ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 201 เด็กน้อยสองคนข้างรั้วไผ่
เข้าไปในสุสานเทียนซูไม่ดูคัมภีร์สวรรค์ชมแต่ทิวทัศน์ ไม่มีใครรู้ว่าเฉินฉางเซิงคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงทำเช่นนี้ ที่จริงเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ยอมเข้าสุสานเทียนซู ไม่ยอมไปดูแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เหล่านั้น กลับรั้งกายเดินเล่นเดินชมอยู่แต่ในสวนใต้สุสานเทียนซู
มองดูตะวันชิงพลบที่อยู่ห่างไกล มือเขาตกลงบนด้ามจับของกระบี่สั้น ลูบก้อนหินสีดำเบาๆ สัมผัสไออากาศอ่อนละมุน เขาถึงสดชื่นขึ้น เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าแท้จริงแล้วการรอดูแปลว่าลังเล และที่เขาลังเลเพราะว่าจิตใต้สำนึกของเขาไม่ปรารถนาจะบำเพ็ญเพียรต่อ การบำเพ็ญเพียรทำให้คนเติบใหญ่ ทำให้คนแข็งแกร่ง มีเพียงการเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง เขาถึงมีโอกาสในการใช้วิธีเหล่านั้นดังที่หอหลิงเยียนบอกเล่าเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง แต่ว่า…เขายังไม่ได้ออกตัวอย่างแท้จริง กลับเห็นภาพคาวโลหิตเหล่านั้นที่ปลายทางของเส้นทางที่ยาวไกล บันดาลให้เท้าหนักอึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะก้าวเดินต่อ
แต่ก่อนเขาไม่เคยขบคิดปัญหาเหล่านี้ ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกอย่างล้วนง่ายดายไปเสียหมด มีเพียงรอดชีวิตก่อนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ไปขบคิด ตอนนี้เขาห่างการแก้ปัญหาไม่ไกล จึงเริ่มขบคิดเรื่องพวกนี้ ไม่พูดไม่ได้ว่านี่ทำให้ดูไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แน่นอนว่าหากลองเปลี่ยนมุมมอง ก็สามารถพูดได้ว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
แสงสนธยาเริ่มเข้มข้น ที่ราบสีเขียวราวกับลุกโชนอยู่ในเมฆสียามเย็น เขาเดินอ้อมรอบสุสานเทียนซูไปแล้วรอบกว่า มาถึงสวนป่าแห่งหนึ่งที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ มองเห็นกระท่อมหลังหนึ่ง
โครงสร้างกระท่อมโกโรโกโสมาก แม้กระทั่งคานไม้ยังเห็นเปลือกไม้ แลดูหยาบกระด้างยิ่งนัก บนชายคาปูด้วยหญ้าที่ไม่รู้ว่าไม่ได้เปลี่ยนมากี่ปี ดำๆ เทาๆ น่าเกลียดมาก
อาจจะต้องใช้เวลาในสุสานเทียนซูมากหน่อย ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องหาที่พักผ่อน เฉินฉางเซิงไม่ได้ตั้งใจจะทำตามที่วางแผนเหมือนเหล่าผู้สอบคนอื่นๆ จิตใต้สำนึกไม่อยากเข้าใกล้แผ่นป้ายหินอนุสรณ์ในที่ราบสีเขียวเหล่านั้นที่ยังไม่ได้เห็นจนถึงทุกวันนี้ เขาเพียงกำลังเตรียมสอดส่องดูว่าที่นี่พักค้างคืนได้ไหม
เขาขานเรียกอย่างมีมารยาทในกระท่อม กลับไม่มีคนตอบกลับ คิดแล้วคิดอีกจึงเดินขึ้นบันไดหิน เปิดประตูแล้วเข้าเดินไป สังเกตเห็นว่าในกระท่อมเพียงประดับเครื่องเรือนที่เรียบง่าย บนโต๊ะปกคลุมด้วยฝุ่นเป็นชั้นบางๆ โอ่งน้ำที่วางอยู่ข้างประตูใกล้จะแห้งเต็มที ข้าวในถังข้าวกลับเห็นว่ายังมีมากพอ
น่าจะมีคนอาศัยอยู่ที่นี่ เพียงแต่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ค่อยเอาใจใส่ เฉินฉางเซิงผู้รักสะอาดเล็กน้อย มองดูสภาพบ้าน ทนไม่ไหวส่ายศีรษะไปมา กลับมิได้จากไป คิดแล้วคิดอีก กลับหาถังน้ำไม้และผ้าที่มุมห้อง เริ่มทำความสะอาด
