ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 197 สูญสิ้นจิตวิญญาณแก่นสารในชีวิต
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เฉินฉางเซิงฟื้นตื่นขึ้นมา เพียงแค่รู้สึกสดชื่นเท่านั้น ค่อยนั่งขัดสมาธิสงบจิตใจ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ารอยบาดแผลที่เหลือจากการสอบใหญ่เกือบจะหายดีแล้ว อย่างไรก็ตาม เขามองดูศิลาดำในฝ่ามือ เงียบขรึมไปสักพัก อารมณ์ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร
เขาเหมือนจะพอเข้าใจว่าหินศิลาสีดำก้อนนี้ถึงจะเป็นสิ่งของที่เขาตามหา นักพรตจี้ให้เขาเข้า หอหลิงเยียน นอกจากสมุดบันทึกของหวังจือเช่อ ยังมีศิลาดำที่เป็นจุดสำคัญ ตามคำพูดของหวังจือเช่อ ศิลาดำก้อนนี้น่าจะเป็นของจักรพรรดิไท่จู่ที่ยกให้เขาก่อนตาย ไม่แน่อาจมีความลับอันใหญ่หลวงเกี่ยวกับการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา
ศิลาดำสำคัญมาก ทว่าเขายังคงคิดถึงแต่สมุดบันทึกของหวังจือเช่อ
หลังสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิสายนั้นผ่านไป เกิดลมฝนมากมายขึ้นในความทรงจำ เขาเห็นภาพต่างๆ มากมาย เมื่อเทียบกับบันทึกของหวังจือเช่อ ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น แม้ว่าจะยังคงไม่สามารถสรุปความได้ก็ตาม
ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ก็คือต้องเปลี่ยนตำแหน่งหรือไม่ก็ความสว่างของดาวโชคชะตาในท้องฟ้าค่ำคืน เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งและการแสดงของตัวละครมนุษย์บนโลก และ…ตำแหน่งจำเป็นต้องสัมพันธ์กัน
ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและความสว่างของตนเอง การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและความสว่างของพวกดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืนที่อยู่รอบๆ ก็สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เหมือนกันได้ เหตุผลเช่นเดียวกับการที่ถ้าเราปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง อย่างแรกที่สมควรทำคือการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของบรรดาคนที่วนเวียนอยู่ในชีวิต มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน หากโชคชะตาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงย่อมกระทบการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองอย่างแน่นอน
อย่างเช่นบิดาบุตร
อย่างเช่นพี่น้อง
อย่างเช่นกษัตริย์ขุนนาง
ความจริงอันสุดแสนจะเย็นชา
เฉินฉางเซิงไม่สามารถยืนยันว่าภาพที่ตัวเองเห็นนั้นเป็นความจริงในอดีตหรือจินตนาการ เวลาทั้งคืน ร่างกายของเขาเปียกชื้นเพราะเหงื่อไหลอาบแล้วระเหยแห้ง หลังตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกหนาวเย็นอย่างยิ่ง
บรรดาภาพที่เย็นชาคาวโลหิตเหล่านั้นถึงจะเป็นความจริงของประวัติศาสตร์ นั่นหมายความว่า มหากษัตริย์สองรัชสมัยของต้าโจวล้วนเป็นคนเลือดเย็นอย่างนั้นหรือ? จ่ายต้นทุนสูงปานนี้เพื่อการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ทำเรื่องน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงขนาดนี้ มันคุ้มค่าแล้วหรือ? ต่อจากนั้นเขาก็คิดอีกว่า ถ้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่สามที่ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาสำเร็จ ฉะนั้นต้นทุนที่นางจ่ายจะต้องหนักหนาปานใด?
