ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 203 ย่ำหิมะเหมยกำจาย
พลังที่ส่งมาจากเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่วนั้นรุนแรงมาก เหมือนกับคลื่นน้ำระลอกหนึ่งที่พัดกองหินสิ่งกีดขวางเส้นแม่น้ำล้มระเนน ไหลลงด้วยเสียงสูงยาวราวธารน้ำ ออกมาอย่างมีพลัง เฉินฉางเซิงสามารถจินตนาการออกว่าพลังนี้สามารถนำมาซึ่งความเจ็บปวดและอันตรายต่อเจ๋อซิ่วอย่างไร บนใบหน้าของเจ๋อซิ่วกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นแปลว่าที่ผ่านมาหรือตลอดเวลา เขาแบกรับความเจ็บปวดชนิดนี้อยู่เสมอ กระทั่งชินชาไป ม่านตาของเขายังคงความหม่นแสง นั่นหมายถึงแม้จะชินชาแล้วจนกลายเป็นเรื่องปกติ ยังคงไม่สามารถละทิ้งความเจ็บปวดได้ ความเจ็บปวดดังกล่าวมองดูแล้วช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไปสักพัก นำนิ้วมือไปแตะบนจุดชีพจรอีกครั้ง ครั้งนี้ได้ส่งปราณแท้เข้าไปช้าๆ…เขาไม่มั่นใจกับการวินิจฉัยของตัวเองเล็กน้อย เส้นลมปราณของเจ๋อซิ่วมีปัญหาหนักมากจริงหรือไม่ เพราะเขาไม่อาจคาดคิดว่าคนคนหนึ่งจะสามารถแบกรับความเจ็บปวดขนาดนี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้หลายปีได้อย่างไร
กระท่อมใต้แสงม่านอนธการเงียบสงบมาก ตะเกียงมิได้จุด เขาคอยสังเกตสีหน้าของเจ๋อซิ่วอย่างตั้งใจ เห็นเพียงดวงตาที่เต็มไปด้วยความอดทน เขารออย่างตั้งใจ ไม่ปล่อยผ่านทุกการเปลี่ยนแปลง และแล้วเวลานั้นก็มาถึง ยังคงทำให้เขารับมือไม่ทัน
เสียงเปรี๊ยะหนึ่งเสียงดังขึ้น นิ้วมือของเฉินฉางเซิงถูกดีดไปกลางอากาศอีกครั้ง
ครั้งนี้ภายใต้ความรู้สึกของทั้งปราณแท้และความทรงจำ เขาเริ่มเข้าใจแม่นยำยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความประหลาดของเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่ว ในห้วงมหาสมุทรความทรงจำราวกับบังเกิดภาพรางๆ บางภาพ อารมณ์เริ่มทวีความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่นอย่างไม่รู้ตัว แรงสั่นสะเทือนราวคลื่นน้ำชนิดนั้น ตกลงแล้วคือปัญหาอะไรกันแน่?
