ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 218 เรื่องราวแต่ก่อนรู้เท่าใด (ตอนต้น)
เฉินฉางเซิงเล่าตำนานเรื่องนี้จบ
หลังเงียบไปสักพัก รอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ สายตาผู้คนที่มองไปยังจี้จิ้นกลายเป็นซับซ้อนเล็กน้อย ก่อนหน้าผู้อาวุโสท่านนี้ถามตะคอกด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในวิธีการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าจำนวนมาก มีวิธีไหนที่ห่างไปจากมหาสมุทรแห่งความถ่องแท้ ปัจจุบันมองดูแล้ว วิธีที่เว่ยกั๋วกงใช้แก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ในปีนั้นไม่เกี่ยวกับวิธีแก้ของประตูรากเหง้าของลัทธิเต๋าโดยสิ้นเชิง นี่จะตอบอย่างไร?
ในเวลานี้จี้จิ้นก็นึกถึงตำนานการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของเว่ยกั๋วกงขึ้นมาได้ สีหน้ากลายเป็นมองไม่ได้ยิ่งนัก…เขาไม่สามารถปฏิเสธความมีอยู่จริงของตำนานนี้ แม้ในหนังสือประวัติศาสตร์จะไม่มีการจดบันทึก ในสุสานเทียนซูกลับมีการเก็บข้อมูลไว้จริง เขาเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์เคยเห็นกับตา เว่ยกั๋วกงใช้แบบแผนในการแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์จริงๆ ดังนั้นในตอนหลังเขาถึงได้ปกป้องกฎแบบแผนของราชวงศ์โจวทั้งชีวิต เตือนกษัตริย์ด้วยความลำบาก ในที่สุดได้เป็นขุนนางข้างฝ่าพระบาทรุ่นหนึ่ง! เพียงแต่เขาจะยอมให้ถูกชักแม่น้ำทั้งห้าโดยเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งได้อย่างไร พูดด้วยเสียงต่ำทุ้มว่า “เว่ยกั๋วกงในปีนั้นเห็นเส้นสายอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วเข้าใจแบบแผนที่แท้จริง ยังคงชมรูปร่างของมันเพื่อเอาความหมาย ชมความหมายเพื่อขยับจิตสัมผัส!”
ผู้คนได้ยินคำพูดดังกล่าวก็เกิดความปั่นป่วนเล็กน้อย ผู้สอบวัยเยาว์ไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังส่ายหัวไปมา ใจคิดอยู่ว่าความหมายรูปร่างสองคำนี้ในสามแนวคิดหลักการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของประตูรากเหง้าของลัทธิเต๋า ไม่ตรงกับความหมายรูปร่างสองคำในประโยคนี้ เว่ยกั๋วกงทั้งชีวิตไม่เคยบำเพ็ญ มีเพียงความกล้าหาญ มีจิตสัมผัสเสียที่ไหน คำพูดนี้ของผู้อาวุโสจี้จิ้นออกจะพยายามยัดเยียดเหตุผลมากเกินไปหน่อย
เห็นการตอบสนองของผู้คน จี้จิ้นยิ่งโมโหหงุดหงิด และแล้วไม่ได้รอว่าเขาจะพูดอะไรออกมาอีก เสียงของโก่วหานสือพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าก็นึกตำนานนี้ออกเช่นกัน ตำนานเรื่องนี้จารึกอยู่ในคำบรรยายเล็กฐานลมปราณ ไม่ได้อยู่ในชื่อสารบัญของคัมภีร์ลัทธิเต๋า ตอนที่ข้ายังเด็กเคยอ่านไปครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเฉินฉางเซิงพูดถึงการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของเว่ยกั๋วกง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าข้าจะนึกไม่ออก สิ่งที่ในนิทานเรื่องนี้พูดถึงคือหัวหน้าของลัทธิเต๋ารุ่นแรก เคยถามกฎลัทธิเต๋ากับคนตัดไม้ท่านหนึ่ง”
ทุกคนชะงัก ไม่คิดว่าหัวหน้าลัทธิเต๋าจะไปถามกฎลัทธิเต๋ากับคนตัดไม้? ทำไมพวกเราถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?