ข่าวโคมลอยที่เล่าลือกันเกี่ยวกับเรื่องราวคาวโลหิตอันโหดเหี้ยมอำมหิตสืบต่อกันมายาวนานเป็นเรื่องจริงหรือ? บุตรชายคนแรกของนางตกลงว่าถูกวางยาโดยคนที่รับคำสั่งมาจากพระอัครมเหสีพระองค์ก่อน หรือว่าเหมือนกับในข่าวลือที่ว่าถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปิดปากด้วยมือของตัวเอง? เหล่าบุตรของนางที่คลอดออกมาส่วนมากมีชีวิตไม่เกินหกปี จริงๆ แล้วเป็นเพราะบรรยากาศในพระราชวังโหดร้ายน่ากลัวเกินไป หรือว่าเป็นการบูชาบางอย่าง? บูชาให้กับท้องฟ้าดวงดาว?
ร่างของเฉินฉางเซิงยิ่งมายิ่งเหน็บหนาว เขาไม่อยากคิดต่อไปแล้ว เพราะว่าเขาไม่กล้าที่จะคิดต่อไปอีก เผชิญหน้ากับเงาของความตาย เขาล้วนสามารถที่จะสงบ ทว่าสำหรับความจริงของโลกที่แอบซ่อนอยู่หลังแสงอาทิตย์ เขาซึ่งอายุเพียงสิบห้ายังคงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป เขาอยากจะออกไปให้พ้นจากตรงนี้แล้ว
หอหลิงเยียนยังคงมืดมิดทั่วทุกสารทิศ ประตูหน้าต่างมองไม่เห็นแสงท้องฟ้าใดๆ ไม่สามารถคาดเดาเวลาได้ แต่เขามั่นใจว่า ตอนนี้เวลาห้ายามแล้ว เป็นเวลาที่เขาตื่นนอนทุกวัน
เขาลุกขึ้นมาจัดการผนังอิฐมรกตให้เรียบร้อย หอหลิงเยียนเป็นสถานที่ต้องห้ามในส่วนลึกของพระราชวัง หนึ่งปีอย่างมากก็เปิดแค่สองสามครั้ง คิดว่าภายในระยะเวลาอันสั้น ช่องว่างบนผนังอิฐมรกตที่ถูกกระบี่สั้นกรีดออกมาน่าจะไม่มีใครเห็น และเขาในตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องนี้เช่นกัน
ตามเหตุผลแล้วหอหลิงเยียนสามารถสกัดกั้นลำแสงทั้งหมด ฉะนั้นน่าจะสามารถสกัดกั้นเสียงทั้งหมดได้ แต่แล้วในเวลาต่อมา เหมือนกับเมื่อคืน เสียงระฆังที่ชัดเจนกังวานไกลส่งมาจากพื้นดิน ราวกับฑูตคนหนึ่งวิ่งมาจากที่ไกลๆ อย่างรีบเร่ง คิดอยากจะปลุกคนที่นั่งสมาธิในหอ
ลมเย็นหอบหนึ่งโชยตามเสียงระฆังมาให้หลัง ประตูใหญ่ของหอหลิงเยียนค่อยๆ เปิดออก แสงอรุณจางๆ ส่องลงบนแผ่นศิลาทางเดิน ฉาบฉายภาพวาดหลายสิบภาพที่อยู่บนผนัง เหล่าคนในภาพวาดนั้นทำคุณงามความดีใหญ่หลวงให้ต้าโจวมากมาย แต่แล้วในปัจจุบันก็มีเพียงแค่ปีละไม่กี่ครั้งที่สามารถมองพระอาทิตย์เต็มสองตา
เฉินฉางเซิงตามแสงอรุณและลมโชยเดินออกมาจากหอหลิงหอเยียน เดินเข้าไปในเสียงระฆัง จิตใจกลับไม่สามารถสงบลงได้ ลมเย็นโชยพัดเข้าอก ก็ไม่สามารถให้เขาตื่นตัวมีสติได้ กลับยิ่งทวีความหนาวยะเยือก
ยืนอยู่บนเวทีสูงหน้าหอหลิงเยียน เขามองไปยังพระอาทิตย์ที่อยู่ไกลๆ ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า จากนั้นมองไปยังจิงตูที่ค่อยๆ ถูกปลุกโดยแสงแรกอรุณ ตรอกซอยจำนวนหลายเส้นเหมือนกับเส้นในกระดานหมาก แม่น้ำลั่วและคูคลองหลายสายคล้ายแขนงเส้นเล็กย่อยที่กระจายอยู่บนกระดานหมาก จำนวนกรอบสี่เหลี่ยมมากมายจำนวนช่องนับไม่ถ้วน จำนวนบ้านเรือนและจวนถูกกักขังอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเหล่านั้น อีกทั้งมีคนจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองผ่านการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาผู้อื่น? เรื่องแบบนี้ทำได้จริงหรือ? แม้ว่าพวกตรอกซอยจะกลายเป็นกำแพงที่ผุพัง? แม้เหล่าบ้านช่องของประชาชนจะกลายเป็นซากปรักหักพัง? แม้คนเป็นพันเป็นหมื่นจะหายสาบสูญ? แม้ว่าไฟสงครามจะปะทุต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน? น้ำท่วมล้นฟ้า? ก็ยังคงจะทำแบบนี้หรือ?