เขาเก็บมือขวากลับมา มองดูเจ๋อซิ่ว มิทราบควรกล่าวอันใด
สีหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงนิ่งสงบดุจเดิม เพียงแต่ห่างกันไม่ไกล จึงจะสามารถเห็นว่าระหว่างเส้นผมของเขาคล้ายพราวด้วยหยดน้ำ สะท้อนแสงดาริกานอกกระท่อม สว่างเป็นจุดๆ ต้นฤดูวสันต์เยียบเย็น บุรุษผู้เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นปณิธานอันยิ่งใหญ่ ถึงขนาดต่อให้สุสานเทียนซูจะถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน ทว่าบัดนี้กลับมีเหงื่อไหลออกมาขนาดนี้ จินตนาการออกได้ทันทีว่าความเจ็บปวดชนิดนั้นสุดจะทานทนปานใด
เวลานี้เจ๋อซิ่วเปิดปาก มองเฉินฉางเซิงและพูดว่า “ข้าไม่คิดว่า ปราณแท้ของเจ้าจะอ่อนแอขนาดนี้”
เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง ว่าเวลานี้สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดไม่ใช่โรคของตนเอง กลับเป็นเรื่องเช่นนี้
“ใช่ อ่อนแอเกินไป”
โต๊ะข้างๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา มาจากบุรุษคนที่เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วใกล้จะลืมไปแล้ว
ชายคนนั้นจัดการผมที่สกปรกยุ่งเหยิงไปหนีบไว้หลังหู สายตาจากบนตัวเฉินฉางเซิงย้ายไปที่เจ๋อซิ่ว พูดว่า “ทันใดใจคิด ไม่คิดว่ายังไม่ตาย?”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไม่กล่าววาจา เขารู้ว่าในคัมภีร์เต๋าเคยมีบันทึกไว้สี่คำ ก็คือปัญหาของเจ๋อซิ่ว
สีหน้าของเจ๋อซิ่วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สี่ปีที่แล้ว ตอนผู้เฒ่าความลับสวรรค์รักษาโรคให้เขา ก็พูดอย่างนี้เช่นกัน
“ข้าไม่ตายหรอก” เขามองชายวัยกลางคนผู้นั้นแล้วพูด
เสียงพูดของชายหนุ่มที่เนิบช้า ทว่าเปี่ยมพลังมากกว่าปกติ คล้ายการเสียดสีระหว่างก้อนหิน และยังคล้ายกระบี่แหลมตัดกระดูกสะบั้น แน่วแน่อย่างมาก
ชายผู้นั้นส่ายหัวไปมา ไม่สนใจอีก ยืนขึ้นมาจากข้างโต๊ะ เดินไปที่ข้างเตียงก็ล้มตัวนอนทันที
เฉินฉางเซิงเดิมกะจะพูดกับเขาเรื่องขอค้างคืน ไม่คิดว่าในเค่อต่อมา ก็ได้ยินเสียงกรนของเขาดังขึ้น แน่นอนว่าไม่สามารถเอ่ยปากได้อีก
เสียงกรนดั่งเสียงอสนีบาตดังลั่นสนั่นกระท่อม เขาไม่เข้าใจ ในเวลากลางวันชายผู้นั้นทำอะไรบ้าง ไม่คิดว่าจะเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ส่งสัญญาณให้เจ๋อซิ่วให้ตามตัวเองออกไปนอกกระท่อม มาถึงบ้านเล็กๆ ที่ล้อมด้วยรั้วไผ่ที่กระจัดกระจาย ยืมแสงดวงดาว มองดูเจ๋อซิ่วอย่างพะอืดพะอม
“หอความลับสวรรค์ยังรักษาไม่หาย แต่เจ้าอาจรักษาข้าได้”
เจ๋อซิ่วมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า วจีนี้ถ้อยสำเนียงมิใช่ไร้มารยาท ทว่าวจีนี้เนื้อความที่กล่าวออกกลับไร้ซึ่งเหตุผล
สิ่งที่เฉินฉางเซิงจะพูด ถูกผลักกลับมาด้วยประโยคนี้ ทำได้เพียงเงียบ มองไปยังสุสานเทียนซูประหนึ่งภูเขาดำที่อยู่ไกลๆ ทอดถอนใจเบาๆ กล่าว “โชคชะตา ล้วนไม่ยุติธรรมจริงๆ”
เจ๋อซิ่วพูดว่า “โชคชะตาให้สายเลือดพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่แก่ข้า แต่กลับแฝงความเจ็บปวดที่ยากจะแบกรับและลางสังหรณ์ที่มืดมน ในความคิดของข้า นี่ยุติธรรมมาก”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “แต่เจ้าไม่สามารถเลือกเป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถไม่ยอมรับสายเลือดที่ยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับความเจ็บปวดนี้ ฉะนั้น ข้าคิดว่ายังคงไม่ยุติธรรมอยู่ดี”
เจ๋อซิ่วเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “ใช่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีความยุติธรรม”