โก่วหานสือพูดต่อว่า “จริงๆ แล้วทั่วหล้าแย่งชิงไม่หยุดสิ้น ลัทธิเต๋ายังไม่เกิด ยิ่งไม่ได้เป็นนิกายหลวง แต่หัวหน้าลัทธิเต๋ารุ่นแรก เป็นผู้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ที่มีระดับขั้นสูงมากแล้ว เคยเข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูหลายครั้ง เพื่อร้องขอการบรรลุความหมายที่แท้จริงของกฎธรรมชาติ แต่แล้ว แม้ทุกครั้งจะได้รับอะไรบางอย่างจากการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ คิดอยากจะปีนขึ้นยอดสุสาน กลับยังมีระยะห่างที่ไกลมาก วันหนึ่ง หัวหน้าลัทธิเต๋ามือจับแผ่นป้ายอนุสรณ์มองยอดสุสานแล้วทอดถอนใจในความจำกัดของเส้นทางการบำเพ็ญ ชีวิตนี้คงยากที่จะก้าวไปอีกขั้น ไม่คาดว่าจะได้พบเจอคนตัดไม้ท่านหนึ่งเดินแบกฟืนลงมา หัวหน้าลัทธิเต๋าสะเทือนใจอย่างผิดปกติ ในใจคิดอยู่ว่าตัวเองไม่สามารถขึ้นยอดเขา ต้าลู่และผู้แข็งแกร่งไม่กี่ท่านที่มีระดับขั้นใกล้เคียงกันก็ไม่สามารถ คนตัดไม้คนนี้ไม่สามารถบำเพ็ญได้อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังแก่ชราสุขภาพเสื่อมโทรม เพราะอะไรกลับสามารถเดินในสุสานเทียนซูได้อย่างอิสระ?”
หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบอีกครั้ง จิตใจของผู้คนถูกตำนานที่ไม่เคยได้ยินดึงดูดไป ใจคิดหรือว่าคนตัดไม้คนนั้นถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งทางกฎธรรมชาติอย่างแท้จริง กระทั่งเข้าไปสู่ขั้นอิสระไร้เทียมทานในตำนาน?
“หัวหน้าลัทธิเต๋าขอร้องอย่างจริงใจ คนตัดไม้คนนั้นพูดว่าตั้งแต่รุ่นปู่ตัวเองก็เริ่มทำมาหากินโดยการตัดต้นไม้ในภูเขานี้ ไม่เคยหลงทาง หัวหน้าลัทธิเต๋าไต่ถามด้วยความยากลำบาก จะหาเส้นทางเต๋าในสุสานได้อย่างไร หลังจากที่คนตัดต้นไม้ลังเลเป็นเวลานาน นำพาหัวหน้าลัทธิเต๋ามายังหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ บอกว่าเส้นทางเต๋าท่ามกลางสุสานสิ้นสุดอยู่บนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เจ้าเดินตามก็พอ…หลังพูดประโยคนี้เสร็จ คนตัดต้นไม้ก็เดินลงเขาไป”
โก่วหานสือพักสักครู่ พูดว่า “หัวหน้าลัทธิเต๋าคิดวิเคราะห์อยู่หน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้นเป็นเวลาหลายสิบวัน ทว่าแต่แรกจนจบกลับไม่สามารถหาทางออกจากเส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้น คืนหนึ่งมีความรู้สึกบางอย่าง หัวเราะดังลั่นสามเสียง สะบัดชายเสื้อแล้วทะยาน ตกลงมาตรงๆ ที่ยอดสุสาน ตั้งแต่ตอนนั้นก็บรรลุกฎธรรมชาติ บุกเบิกลัทธิเต๋า และแล้วจนกระทั่งตอนวัยชราเข้าสู่ทะเลดวงดาว เขายังคงคิดถึงเสมอ เพราะเหตุใดคนตัดไม้คนนั้นเห็นเส้นทางเต๋าบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ตัวเองกลับมองไม่เห็น”
ตำนานเรื่องนี้ก็เล่าจบแล้ว
จตุรทิศรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบขรึมไปทั่ว
สีหน้าจี้จิ้นดูไม่งาม กล่าวว่า “ยังไม่พูดถึงคนตัดไม้คนนั้นใช้วิธีอะไรในการมองเห็นเส้นทางเต๋าจากอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ เพียงพูดถึงตำนานเรื่องนี้ที่ถูกจดในคำบรรยายเล็กฐานลมปราณ…คำบรรยายเล็กฐานลมปราณเป็นหนังสืออะไร ในเมื่อไม่ได้อยู่ในชื่อสารบัญของคัมภีร์ลัทธิเต๋า แล้วจะเชื่อได้อย่างไร? เจ้าแต่งตำนานมั่วๆ ขึ้นมา ก็คิดจะยืนยันว่าข้าผิดจริงๆ เช่นนั้นหรือ?”