เขานึกถึงประโยคสุดท้ายในสมุดบันทึกของหวังจือเช่ออีกครั้ง…ไม่มีโชคชะตา มีเพียงแค่ตัวเลือก
ใช่ คนเก่งบนใบโลกนี้แบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือการเปลี่ยนโชคชะตาผู้อื่นเพื่อบรรลุประสงค์ให้โชคชะตาของตัวเองสมบูรณ์แบบ ยังมีอีกประเภทหนึ่งซึ่งก็คือไม่สนใจโชคชะตาอย่างสิ้นเชิง เชื่อมั่นในตัวเองผู้จะสามารถควบคุมสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองทั้งหมด แม้ว่าสุดท้ายแล้วโชคชะตาจะชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมัน เขาก็ยังคงจะเงยหน้าขึ้น
ไท่จู่และไท่จงบิดาบุตรเป็นประเภทแรก หวังจือเช่อเป็นประเภทหลัง แล้วเขาเล่า? เขาตอนนี้ยังอ่อนแอไม่ประสา แต่ถ้าในอนาคตเขาแข็งแกร่งถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับการเลือก เขาจะตัดสินใจอย่างไร?
มองดูตรอกซอยและบ้านช่องจำนวนมากในจิงตูภายใต้แสงอรุณ เฉินฉางเซิงถามตัวเอง ข้าควรเป็นคนอย่างไร? ชีวิตแบบสมบูรณ์กับชีวิตสมบูรณ์แบบแท้จริงแล้วอย่างไหนสำคัญกว่า?
ชีวิตสองคำและสมบูรณ์แบบสองคำในประโยคนั้น เป็นความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ระหว่างขบคิดปัญหานี้ เขาไปจากหอหลิงเยียน เดินลงไปตามขั้นบันไดหินทอดยาว จนกระทั่งถึงพื้นดินของพระราชวัง ยังคงไม่ได้คำตอบ
คนส่วนมากในจิงตูยังหลับสนิทอยู่ คนส่วนมากในพระราชวังตื่นขึ้นมาแล้ว ผู้สอบบางคนรู้สึกง่วงงุ่นงัวเงียอยู่มาก ขอบตาดำเล็กน้อย ชัดเจนมากว่าหลับนอนไม่ดี ผู้สอบบางคนเป็นเพราะว่าตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ว่าผู้สอบส่วนมากพักผ่อนได้อย่างประเสริฐ
สำหรับเหล่าผู้สอบหนุ่มที่มาจากสำนักพรรคต่างๆ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการเข้าร่วมการสอบใหญ่คือเข้ารอบสามขั้นแรก ได้รับสิทธิ์ในการเข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู แน่นอนว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ใดๆ อย่างเช่นสมาธิไม่พร้อมส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญในสุสานเทียนซู
รถม้านับสิบคันรวมตัวกันต่อแถวรอรับคำสั่งอยู่นอกประตูพระราชวัง อาชาพ่วงพีหงุดหงิดจนกระทืบเท้าเบาๆ เหล่าผู้สอบยืนรอออกตัวอยู่ข้างรถ มองดูเฉินฉางเซิงที่เดินมายังนอกพระราชวังจากที่ไกลๆ บางคนก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน อย่างเช่นสานุศิษย์หนุ่มไม่กี่คนของสำนักต้นไหว
เหล่าผู้สอบสังเกตเห็นผมของเฉินฉางเซิงยุ่งนิดๆ สีหน้าเหนื่อยล้า แลดูเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง จนถึงกระทั่งดูโทรมเล็กน้อย ตระหนักได้ทันทีว่าเมื่อคืนเขาพักผ่อนในหอหลิงเยียนไม่เต็มที่แน่นอน หรือกระทั่งอาจไม่ได้นอนเลย ไม่เพียงแต่รู้สึกไม่เข้าใจนิดหน่อย ในใจยังคิดอีกว่าถึงแม้จะนั่งสงบสมาธิหนึ่งคืน ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นตัวเองยากลำบากขนาดนี้