สงสัยเป็นเพราะสถานการณ์ใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง หัวอกเดียวกัน ความรู้สึกหลังการรู้แจ้งของเฉินฉางเซิงที่มีต่อเจ๋อซิ่วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก รู้ว่าชายหนุ่มเผ่าหมาป่าตัวนี้ภายนอกที่ดูเหมือนเย็นชากลับแฝงความเจ็บปวดและความดื้อรั้นดึงดันมากมาย เพราะไม่อยากให้สภาพจิตใจของเขาเยือกเย็นเช่นนี้อีกต่อไป พูดว่า “แต่สามารถมีความยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกันได้ อย่างเช่นพวกเราเข้าสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ จะบรรลุอะไรบ้างล้วนอยู่ที่ตัวเอง”
“สุสานเทียนซูเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมมากที่สุด”
เจ๋อซิ่วมองดูสุสานเทียนซูภายใต้แสงดาว พูดอย่างไร้สีหน้าว่า “เพราะเหตุใดเผ่ามนุษย์ถึงมีสิทธิ์ในการตั้งกฎระเบียบในการเข้าสุสานเทียนซู? แล้วเพราะอะไรเผ่ามารถึงดูคัมภีร์สวรรค์ไม่ได้?”
เฉินฉางเซิงไม่คิดว่า คนที่สังงหารเผ่ามารไปไม่รู้เท่าไร จะกล่าวโทษถึงความไม่ยุติธรรมแทนเผ่ามาร พลันชะงักกึก
“ข้าไม่ได้กล่าวโทษถึงความอยุติธรรมแทนเผ่ามาร เพียงแต่พูดตามความสมเหตุสมผล” เจ๋อซิ่วกล่าว “เหล่าแผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ในสุสานเทียนซู แท้จริงแล้วไม่ต่างอะไรกับน่องกวางที่ถูกกัดในที่ราบหิมะ ล้วนเป็นเนื้อ ทุกคนล้วนอยากกินเนื้อก้อนนี้ ล้วนโลภ แต่มีเพียงคนที่มีความยิ่งใหญ่ถึงจะมีสิทธิ์ในการแบ่งเนื้อชิ้นนี้”
เฉินฉางเซิงถามว่า “ดังนั้นเจ้าจึงอยากให้ตนเองแข็งแกร่งกว่านี้”
เจ๋อซิ่วพูดว่า “ไม่ ข้าอยากกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าอยากแบ่งเนื้อ ข้าคิดอยากแค่กินเนื้อ”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เวลานี้ ในแสงท้องฟ้าค่ำคืนที่ไกลๆ จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าอยู่ไหน? เฉินฉางเซิง! นี่เจ้าอยู่ที่ไหน?”
ได้ยินเสียงนั้น เฉินฉางเซิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แม้กระทั่งสีหน้าของเจ๋อซิ่วก็มีการเปลี่ยนแปลง…ที่การสอบใหญ่ เจ้าของเสียงเสียงนี้หลงเหลืออยู่ในความจำของเขาลึกเกินไป
“ข้าอยู่ตรงนี้ ซานสือลิ่ว ข้าอยู่แค่ตรงนี้เอง” เฉินฉางเซิงตะโกนใส่ป่ากลางคืน
สุสานเทียนซูเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์และเคร่งครัดอย่างมาก ผู้คนที่เดินอยู่ในนี้มักจะเบาเสียงและสงบตามจิตใต้สำนึก ในวันปกติในสวนสุสานเงียบสงบมาก คืนนี้กลับถูกชายหนุ่มสองคนตะโกนโห่ร้องกลบ เฉินฉางเซิงตะโกนเสร็จเพิ่งนึกขึ้นได้ รู้สึกกระดากใจยิ่งนัก
คล้อยตามเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าและกิ่งไม้ใบหญ้า ถังซานสือลิ่วตามมาถึง ผลักรั้วไม้ไผ่เก่าๆ ที่กว้างหกเจ็ดฉื่อทีหนึ่งล้มลงไป มาถึงข้างกายเฉินฉางเซิง ตบไหล่เขาหนักๆ ไปทีสองที พูดด้วยความหวาดกลัวไม่หายว่า “ข้าเป็นห่วงว่าปัญหาสมองของเจ้าอาจยังไม่แก้ไข แล้วออกจากสุสานเทียนซูไปเลยตามอำเภอใจ ยังดีที่ไม่”
เฉินฉางเซิงรู้สึกจำใจนิดๆ พูดว่า “ไม่ตะโกนเสียงดังขนาดนี้มิได้หรือ? ชาวประมงต่อเพลงกลอน นั่นเป็นวิชากระบี่ของพรรคกระบี่หลีซาน”
ถังซานสือลิ่วมีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ที่ที่ใหญ่ขนาดนี้ ราชสำนักก็ไม่ได้สร้างที่ประกาศ เหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ไม่ใช่คนรับใช้ เรียกใช้ไม่ได้ นอกจากการตะโกนหาคนแล้ว จะหาคนอย่างไร?”