เฉินฉางเซิงส่ายหัวพลางกล่าวว่า “คำบรรยายเล็กฐานลมปราณเป็นการรวบรวมบทสนทนาร้อยวันก่อนหัวหน้าลัทธิเต๋ารุ่นแรกจะเข้าสู่ทะเลดวงดาว และที่ไม่อยู่ในชื่อสารบัญคัมภีร์ลัทธิเต๋า นั่นเป็นเพราะว่าในปีหนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดสิบสาม ตอนนิกายหลวงเพิ่งก่อตั้ง คนรุ่นหลังของหัวหน้าลัทธิเต๋ารุ่นแรกเคยคิดพยายามแบ่งแยกสำนักเต๋า ถูกกำหนดโทษทรยศ ย้อนศรรุ่นปู่ของเขา ด้วยเหตุผลนี้จึงตั้งใจไม่ใส่อยู่ในชื่อสารบัญของคัมภีร์ลัทธิเต๋า แต่ยังคงเป็นตำราหลัก ตอนนี้หนังสือเล่มเดิมก็ควรจะอยู่ในพระราชวังหลี สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา”
โก่วหานสือแสดงท่าทีที่เห็นด้วยตามความจริง มองตากับเฉินฉางเซิง พยักหน้าเล็กน้อย ล้วนเป็นชายหนุ่มที่อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าอย่างถ่องแท้ สามารถโต้ตอบด้วยกัน ความรู้สึกชนิดนี้ดียิ่งนัก เฉินฉางเซิงและพรรคกระบี่หลีซานมีปัญหาที่อยากจะแก้ออก รวมถึงบุญคุณความแค้น โก่วหานสือกลับไม่ได้รู้สึกเป็นศัตรูใดๆ ต่อเขา เฉินฉางเซิงก็มองเขายิ่งมายิ่งไม่ระคายตา ส่วนมากก็มาจากสาเหตุนี้
ผู้คนล้วนรู้ว่าโก่วหานสืออ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างแจ่มแจ้ง หลังคืนชุมนุมไม้เลื้อย ชื่อเสียงการอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าที่เหมือนกันก็กระจายไปอย่างกว้างขวางเช่นกัน ตอนนี้คนก่อนหน้าบรรยาย คนหลังเพิ่มเติม ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตำราเล่มเดิมอยู่ในพระราชวังหลี สามารถอ่านได้ตลอดเวลา ผู้คนที่อยู่ในสนามแน่นอนว่าเชื่อสนิทใจ มีเพียงสีหน้าของจี้จิ้นที่ยิ่งดูไม่ได้ กระทั่งหน้าเริ่มเขียวคล้ำขึ้นมา
“พอแล้ว” เกิดเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งขึ้นมา ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในชุดสีขาวคนหนึ่งมาถึงกลางสนาม
จอนผมของผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนนี้เต็มไปด้วยผมขาว มองดูแล้วคาดว่าอายุยาวนาน มีผู้สอบหนุ่มที่รู้จักเขาพูดอย่างตกตะลึงว่า “ท่านอาจารย์เหนียนกวง!”
เฉินฉางเซิงถามโก่วหานสือถึงจะรู้ ท่านเหนียนกวงท่านนี้มาจากหอจงซื่อ บำเพ็ญอย่างลำบากตั้งแต่เด็ก อยู่ในโลกการบำเพ็ญนั้นมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากที่ได้รับอันดับรองการสอบใหญ่ของปีหนึ่ง เข้าสุสานเทียนซูก็ประกาศสาบานว่าจะเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนหนึ่ง ไม่เคยออกจากสุสานเทียนซูอีก
เหนียนกวงมองเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ไม่ว่าเว่ยกั๋วกงหรือว่าคนตัดไม้ ล้วนไม่ใช่นักบำเพ็ญ แต่พวกเจ้าเป็นนักบำเพ็ญ ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็เพื่อเรียนรู้กฎธรรมชาติ ไม่ได้อยู่บนแบบแผนและเส้นทางเต๋าที่แท้จริง คำพูดของท่านจี้จิ้น ก็ไม่ได้ไม่มีเหตุผล ถ้าพวกเจ้ายืนกรานที่จะบุกเบิกเส้นทางใหม่ ก็เป็นพฤติกรรมที่มีความกล้าหาญ ไม่ได้ไม่เหมาะสม”
ได้ยินคำพูดนี้ ผู้คนถึงรู้ว่าผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งท่านนี้จริงๆ แล้วมาเพื่อประนีประนอมไกล่เกลี่ย
โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงทำความเคารพท่านเหนียนกวง ไม่ได้พูดอะไรอีก
เหนียนกวงมองไปที่จี้จิ้นอีกครั้ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยความสงสารและโมโหเล็กน้อยว่า “ตอนนั้นเจ้าใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี ก็แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไปสิบเจ็ดแผ่นที่หน้าสุสาน ล้วนชมกันว่าเจ้าจิตใจสงบดั่งสายน้ำ ปัจจุบันกลับเป็นอะไร? เป็นถึงอาจารย์อุปถัมภ์การบำเพ็ญอย่างพวกเรา จะเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กน้อยสามัญนอกสุสานเหล่านี้ได้อย่างไร?”