ถังซานสือลิ่วมองทะลุปรุโปร่งมากกว่านั้น เกิดเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย ถามเสียงค่อย ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ไม่เป็นอะไร” เฉินฉางเซิงส่ายหัวพลางพูดออกมา
เขาไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับใครเป็นอันขาด…แม้ว่าจะเป็นถังซานสือลิ่ว หรือลั่วลั่วก็ตาม…เขาเดินเข้าไปยังประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายทารุณท่อนหนึ่ง แม้ว่าจะห่างจากการค้นพบความลับนั้นอีกไกลมาก แต่เขาได้เห็นประตูบานนั้นแล้ว กระทั่งน่าจะได้กุญแจแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นสายตาความสนใจใคร่รู้ของผู้สอบหรือขุนนาง ล้วนตกอยู่บนตัวเฉินฉางเซิง
ข่าวการค้นพบสวนโจวถูกประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว หรือจะพูดอย่างชัดเจนว่า ประกาศที่ราชสำนักชั้นสูงรวมถึงภายในสำนักพรรคต่างๆ งานฉลองความสำเร็จของการสอบใหญ่เมื่อคืน ม่ออวี่เป็นตัวแทนประกาศอย่างเป็นทางการของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สวนโจวจะถูกเปิดในอีกหนึ่งเดือน
ผู้ใดไม่อยากเข้าสวนโจว? ผู้ใดไม่อยากเสี่ยงดูว่าตนเองอาจมีโอกาสสัมผัสการเป็นผู้สืบทอดของผู้แข็งแกร่งสุด? แต่แล้วก็มีเพียงผู้บำเพ็ญที่ถึงขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าสวนโจวได้
การเข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อบรรลุที่สุสานเทียนซู สำหรับผู้บำเพ็ญมันเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ขณะนี้ยิ่งเป็นโอกาสสุดท้ายในการเข้าสวนโจวของเหล่าผู้สอบอีกด้วย พวกเขาจำเป็นต้องก้าวข้าวสู่ขั้นทะลวงอเวจีภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น
ภายใต้ความกดดันซ้ำซ้อน แน่นอนว่าเหล่าผู้สอบตื่นเต้นมาก รู้ตัวว่าต้องขยันฝึกปรือให้มาก กระทั่งต้องตั้งใจอย่างหนักในสุสานเทียนซู คิดถึงจุดนี้ มองดูนัยน์ตาของเฉินฉางเซิง แน่นอนว่าเกิดรู้สึกยุ่งยากสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงปีนี้อายุแค่สิบห้าปี นอกจากคนจำนวนน้อยนิดอย่างชีเจียนและเยี่ยเสี่ยวเหลียน เขาเด็กกว่าคนส่วนใหญ่ในขั้นสามของการสอบใหญ่ แต่ตอนนี้เขาเหมือนกับโก่วหานสือและเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ทะลวงอเวจีแล้ว อีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่มีการพัฒนาใดๆ ในสุสานเทียนซู หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเขาก็สามารถเข้าสวนโจวได้สบาย
อายุน้อยขนาดนี้ก็ทะลวงอเวจี กระทั่งข้ามขั้นประกาศชิงอวิ๋นไป เมื่อลองทบทวนดูดีๆ แล้ว แม้แต่ในระดับหนึ่งเขาก็แซงสวีโหย่วหรงไปแล้ว จะไม่ให้ผู้คนอิจฉาได้อย่างไร? หากไม่ใช่เป็นเพราะผลงานของชิวซานจวินเรื่องสวนโจวมันดึงดูดสายตาเกินไป ผู้คนอาจรู้สึกว่าความสามารถของเขายิ่งสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