จากเมืองซีหนิงถึงจิงตู จากวัดเก่าถึงสำนักฝึกหลวง เรื่องที่เขาถนัดมากที่สุดไม่ใช่อ่านหนังสือ กลับเป็นการทำความสะอาดสวน ซักผ้า ใช้เวลาไม่มาก นอกในกระท่อมถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดหมดจด น้ำใสในโอ่งกระเพื่อมขึ้นลง ใต้ชายคาไม่มีร่องรอยหยากไย่ แม้จะไม่กล้าพูดว่าลักษณะถูกเปลี่ยนไปมากจากเดิม แต่อย่างน้อยก็ผ่านมาตรฐานของเขา คนสามารถอยู่ได้
เอาข้าวใส่ในหม้อต้มเรียบร้อย นำปลาเค็มที่ผูกกับคานบ้านหั่นเป็นสามชิ้นแล้วเอาไปต้มไว้ข้างบน ไปดึงผักกาดขาวในสวน ล้างจนสะอาดเตรียมผัด หลังทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เขาล้างมืออย่างตั้งใจ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดจนสะอาด จากนั้นนั่งอยู่บนขั้นบันไดหินชมทิวทัศน์เหม่อลอยอีกครั้ง แสงพลบค่ำค่อยๆ ลับหาย สุสานเทียนซูค่อยๆ มืดมน ทิวทัศน์ไม่สวยงามเหมือนกาลก่อน กลับให้ความรู้สึกลึกลับมากยิ่งขึ้น เหล่าต้นไม้เขียวขจีบนภูเขากลายเป็นกลุ่มก้อนหมึก ราวกับเป็นตัวอักษร
หลายพันปีที่แล้ว เคยมีราชามารท่านหนึ่งเรียนวิถีเต๋าในสุสานเทียนซูสิบปี โจวตู๋ฟูในปีนั้น ใช้เวลาเพียงสามวันสามคืนก็สามารถบรรลุแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ทั้งหมด ขึ้นไปถึงยอดของสุสานเทียนซู นิทานเช่นนี้ มีอยู่ทุกที่ในประวัติศาสตร์ของสุสานเทียนซู มีมากนับไม่ถ้วน เพราะว่าที่นี่เดิมก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน
คิดถึงนิทานหรือคำเล่าลือเหล่านั้น คิดถึงขุนพลเทพอันดับหนึ่งของต้าลู่ที่นั่งเฉยๆ อยู่ใต้ศาลาหน้าถนนเสินนับร้อยปี เฉินฉางเซิงใจสั่นระริก รูม่านตายิ่งมายิ่งดำเป็นเพราะสีท้องฟ้ากลางคืน
“ใฝ่หา หรือหวาดกลัว ล้วนปกติมาก แต่…เจ้าเพียงดูมันเช่นนี้ ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ในความคิดของข้า นี่กลับโง่เง่ายิ่งนัก…เปลืองชีวิต”
เสียงดังขึ้นจากนอกรั้วไผ่ของกระท่อมกะรุ่งกะริ่ง เสียงพูดของคนผู้นั้นช้ามาก โทนเสียงไม่มีขึ้นลงอย่างชัดเจน ฟังดูแล้วเหมืองเพลงที่ไม่มีความน่าสนใจ
เฉินฉางเซิงหันศีรษะมองไป เห็นเพียงชายหนุ่มยืนอยู่นอกรั้วไผ่ บุรุษผู้นี้ผอมมาก บนใบหน้าปราศจากสีหน้าใดๆ มองดูแล้วเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ เหมือนดั่งคิ้วที่จืดจางของเขาคู่นั้น
เขาคือชายหนุ่มเผ่าหมาป่าวั่วฟูเจ๋อซิ่ว
เฉินฉางเซิงรู้ว่าจากการที่ทำคุณงามความดีทางการทหาร ณ บูรพาทิศของเจ๋อซิ่ว สามารถแปลงเป็นสิทธิ์ในการเข้าสุสานเทียนซูได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เขารอเจ๋อซิ่วที่สำนักฝึกหลวงหลายวันแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ปรากฏ ตอนนี้กลับมาที่สุสานเทียนซูพร้อมกับเหล่าผู้สอบของขั้นสามการสอบใหญ่ เกิดความรู้สึกเหลือเชื่อบ้าง
เขากุมมือต่อชายหนุ่มที่อยู่นอกรั้วไผ่ คิดแล้วคิดอีก ค่อยกล่าวว่า “ฟังเพลงดูละครอ่านนิยาย จริงๆ แล้วก็มีคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตสิ้นเปลือง ข้าก็อยากลองความรู้สึกนี้บ้าง”
