ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 2 เพราะเหตุใด
เมื่อมองดูเงาที่หายลับไปจากห้องโถงของหนุ่มน้อยผู้นั้น ฮูหยินสวีใบหน้าประหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง นางอยากจะยกน้ำชาดื่มเพื่อเติมความชุ่มชื่นให้คอที่แห้งผาก กลับพบว่าถ้วยน้ำชาของนางนั่นเย็นเสียแล้ว นางอยากจะปาถ้วยน้ำชาลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ นางไม่สนว่าถ้วยน้ำชานี้จะมีราคาแพงเพียงใด แต่เกรงว่าบริวารจะได้ยินเสียง แล้วล่วงรู้ได้ว่าตอนนี้นางมีอารมณ์เช่นไร
ตอนนี้อารมณ์ของนางย่ำแย่อย่างยิ่ง นางรับรู้ความหมายที่หนุ่มน้อยผู้นั้นอยากจะส่งถึงนางคือ…ขออภัยด้วย นี่มิได้ทำให้ท่านมีความสุข แต่อย่างน้อยก็ทำให้ข้ายินดีขึ้นมา อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางได้พูดทำนองนี้กับเขา มาที่จวนขุนพลเทพเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้าหรือ ขออภัยด้วย นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเจ้า แต่สำหรับข้าหาใช่ไม่
แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบหนุ่มน้อยผู้นั้นได้แสดงกิริยามารยาทสุภาพ มิได้เสียมารยาทแม้แต่น้อย เพียงแค่ใช้สองประโยคที่สื่อความหมายอย่างครบถ้วนและได้หันหลังกลับออกไป ยิ่งทำให้การสื่อความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือนี่จะเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของเขา
ใบหน้าของหญิงรับใช้ชราพลันเปลี่ยนเป็นมืดมน ก้าวไปข้างกายฮูหยิน เปล่งเสียงทุ้ม เอ่ยว่า “ให้เขาจากไปเช่นนี้หรือ”
“ตอนแรกข้าคาดคิดว่าเป็นเพียงหนุ่มน้อยที่ทะนงตนเท่านั้น ตอนนี้กระจ่างแล้วว่า เดิมทีนั้นเขาเป็นเพียงหนุ่มน้อยที่มีเงื่อนงำ ถ้าเขาอยากจะมาหาผลประโยชน์จากจวนเทพขุนพล แม้กระทั่งน้ำชาอึกหนึ่งยังมิกล้าดื่ม ไฉนจะกล้าพกหนังสือแต่งงาน ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ต้นถึงตอนนี้ก็ยังหามีผู้ใดได้เห็นหนังสือสมรสไม่”
ฮูหยินสวีเข้าใจความหมายของหญิงรับใช้ชรา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เอ่ยว่า “อย่างไรเสียเขาก็นับว่าเป็นคนฉลาด ปรารถนาผลประโยชน์มากเช่นไร ยิ่งต้องทำให้มีความชัดเจน เมื่อแรกเริ่ม ยิ่งไม่ควรทำเรื่องทั้งหมดให้ถึงจุดจบ”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เดิมทีตั้งใจจะมาถอนการหมั้นหมาย เหตุใดสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ เขายิ่งคิดไม่ออก จวนขุนพลเทพแท้จริงมีหลากหลายวิธีที่จะจัดการกับการหมั้นหมายครั้งนี้ แต่เหตุใดฮูหยินสวีกลับเลือกวิธีโง่เง่าที่สุดเช่นนี้เล่า
