรียนใหม่คนแรกของสำนักฝึกหลวง เป็นผู้โปรดปรานที่ถูกบ่มเพาะโดยอำนาจเก่านิกายหลวง เฉินฉางเซิงว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง จากชื่อเสียงของทั้งสองคนไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ใดด้อยกว่ากัน สามารถเดินมาถึงจุดก็ได้พิสูจน์ความรู้และความสามารถของพวกเขา เพียงแต่ว่าคนที่มองเฉินฉางเซิงในแง่ดียังคงมีไม่มาก
บ่อนพนันใหญ่ทั้งสี่แห่งมีอัตราการพนันออกมาใหม่ อัตราที่ได้เมื่อโก่วหานสือชนะคือหนึ่งต่อหนึ่งจุดสาม เฉินฉางเซิงคือหนึ่งต่อเจ็ด ห่างไกลกันมากจนถึงขนาดกล่าวได้ว่าสถานการณ์นี้โก่วหานสือชนะอย่างแน่นอน
ได้ยินเสียงดังเอ็ดตะโรมาจากข้างล่าง ใบหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะพนันข้างเฉินฉางเซิงด้วยเงินจำนวนมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นั้นจะเดินมาถึงตรงนี้ได้ ถึงแม้จะเป็นเขาก็ไม่อาจมองเฉินฉางเซิงในแง่ดีว่าจะเอาชนะต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้จนถึงท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดมองเฉินฉางเซิงในแง่ดี เนื่องจากพวกเขารวมถึงเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยรู้ดียิ่งว่าระหว่างโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงมีประตูกั้นไว้อยู่
ประตูบานนั้นสูงยิ่งนัก
ประตูบานนั้นเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ยิ่งสูงยิ่งอยู่ในความเป็นความตาย
ในตำหนักประจักษ์อักษร เหมยหลี่ซาใต้เท้ามุขนายกค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองคะแนนการสอบความรู้บนกระจก เงียบนิ่งเป็นเวลานาน จากนั้นจึงยิ้มออกมา อยู่ภายใต้การพยุงของอาจารย์ซินยากอย่างยิ่งที่จะยืดตัวยืนตรงได้ เดินออกมาจากตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ เดิมทีเขาอยากจะใช้การสอบใหญ่เพื่อให้เฉินฉางเซิงเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น กลับไม่คาดคิดว่าเฉินฉางเซิงจะสามารถเด็ดผลไม้ที่ฉ่ำไปด้วยน้ำผลนี้ได้ หากไม่มีความหวังก็ช่างเถิด แต่ในเมื่อความหวังอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าเขาจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดทำลาย ผู้ใดก็ไม่ได้ทั้งนั้น
ด้านในลึกของพระราชวังหลี มงกุฎศักดิ์สิทธิ์ที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงหล่นลงมา ส่องแสงแวววาว ไม้เท้าเทพส่องแสงกระทบเป็นเงาสะท้อนกลับในแม่น้ำ ประหนึ่งอยู่กลางมหาสมุทร หากเปรียบเทียบกับศาสตราวิเศษทั้งสองแล้ว ใบไม้ที่อยู่ในกระถางดินเผานั้นก็คงจะซอมซ่อ ทว่าใต้เท้าสังฆราชมิได้มองไปที่มงกุฎศักดิ์สิทธิ์ และก็ไม่ได้มองไปที่ไม้เท้าเทพ ทว่าจ้องมองใบไม้สีเขียวครามนั้น เหม่อลอยเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด
เขาไขว้มือไว้ข้างหลัง คล้ายกับชาวไร่ที่ปลูกดอกไม้ผู้แก่ชรา
ไม่ไกลออกไปเป็นสระน้ำใสสะอาด กระบวยไม้ลอยกวัดแกว่งไปมาเบาๆ คล้ายกับเรือลำหนึ่ง สามารถบรรจุน้ำได้ น้ำเหล่านั้นนำมารดใบไม้ได้ และสามารถนำมาเป็นสายฝนได้
สถานที่ห่างไกลจากจิงตูที่สุด มีเทือกเขาที่ไร้สิ่งใด ในป่าระหว่างเทือกเขาเชื่อมต่อกันตลอด มีเมฆหมอกสีขาวลอยวนเวียน ทางเดินบนเทือกเขาลื่นแฉะก้าวเดินลำบาก อีกทั้งยังเงียบสงบแปลกประหลาด ถ้าหากในเทือกเขาไม่มีเสียงดังต๊อกๆ ขึ้นบ่อยครั้ง อาจจะยิ่งทำให้น่าสะพรึงขึ้นทวีคูณ
เสียงต๊อกๆ เหล่านั้นก็คือเสียงไม้เท้าที่กระทบกับทางเดินหิน
อวี๋เหรินกำลังถือไม้เท้าโค้งงอ เดินบนทางเดินขึ้นเขาอย่างทุลักทุเล เขากับอาจารย์ของเฉินฉางเซิง นักพรตจี้ที่ลึกผู้นั้น มือทั้งคู่ไขว้กันเดินอยู่เบื้องหน้า คล้ายกับว่าเดิมทีมิได้กังวลว่าเขาจะตามทันหรือไม่
เสียงต๊อกๆ ยังคงดังเป็นเวลายาวนาน เมฆหมอกในป่าไม้ที่เงียบสงัดยิ่งหนาแน่นขึ้น ในนั้นมีเสียงแหลมเล็กดังออกมาเบาๆ คล้ายกับว่ามีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากถูกเสียงไม้เท้าดึงดูดมาที่นี่