จี้จิ้นเหยียดหยามไม่ได้เป็นเพราะการฝากมาของนอกสุสานทั้งหมด ยังเป็นเพราะตัวเขาเองมีอารมณ์นิดๆ เห็นเหนียนกวงออกมาออกหน้าเอง แม้เขามีความไม่ยอม ก็รู้ว่าไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับคืนมาผ่านคำพูดได้ พูดอย่างไม่แยแสว่า “ดูๆ แล้วนิกายหลวงเห็นความสำคัญของชายหนุ่มคนนี้มากจริงๆ ไม่คิดว่าให้คนที่มีแค้นกับสำนักฝึกหลวงมาออกหน้าให้”
เหนียนกวงขมวดคิ้วเล็กน้อย
จี้จิ้นมองไปยังเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ พูดโดยไร้สีหน้าว่า “การถกเถียงทางคำพูดสุดท้ายแล้วไม่ได้มีความหมายใดๆ พูดคล่องน่าสนใจ ในที่สุดก็อาจเป็นเพียงกองปฏิกูล การสอบใหญ่ปีนี้มีสี่สิบสี่คนเข้าสุสาน ข้าอยากลองดู จริงๆ ใครจะเป็นคนแรกที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าแผ่นนี้ออก ใครสามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้มากกว่า”
คืนนี้โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงถือไฟจะมาดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ เดิมก็ไม่ได้จะมาลับฝีปาก ทั้งสองคนมิได้สนใจเรื่องที่ว่าใครจะสามารถอ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ได้เร็วที่สุดสักเท่าไร ไม่ได้ต่อคำพูดที่มีการดูถูกยั่วยุของจี้จิ้นนี้ แต่พวกเขาไม่พูดจา ไม่ได้แปลว่าเพื่อนคนอื่นจะมีอารมณ์ดีขนาดนี้เช่นกัน
บนภูเขามีเสียงที่ชัดเจนสดใสและเบาบางอย่างมากเสียงหนึ่งส่งมา
“หนึ่งร้อยปีก่อน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เดินผ่านถนนเสินขึ้นไปบูชาท้องฟ้าแทนจักรพรรดิองค์ก่อน เห็นชื่อของคนที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เหล่านั้นสลักอยู่บนแผ่นป้ายหินหน้าสุสานเทียนซู ไม่พอใจอย่างยิ่ง คิดว่าการชมแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เดิมก็เป็นการแอบดูกฎธรรมชาติ ระบุก่อนหลัง เขียนลำดับชื่อ หยาบช้ายิ่งนัก จึงสั่งให้ใต้เท้าโจวทงถือขวานด้วยตัวเอง ขุดเจาะชื่อที่สลักบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ให้หมดมากที่สุด ไม่คิดว่าคืนนี้ในสุสานเทียนซู กลับมีคนยังคงไม่ลืมเรื่องการกระทำที่ล้าสมัยเช่นนี้ พูดวาจาเลอะเทอะเหลวไหล หรือไม่พอใจคำสั่งพระราชเสาวนีย์ในปีนั้นของเหนียงเหนียง? หรือว่าโง่เง่าอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าการกระทำนี้เป็นการดูหมิ่นสุสานเทียนซู?”
ผู้คนบนโลกล้วนรู้เรื่องราวแต่กาลเก่าเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดความจริงแล้ว แม้ลำดับชื่อบนแผ่นป้ายศิลาเหล่านั้นจะถูกทำลายทิ้งแล้ว แต่ในใจของผู้บำเพ็ญทุกคน แผ่นป้ายหินก้อนนั้นยังคงมีอยู่ ไม่มีใครสามารถลืมเลือนชื่อเหล่านั้นที่เคยสูงส่งบนนั้นได้ อย่างเช่นโจวตู๋ฟู อย่างเช่นใต้เท้าสังฆราช อย่างเช่นหวังจือเช่อ สิ่งที่จี้จิ้นพูดก่อนหน้านี้ เดิมก็เป็นเรื่องที่หลายคนใส่ใจอยู่แล้ว เพียงแต่คนนั้นที่เดินมาจากบนเส้นทางภูเขา ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เอาคำพระราชเสาวนีย์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยกไว้อย่างสูงส่ง พูดอย่างทรงเกียรติสง่าผ่าเผยไร้ใดเปรียบ ยิ่งทำให้ผู้คนไม่สามารถโต้ตอบใดๆ ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกหน้าปฏิเสธ ใครจะกล้า?