มีเรื่องที่ทำให้คิดไม่ตกตั้งมากมาย เขาไม่อยากจะคิดแล้ว เพียงแค่คิดวาจาวางอำนาจบาตรใหญ่ของฮูหยินสวีเมื่ออยู่ในห้องโถง ก็ทำให้หยุดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูของจวนแห่งนี้จะมีลักษณะเยี่ยงไร งดงามหรือไม่ แน่นอนว่านางเติบโตจากที่นี่ คิดดูแล้วนิสัยคงไม่ได้อ่อนโยนและจิตใจดีเป็นแน่…
จวนขุนพลเทพกว้างขวางใหญ่โต แม้เปรียบกับเมืองซีหนิงก็ยังใหญ่โตกว่ามาก ไม่มีสาวใช้นำทาง เขาคงง่ายต่อการพลัดหลง เมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้ พลันพบว่าตนได้มาอยู่ด้านนอกของป่าที่เงียบสงบ พลางนึกถึงเรื่องที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง มีเด็กสาวถูกตาแก่ที่ไร้ยางอายฆาตกรรม ยิ่งคิดเขายิ่งไม่สบายใจ เหตุก็คงเพราะตนมักเป็นคนที่มีความคิดที่น่าเบื่อเช่นนี้
ขณะนี้ เขารู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองที่ร่างกายของเขา พลันหันไปมอง เห็นเพียงสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ที่ซุ้มประตูหินข้างต้นไม้ จึงได้รู้ว่าตนนั้นมิได้หลงทาง แต่คงถูกชักจูงมาเป็นแน่
สตรีนางนั้นคงมีอายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปี สวมใส่เสื้อผ้าสวยสดงดงาม เพียงแค่เครื่องประดับบนตัวนางสักชิ้น คงจะมีราคามากกว่าสิ่งของทั้งบ้านของเขา ใบหน้าที่ได้รูป ถ้าเติบใหญ่คงเป็นสตรีที่งดงามเป็นแน่ ดวงตาสีดำที่กะพริบอยู่นั้น ช่างน่ารักเหลือเกิน เพียงแค่แววตาคู่นั้นมีความกล้าหาญ เมื่อมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว คงจะร้ายกาจไม่เบา
เฉินฉางเซิงตะลึงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดหรือว่าแม่นางท่านนี้จะเป็นคุณหนูแห่งจวนสวี
เขานั้นร่ำเรียนมาตั้งแต่เยาว์วัย มีความอดทนเป็นอย่างดี ไยฝ่ายตรงข้ามไม่กล่าวถาม กลับจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
ในที่สุด สตรีนางนั้นจึงเอ่ยประโยคแรก
“นักพรตเต๋าสามารถแต่งงานได้หรือ”
เฉินฉางเซิงมองตามสายตาที่ฝ่ายตรงข้ามมองผมที่มวยเกล้าแบบนักพรตเต๋าของตน จึงอธิบายว่า “ข้าหาได้ใช่นักพรตเต๋าไม่ ถึงแม้จะใส่ชุดของนักพรตเต๋า แถมยังมวยผมแบบเต๋า แต่ว่าเป็นเพียงแค่ความเคยชินเท่านั้น มิได้แสดงว่าข้าคือนักพรตเต๋า”
สตรีนางนั้นเดินไปข้างๆ เขา แล้วเพิ่งพินิจอย่างจริงจัง ถามกลับว่า “เจ้าเป็นคนธรรมดาหรือ”
เฉินฉางเซิงตะลึงไปชั่วครู่ถึงจะเข้าใจความหมายว่าคนธรรมดาคือสิ่งใด พลางตอบว่า “ใช่ ข้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียรมาก่อน”
หญิงสาวมิได้ใส่ใจกับสิ่งที่เขาตอบว่ายังไม่เคยบำเพ็ญเพียรมาก่อน แต่ใช่ว่าจะไม่เป็นวิทยายุทธ์ นางเพ่งไปที่ดวงตาของเขา พลางถามอย่างจริงจังว่า “เจ้ามีการหมั้นหมายกับคุณหนูจริงหรือ”