คำพูดดังกล่าวมีเหตุผลมาก เฉินฉางเซิงถึงกับเถียงไม่ออกเลยทีเดียว
ในเวลานี้ เจ๋อซิ่วพูดอย่างไร้สีหน้าว่า “ทุกคนหลังจากเข้าสุสานเทียนซู ล้วนคิดแต่จะรีบลงมือชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุ ใครจะไปเหมือนเจ้าไม่ลืมเรียกหาเพื่อน?”
“เอ๋ ไม่คิดว่าเป็นเจ้า?”
ถังซานสือลิ่วเพิ่งจะสังเกตเห็นเจ๋อซิ่ว หลังชะงักไปนิดหนึ่ง ถามว่า “ในที่สุดเจ้าก็มา มาทวงหนี้หรือ?”
เจ๋อซิ่วไม่ชินกับการแสดงออกถึงความสนิทสนมชนิดนี้ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลบมือของเขา
ถังซานสือลิ่วพลันเก็บมือกลับ แล้วไปตบหัวไหล่เฉินฉางเซิงเบาๆ อีกครั้ง พูดว่า “สามารถจัดการได้ก็รีบจัดการให้เสร็จ”
เฉินฉางเซิงนวดไหล่เบาๆ ในใจคิดอยู่ว่าถ้าไม่ใช่ชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์แบบที่ใต้สระน้ำมังกรดำ วันนี้สงสัยอาจจะโดนตบจนแตกสลาย เขากล่าว “ข้าจะลองดู แต่ไม่มั่นใจ”
ในเวลานี้ ชายผู้นั้นเดินออกมาจากกระท่อมหลังนั้น ผมที่ยุ่งเหยิงปิดบังเค้ารอยความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าของเขา
เฉินฉางเซิงทำความเคารพถามว่า “ท่านผู้อาวุโสไม่พักผ่อนอีกหน่อยหรือ?”