“แต่เจ้า…ไม่ใช่คนเช่นนี้” เจ๋อซิ่วมองเขาที่ถูกกั้นด้วยรั้วไผ่แล้วเอ่ย เสียงพูดยังคงมีความแห้งแหบอึดอัด กลับแน่วแน่มาก ไม่สามารถสงสัยได้
เฉินฉางเซิงเงียบขรึม ผ่านไปสักพัก ค่อยพูดว่า “ข้ามีเรื่องบางเรื่องที่ขบคิดจนถึงตอนนี้ยังคงไม่เข้าใจ ก่อนอื่นข้าไม่อยากทำอะไรชั่วคราว อย่างน้อยวันนี้ไม่อยากทำอะไร”
เขากับเจ๋อซิ่วเคยเจอกันแค่ที่การสอบใหญ่ ไม่ค่อยรู้จักสนิทสนม และความรู้สึกแรกพบของเขาที่มีต่อชายหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้ก็คือคนคนนี้อันตรายมาก ต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามที่เงาร่างถูกปกคลุมด้วยแสงแห่งค่ำคืนเช่นนี้ อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้อาจเข้าใจความสับสนของตนก็เป็นได้ นั่นอาจเป็นเพราะความโหดร้ายทารุณของลมหิมะเต็มท้องนภาหรือคำเล่าลือที่เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มผู้นี้
“การมีชีวิต เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดหรือ?” เขามองเจ๋อซิ่วถามด้วยความตั้งใจ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งอายุสิบห้าปี ไต่ถามคนวัยเดียวกันเกี่ยวกับความเป็นความตาย ราวกับแสดงให้เห็นถึงปัญหาแฝงความปรัชญาลึกซึ้ง หากเป็นที่เหล่าสำนักในจิงตู เขาต้องถูกเยาะเย้ยอย่างแน่นอน
เจ๋อซิ่วไม่ใช่ชายหนุ่มธรรมดา ฉะนั้นเขาไม่ได้หัวเราะเยาะเฉินฉางเซิง กลับเงียบขรึมไปเนิ่นนาน หลังผ่านการขบคิดอย่างตั้งใจสักพัก ถึงตอบคำตอบของตนออกมา
“การมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด”
ที่ทางเหนืออันเต็มไปด้วยลมหิมะ การจะมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องยากมาก เจ้าหมาป่าเลือดผสมตัวน้อยที่ถูกขับไล่ออกจากเผ่าตั้งแต่เด็ก คิดอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นยิ่งยากลำบาก เจ๋อซิ่วพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด เพื่อการมีชีวิตอยู่นั้นได้ทำเรื่องที่เลือดเย็นมากมาย แต่เขากลับไม่คิดว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
คำตอบนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีกอย่างตั้งใจ เอ่ย “ขอบคุณ”
เจ๋อซิ่วตอบรับอยู่นอกรั้วไผ่ว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินฉางเซิงถามว่า “แล้วสำหรับเจ้า อะไรถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเล่า?”
เจ๋อซิ่วพูดว่า “การมีชีวิตอย่างมีสติ หรือตายไปอย่างมีสติ”
และในเวลานี้ ข้างหน้ากระท่อมมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น รั้วไผ่ถูกเปิดออกเป็นช่องช่องหนึ่ง ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา บุรุษผู้นั้นหน้าตาสกปรกผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น กลับดูไม่ออกว่าอายุเท่าไร ผมที่ย้อยปรกลงสามารถมองเห็นดวงตาที่สุกสกาวและใสกระจ่างคู่หนึ่งอย่างเลือนราง บุรุษผู้นั้นมองดูชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่สองข้างของรั้วไผ่ เหมือนกับจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดจึงไม่ได้ถามออกจากปาก
นอกและในรั้วไผ่เงียบสงัด เงียบอย่างประหลาดจนผิดปกติ