ฟังประโยคนี้ของนาง เฉินฉางเซิงจึงได้รู้ว่านางมิใช่คุณหนูแห่งตระกูลสวีคู่หมั้นของตน จึงมีความรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกผิดหวัง
“แม่นางคือ”
“ข้าชื่อซวงเอ๋อร์ เป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนู”
เฉินฉางเซิงมิได้คาดคิดมาก่อนว่ามีสาวใช้ที่สวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามเยี่ยงนี้อยู่ด้วย คิดมาถึงตรงนี้รอบๆ ตัวก็เงียบเชียบมิมีผู้ใด จึงทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งระหว่างฐานะของสาวใช้ผู้นี้กับคุณหนูแห่งตระกูลสวี
“ข้ากับคุณหนูของเจ้ามีการหมั้นหมายกันจริงๆ”
สาวใช้ที่มีนามว่าซวงเอ๋อร์คนนั้น ได้มองเขาอย่างจริงจัง พลางเอ่ยว่า “วันหลัง เจ้าอย่าได้เอ่ยประโยคนี้อีก”
“เพราะเหตุใด” เฉินฉางเซิงถามกลับอย่างจริงจัง
ซวงเอ๋อร์มองมายังลักษณะรูปร่างของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกโมโห จึงเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา จะมาอยู่กับคุณหนูของข้าได้เยี่ยงไร รีบเอาหนังสือสมรสออกมาเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้า”
เฉินฉางเซิงจ้องมองนาง จึงถามกลับอย่างจริงจังว่า “เพราะเหตุใด”
ยังคงเป็นสามคำนี้
ซวงเอ๋อร์จ้องมองใบหน้าที่ได้รูปของนักพรตเต๋าหนุ่มน้อยผู้นี้ ทันใดกลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับกล่าวว่า “ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิต ก็ไม่ต้องเอ่ยเรื่องการหมั้นหมายต่อผู้ใดอีก มิเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่สามารถรักษาชีวิตเจ้าได้”
นางคิดว่าตนได้ใคร่ครวญเพื่อหนุ่มน้อยยากจนที่มาจากชนบทผู้นี้อย่างจริงใจแล้ว ถึงแม้คุณหนูจะไม่สามารถแต่งงานกับเขา แต่เมื่อได้ดูหนังสือสมรสแล้ว คุณหนูย่อมรู้ดีเกี่ยวกับหลักฐานที่หนุ่มน้อยคนนี้มี ถึงอย่างไรก็ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามมีชีวิตอยู่ แต่นางกลับคาดคิดไม่ถึง เมื่อประโยคนี้ได้เข้าหูฝ่ายตรงข้าม เปรียบดั่งการใช้อำนาจบาตรใหญ่ก็มิปาน
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ ในใจครุ่นคิดจวนขุนพลเทพปรารถนาจะเป็นดั่งอันธพาลเชียวหรือ เขาเคยอ่านในตำราและยังดูในบทละครงิ้ว ล้วนแต่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ตนกลับมาอยู่ในสถานการณ์นั้นเสียเอง แล้วใครจะอยู่ที่เมืองจิงตูรอให้เกิดเรื่องเล่า
เขาเอ่ยว่า “จวนขุนพลเทพปรารถนาให้ข้าตาย ก่อนหน้านั้นฮูหยินก็ไม่ให้ข้าจากไปไหน ถ้าหากข้าดูไม่ผิดหญิงรับใช้ชราผู้นั้นคงจะเก่งกาจไม่เบาเชียวล่ะ อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่พบเจอข้า ถ้าจะสังหารแล้วฝังใต้ดอกไม้เพื่อเป็นปุ๋ย ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้มิใช่หรือ แต่ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นไม่ควรที่จะเกิดเรื่องขึ้นถึงจะถูก”