ชายผู้นั้นมองถังซานสือลิ่ว พูดว่า “อึกทึกเกินไป”
“ขออภัย สหายข้ามาเยือน เขาดีใจเกินไปหน่อย” เฉินฉางเซิงพูดด้วยสำนึกขอขมา พลางแนะนำตัวให้ถังซานสือลิ่ว “ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นเจ้าของกระท่อมหลังนี้ ข้าคิดว่าในเมื่อต้องอยู่ในสุสานเทียนซูหนึ่งเดือน คงจะนอนกลางดินกินกลางทรายตลอดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นคิดอยากจะขอพักอาศัย…”
เขาสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองพูด จนถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าถังซานสือลิ่วไม่ได้ฟังตัวเองพูดโดยสิ้นเชิง กลับมองชายผู้นั้นด้วยความเหม่อลอย
ชายผู้นั้นรวบผมที่ยุ่งเหยิงสกปรกมัดไว้ด้านหลัง เผยใบหน้าออกมา นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขา เห็นเพียงหน้าของคนผู้นี้สะอาดสะอ้านใช้ได้ ระหว่างคิ้วแฝงความเย็นชา ทว่ากลับไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเยือกเย็น เพียงให้ความรู้สึกที่สะอาด แม้ว่าจริงๆ แล้วมิได้สะอาดแต่อย่างใด
ถังซานสือลิ่วมองดูใบหน้าของชายผู้นี้ สีหน้าประหลาดนิดๆ เหมือนกับเกิดความงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็นึกถึงอะไรสักอย่าง นัยน์ตาจู่ๆ พลันสว่างขึ้น พูดด้วยความตกใจ “เจ้า…เจ้าคือ…เจ้าคือสวินเหมย”
ชายผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย มองถังซานสือลิ่ว เงียบขรึมไปพักใหญ่ สุดท้ายพูดเรียบๆ ว่า “ใช้ได้ ข้าก็คือสวินเหมย ไม่คิดว่าจะมีคนจำข้าได้”
ได้ยินสวินเหมยสองคำนี้ เจ๋อซิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็ดได้ชัดว่านึกถึงประวัติของคนผู้นี้ได้เช่นกัน มีเพียงเฉินฉางเซิงที่ยังคงไม่รู้
“ย่ำหิมะเหมยกำจาย…จะไม่มีคนจำท่านผู้อาวุโสได้ได้อย่างไร?” ถังซานสือลิ่วมองดูชายวัยกลางที่ชื่อว่าสวินเหมย พูดด้วยความตกตะลึงว่า “จากคำเล่าลือที่ว่าหลังท่านผู้อาวุโสเข้าร่วมการสอบใหญ่ ก็อยู่ในสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุโดยตลอด ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริงด้วย”
สวินเหมยมองดูแสงสลัวในสุสานเทียนซู พูดอย่างหลงลืมเล็กน้อย ว่า “ที่แท้การสอบใหญ่ปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว มิน่าวันนี้มีคนมามากมายขนาดนี้”
“ใช่ ผู้อาวุโส วันนี้เป็นวันแรกในการเข้าสุสานเทียนซูของการสอบใหญ่รุ่นนี้ในปีนี้”
ถังซานสือลิ่วนึกถึงเรื่องหนึ่ง ดึงเฉินฉางเซิงมาที่หน้าตัวเอง พูดอย่างได้ใจว่า “เขาคือเพื่อนของข้า เฉินฉางเซิง เหมือนกับท่านอาวุโสในปีนั้น ได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่”
“โอ้? พวกเจ้าเป็นเด็กของสำนักไหน?” สวินเหมยถาม
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “สำนักฝึกหลวง”
สวินเหมยพยักหน้ากล่าว “ใต้ต้นไทรย้อยผลิตปราชญ์เมธี ก็เป็นเรื่องปกติ”
เฉินฉางเซิงได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย ในใจคิดว่าปกติเมื่อผู้คนได้ยินว่าสำนักฝึกหลวงฟื้นตัวกลับมา ก็ต้องมีความตะลึงเล็กน้อย เพราะเหตุใดผู้อาวุโสท่านนี้…ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านความคิด เขาจู่ๆ ก็เข้าใจ ท่านผู้อาวุโสนี้แท้จริงแล้วไม่รู้ภยันตรายที่เกิดขึ้นกับสำนักฝึกหลวงในสิบกว่าปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นแปลว่าคนผู้นี้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูอย่างน้อยเป็นเวลาสิบกว่าปี ไม่เคยออกไปไหนเลย?
ถังซานสือลิ่วพูดกับเขาว่า “ผู้อาวุโสสวินเหมยเป็นคนที่ได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ของรุ่นสามสิบเจ็ดปีที่แล้ว”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ใจคิดว่าถ้าอย่างนั้นแปลว่าผู้อาวุโสท่านนี้อยู่ในสุสานเทียนซูมาแล้วสามสิบเจ็ดปี?