เฉินฉางเซิงในตอนนี้ เป็นจุดเด่นของทั้งนครจิงตูอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาไม่มีความรู้สึกกับตัวเองแบบนี้ เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างรถ มองดูตรอกซอยภายใต้แสงอรุณ เงียบขรึมเล็กน้อย ราวกับเหม่อลอย
ถังซานสือลิ่วมองดูเฉินฉางเซิงที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเจอเรื่องอะไร ก็ใช่ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องแสวงโชคในสุสานเทียนซูอีก อีกทั้งยังสามารถเข้าสวนโจวได้โดยตรง แต่เจ้าต้องเข้าใจสิ่งหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญอย่างพวกเราแล้ว ตัวสุสานเทียนซูเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว สำคัญยิ่งกว่าการสอบใหญ่ สำคัญกว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น”
เฉินฉางเซิงมิได้กล่าวคำ ยังคงมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ถังซานสือลิ่วพูดต่อว่า “สิ่งที่ได้จากสุสานเทียนซูไม่สามารถเห็นได้ทันทีก็จริง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราจะสามารถไปได้ไกลขนาดไหน สามารถไปถึงจุดไหน ยังคงต้องดูว่าพวกเราสามารถบรรลุมากน้อยเพียงใดในสุสานเทียนซู จำนวนหลายปีผ่านมาคนจำนวนมาก ก็ยืนยันจุดนี้มานานแล้ว ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของถังซานสือลิ่ว แน่นอนเขาเข้าใจความสำคัญของสุสานเทียนซูที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าปัญหาอยู่ที่ สภาพจิตใจตอนนี้ของเขามีปัญหาใหญ่มาก
การบำเพ็ญเพียรแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าบำเพ็ญถึงขั้นอำพรางเทพ เขาจะสามารถต่อเส้นลมปราณได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงาของความเป็นตายอีก ถ้าบำเพ็ญถึงขั้นอิสระไร้เทียมทาน แค่ยื่นมือก็ได้มาแม้กระทั่งดวงดารา สามารถครอบครองโชคชะตาของตัวเอง กระทั่งอาจสามารถเป็นอมตะไม่แก่ชรา ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
ปัญหาอยู่ที่ ขั้นอำพรางเทพที่เป็นเรื่องเล่าลือในตำนานแบบนี้ โจวตู๋ฟูในปีนั้นก็ไม่เห็นจะก้าวไปถึง เขายิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องชนิดนี้? บัดนี้เขาได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ เริ่มสัมผัสความลับของการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ในเมื่อไม่สามารถบำเพ็ญถึงขั้นอำพรางเทพ เรื่องบำเพ็ญสำหรับเขาแล้ว ยังจะมีความหมายอะไร? เขาผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามีวินัยขยันขันแข็ง จู่ๆ ก็ปล่อยวางลงมาอย่างไร้เหตุผล กระทั่งรู้สึกว่าการใช้ชีวิตไม่มีความหมายอะไรแล้ว
แสงอรุโณทัยค่อยๆ เรืองรอง เฉินฉางเซิงผู้ที่มีอายุสิบห้าขวบปี จู่ๆ ก็ไม่มีความสนใจในการบำเพ็ญเพียร ประจวบกันเป็นเวลาเดียวกับที่เขามาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวในจิตใจของผู้บำเพ็ญ สุสานเทียนซู
………………………