ได้ยินเสียงนั้น เฉินฉางเซิงส่ายหัวไปมา โก่วหานสือก็ได้ยินพลันเข้าใจว่าหมายถึงอะไรเช่นกัน รอยยิ้มฝืดเล็กน้อย สองคนถอยไปข้างหนึ่ง รู้ว่าในเมื่อคนผู้นั้นมาถึงแล้ว ถ้าจะอุบัติสงครามฝีปาก ไหนเลยจะมาตกถึงตาของตนเอง
จี้จิ้นไม่ทราบว่าผู้มาเป็นใคร สีหน้าอึมครึมอย่างยิ่ง ราวจะกลั่นหยดน้ำลงมา สานุศิษย์กลุ่มจงฮุ่ยทั้งสามคนของสำนักต้นไหวก็โมโหอย่างไร้ที่เปรียบเช่นกัน
ตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้กระจายแสงอันมัวหม่น ตามการมาถึงสนามของชายหนุ่มผู้นั้น จู่ๆ ก็สว่างขึ้นมา เพราะว่าบริเวณแถบคาดเอวของชายหนุ่มผู้นั้นฝังหินอัญมณีราคาแพงล้ำค่านับสิบเม็ด เพราะว่าปลอกกระบี่ที่อยู่ข้างเอวก็ฝังหินอัญมณีเช่นกัน เปล่งแสงสว่างไสวตลอดเวลา เช่นเดียวกับใบหน้าที่ชวนมองของเขา
ดวงตาของศิษย์พี่หญิงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเป็นประกายขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วมาถึงแล้ว มองสีหน้าที่อึมครึมของจี้จิ้นแล้วเลิกคิ้วพูดว่า “หรือว่าเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นไม่มีเหตุผล? เช่นนั้นเจ้าจะลองไปถามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่วังต้าหมิงว่าท่านคิดอย่างไร ดีไหม?”
เหนียนกวงขมวดคิ้วเล็กน้อย อารมณ์ไม่เบิกบานเล็กน้อย แล้วต่อว่า “พอแล้ว”
ผู้อาวุโสผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งท่านนี้ ก่อนหน้านี้พูดว่าพอแล้วไปประโยคหนึ่ง โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงก็ไม่พูดอะไรอีก ถังซานสือลิ่วกลับไม่ใช่คนเช่นนี้ กลับเลิกคิ้วสองข้างให้สูงกว่าเดิมนิดหน่อย พูดว่า “ท่านก็อย่าคิดที่จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมั่วซั่ว และก็อย่ามาแสดงท่าทีลำดับรุ่นต่อหน้าข้า ที่นี่คือสุสานเทียนซู ไม่สามารถต่อสู้ได้ แล้วข้ากลัวอะไรเจ้า?”
เหนียนกวงได้ยินพลันชะงัก
ถังซานสือลิ่วมองไปยังจี้จิ้นอีกครั้ง พูดว่า “เช่นเดียวกัน เจ้าไม่สามารถตีข้าได้ ยิ่งไม่สามารถฆ่าข้าได้ ข้าหัวเราะเยาะเจ้าสักประโยคสองประโยค เจ้าจะทำอะไรข้าได้? จะถ่มน้ำลายส่อสงครามลับฝีปากสักครั้ง? ข้าไม่ใช่เฉินฉางเซิงที่เงียบหงิมไม่พูดไม่จาแบบนั้น และก็ไม่ใช่โก่วหานสือสัตบุรุษจอมปลอมที่ให้ความสนใจเรื่องสง่างาม พูดถึงการด่าคน เจ้านี่ยังไม่ใช่เป็นคู่แข่งของข้าจริงๆ ถ้าเจ้าไม่ยอม รอพรุ่งนี้ตอนที่ข้าชมแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เพื่อการบรรลุ เจ้าสามารถให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานของเจ้ามาตีฆ้องตีกลองข้างๆ ข้า ลองดูว่าสามารถที่จะรบกวนข้าสักนิดได้ไหม เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้เตรียมที่ยัดหูขนนุ่มนิ่มสบายมาจริงๆ หรือ?”