ซวงเอ๋อร์ยิ้มหยัน พลางตอบว่า “มีสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจ้องมองจวนขุนพลเทพ ดังนั้นถ้ายังอยู่ในเขตจวน เจ้าก็ยังปลอดภัย แต่เมื่อใดเจ้าก้าวออกจากจวนแล้วนั้น เจ้าก็เปรียบดั่งคนเร่ร่อน คิดหรือว่าเจ้าจะมีชีวิตได้อีกนานสักเพียงใด”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จึงเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจ”
ซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “หากให้เจ้ากับคุณหนูแต่งงานกัน แล้วพรรคฉางเซิงจะคิดเช่นไร ตระกูลชิวซานจะคิดเช่นไร แม้ว่าจะอยู่ในเมืองเสินตู ถ้าหากคนเหล่านั้นคิดจะฆ่าเจ้าเสีย ใครจะหยุดยั้งได้”
เฉินฉางเซิงถามต่อว่า “พรรคฉางเซิงและตระกูลชิวซานทั้งสองนี้คือที่ใด”
ซวงเอ๋อร์จ้องมองเขาราวกับมองคนโง่เง่า พลางถามว่า “เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลยหรือ”
เฉินฉางเซิง มิได้อธิบายใดๆ ถามกลับว่า “ข้าควรรู้อะไรบ้าง”
มีบางเรื่อง ที่หนุ่มน้อยนักพรตเต๋าผู้มาจากเมืองซีหนิงคงจะไม่รู้ แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นผู้คนทั้งใต้หล้าล้วนแต่รู้ ดั่งเช่นตอนนี้เป็นการครองบัลลังก์ของราชวงศ์ต้าโจว ดั่งเช่นท่านขุนพลเทพทัพตงอวี้ สวีซื่อจี ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ บิดาของเขาเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ตำแหน่งไท่ไจ่ในราชวงศ์ก่อน แต่กระนั้นตำแหน่งของเขาตอนนี้ที่ได้รับความไว้วางใจ เหตุเพราะมาจากบุตรสาวของเขาเสียมากกว่า
สวีซื่อจีมีบุตรสาวเพียงคนเดียว สวีโหยว่หรง ร่างของนางนั้นคือหงส์ฟ้ากลับชาติมาเกิด มีสายเลือดที่เป็นคุณสมบัติพิเศษน่ามหัศจรรย์มาตั้งแต่เกิด เมื่อครั้งเยาว์วัยก็สามารถสำเร็จการชำระล้างกระดูก อายุสิบสองปีได้เดินทางไปร่ำเรียนที่ยอดเขาเทพธิดาทางแดนใต้ กล่าวกันว่าตอนนี้บรรลุถึงขั้นถอดจิต ชื่อเสียงดังไกลก้องโลก มีคนเคารพรักมากมาย คาดว่านางจะต้องได้รับตำแหน่งนักปราชญ์หญิงคนต่อไปแห่งนิกายแสงสว่าง
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สายเลือดตั้งแต่บรรพบุรุษของหญิงสาวล้วนแต่สูงส่งทั้งสิ้น ผู้คนล้วนชื่นชอบรักใคร่ เล่าขานกันว่าคุณชายแห่งเผ่ามารผู้กระหายเลือดคนนั้นก็เป็นคนที่นับถือศรัทธาในตัวนางเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงอนาคตของสวีโหยว่หรงว่าจะเป็นเยี่ยงไร ผู้คนมักจะนึกถึงชื่อหนึ่ง ชื่อที่เต็มไปด้วยเกียรติยศ
ชิวซานจวิน!
ตระกูลชิวซานเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งทางทิศใต้ ในรุ่นนี้ของตระกูลชิวซานนั้น มีลูกศิษย์หนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่ง ชิวซานจวิน กล่าวกันว่าเขานั้นคือเทพมังกรกลับชาติมาเกิด เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งพรรคฉางเซิง มีผู้นำในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ฝึกบำเพ็ญเพียรกับผู้อาวุโสในแดนใต้ ปีนี้อายุเพียงสิบแปดปี แต่คนทั่วไปมักจะคิดว่าในภายหน้าเมื่อเขามีอายุหลายร้อยปี ในใต้หล้านี้เขาคงเป็นผู้ถูกเลือกให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นแน่
หงส์ฟ้ากับเทพมังกร ชิวซานจวินกับสวีโหยว่หรงคู่นี้เปรียบดั่งศิษย์พี่ศิษย์น้อง ในคนอายุรุ่นราวเดียวกันนี้นับว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ที่จริงแล้วคงมิสามารถหาคนที่สามที่จะเทียบกับทั้งสองนี้ได้
ในใต้หล้านี้ล้วนแต่รับรู้ว่าชิวซานจวินรักใคร่สวีโหยว่หรง ตลอดเวลาเฝ้ารอให้นางเติบโตอยู่เงียบๆ ผู้อาวุโสและศิษย์ของพรรคฉางเซิง รวมถึงประชากรไพร่ฟ้าของต้าโจวและตระกูลชิวซาน ล้วนแต่คิดว่านี่คงเป็นคู่ที่สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กันเป็นแน่ แม่นางม่ออวี่แห่งพระราชวังต้าโจวยังเคยกล่าวเอาไว้ว่า แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังมองเรื่องของทั้งสองว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม
ทว่าทันใดนั้นก็มีหนุ่มน้อยนักพรตเต๋าคนหนึ่งได้มาเยือนจวนท่านแม่ทัพพร้อมกับหนังสือสมรส
เขากล่าวว่าเขาคือคู่หมั้นของสวีโหยว่หรง
ถ้าหากเรื่องนี้ได้เผยแพร่ออกไป…
ทั่วหล้านี้คงจะได้ตะลึงงัน
ภายในสวนเงียบสงบ สายลมที่พัดผ่านมาทางซุ้มประตูหินได้พัดใบไผ่ปลิวว่อน
“ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้ว” ซวงเอ๋อร์จ้องมองเฉินฉางเซิงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็เป็นเพียงคนธรรมดา ถูกแบ่งกั้นจากโลกของคุณหนูด้วยเส้นทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ไพศาล เจ้าไม่มีทางก้าวข้ามมาได้ เพื่อตัวเจ้าเอง สิ่งที่ดีที่สุดคือควรลืมเรื่องนี้เสีย”
เฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วไม่ได้คาดคิดมาก่อน ว่าหญิงสาวที่เป็นคู่หมั้นตนจะเก่งกาจเพียงนี้ หลังจากได้ครุ่นคิดจึงถามกลับว่า “แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ฮูหยินมิได้กล่าวกับข้า”
ซวงเอ๋อร์ เอ่ยว่า “ฮูหยินไม่อยากให้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้เกรงว่าหลังจากรู้แล้ว เจ้าจะปรารถนาในสิ่งต่างๆ นานา”
เขาเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองไปยังนางเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดเจ้าถึงบอกข้า”
ซวงเอ๋อร์ กล่าวตอบ “เหตุเพราะในจดหมายคุณหนูได้กล่าวถึงเจ้าไว้ คุณหนูเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ถึงแม้นางจะไม่สมรสกับเจ้า แต่ก็ไม่ปรารถนาเห็นเจ้าตายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ว่า…ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเป็นคนฉลาด หลังจากได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว เจ้าคงจะกระจ่างแจ้งด้วยตัวเจ้าเอง แล้วกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”
หลังจากพูดจบประโยค เขาได้เดินไปทางซุ้มประตูหิน เท้าได้เหยียบกับใบไผ่บนพื้น พลันก่อให้เกิดเสียงดังสวบสาบ
ซวงเอ๋อร์ตะลึงงัน ในใจคิดว่านี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ
เฉินฉางเซิงพลันหยุดเท้าลง หันหลังกลับมองมายังนาง
ซวงเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจไม่น้อย มือน้อยๆ ยกมาทาบบนอก รอคอยการตัดสินใจของเขา
เฉินฉางเซิงจ้องมองมายังนางแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการจะออกจากที่นี่ ควรเดินไปทางไหน”