ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 225.2 วันเดียวดูครบแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสาน
แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สี่ ชื่อว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้อยู่ที่ข้างหน้าผาไส้ขาดแห่งหนึ่งพอดี สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อันตรายเล็กน้อย
หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนี้มีคนไม่น้อย คนที่ได้ขั้นสามของการสอบใหญ่ปีที่แล้ว ที่เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู แล้วไม่เคยออกไปไหน ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ตรงนี้
ชีเจียนนั่งอยู่ด้านนอกสุดของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ร่างกายที่ผอมแห้งถูกลมพัดอยู่ข้างผา ให้ความรู้สึกเหมือนเขย่าไปมาจวนจะตกอยู่ตลอดเวลา
เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย ไม่คิดว่าความเร็วในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของศิษย์คนเล็กของพรรคกระบี่หลีซานคนนี้จะเร็วกว่ากวนเฟยไป๋และเหลียงปั้นหู
แน่นอนว่า คนที่ยิ่งรู้สึกผิดคาดคือชีเจียนและผู้คนในสนาม
เห็นเขาเดินไปนั่งข้างชีเจียน ใบหน้าของผู้คนแสดงออกถึงอารมณ์ที่สะเทือนใจ
เทียบกับแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สามแผ่นแรก อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธารง่ายกว่าหน่อย พูดให้ชัดเจนกว่านี้ น่าจะพูดว่าเส้นสายเหล่านั้นบนหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ยังคงซับซ้อน แต่ดูเหมือนมีแบบแผนอะไรบางอย่าง มีแบบแผนสำหรับผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วก็มิได้เป็นเรื่องดี เพราะว่าสภาพจิตใจกลับง่ายที่จะได้รับผลกระทบความวุ่นวาย หรือเรียกว่าเป็นการผูกติดตีกรอบความคิดในขอบแคบ
หลังเฉินฉางเซิงพูดกับชีเจียนสองประโยค ก็เบนสายตาไปยังแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เริ่มสังเกตอย่างตั้งใจ
……
……
“ปีนั้นข้าและเจ้าเดินมาถึงหน้าแผ่นป้ายต้นอนุสรณ์ชลธารใช้เวลาไปกี่วัน?”
ในโถงใหญ่ของพระราชวังหลีที่กว้างใหญ่ เสียงของมุขนายกใหญ่ของโถงศักดิ์สิทธิ์สะท้อนกลับไปมา เขามองรูปปั้นของนักปราชญ์เก่าหลายสิบรูปปั้น สีหน้าเคว้งคว้างไปบ้าง นัยน์ตายังหลงเหลือความสะเทือนใจอยู่
เช่นเดียวกันกับหนึ่งในหกของหัวใหญ่นิกายหลวง มุขนายกใหญ่ของโถงศักดิ์สิทธิ์อีกท่านไม่ได้ตอบคำถามนี้ เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “แม้แผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานจะแก้ง่าย แต่นี่ก็เร็วไปหน่อยไหม”
หรือในมุมมองของบุคคลอื่น เฉินฉางเซิงใช้เวลายี่สิบกว่าวันถึงจะเดินถึงหน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สี่ แต่ผู้มีอิทธิพลใหญ่ของนิกายหลวงอย่างพวกเขา รู้แน่นอนว่าไม่ควรคำนวณเช่นนี้ ตั้งแต่เริ่มแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์จนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ฉะนั้นก็คือครึ่งวัน
“บำเพ็ญปีเดียวถึงทะลวงอเวจี ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ครึ่งวันเห็นต้นชลธาร…สมกับเป็นเด็กที่ใต้เท้าสังฆราชเห็นความสำคัญ”
บทสนทนาเช่นนี้ กำลังปรากฏไปทั่วจิงตู อย่างนี้ถึงจะสามารถสลายความสะเทือนใจที่เฉินฉางเซิงนำมาได้
พอมีข่าวสารส่งมาว่าเฉินฉางเซิงไม่เป็นอย่างก่อนหน้า ที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วผ่านทันทีแบบนั้น แต่เป็นการนั่งลงที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร หลายคนโล่งอกพร้อมๆ กัน คนเหล่านั้นไม่ได้มีอคติกับเฉินฉางเซิง อย่างเช่นเฉินหลิวอ๋องและอาจารย์ซิน เพียงแต่พวกเขารู้สึกว่าทั้งหมดทั้งมวลไม่ค่อยเป็นความจริง ตอนนี้เฉินฉางเซิงที่หยุดก้าวเท้าไปยังข้างหน้า กลับทำให้พวกเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดในวันนี้ให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากกว่า การแสดงผลงานของโก่วหานสือในสุสานเทียนซูในวันเวลาเหล่านี้ สะเทือนจิงตูทั้งเมืองแล้ว การแสดงออกของเฉินฉางเซิงในวันนี้ยิ่งทำให้คนตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก ถ้าเขายังจะทำต่อไป ใครจะสามารถต้านทานไว้ได้?
และแล้วก็เหมือนที่พูดบ่อยๆ แบบนั้น ความเป็นจริงมักจะเหลือเชื่อกว่าจินตนาการ เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ทุกคนในจิงตูล้วนรู้ข่าวเรื่องนี้
เฉินฉางเซิงยืนขึ้นมาจากข้างหน้าผา
เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์
เฉินฉางเซิงแก้แผ่นป้ายต้นชลธารออก
ต่อจากนั้น เฉินฉางเซิงแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่ห้าออก…แผ่นป้ายอนุสรณ์ภาษาวิหค
เฉินฉางเซิงมาถึงหน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่หก
แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ชื่อว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา
อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ปีก่อน เหลียงเสี้ยวเซียวแห่งคำโคลงแดนเทพลำดับที่สาม เวลาหลายเดือนนี้ พยายามแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้อยู่เสมอ
ตอนเห็นเงาหลังของเฉินฉางเซิง สีหน้าที่สันโดษก็อันตรธานไปทันที เหลือเพียงแต่ความตกตะลึง และความไม่เข้าใจอย่างรุนแรง
เฉินฉางเซิงพยักหน้าทักทายกับเขา เท้ากลับไม่ได้ทำการหยุดนิ่งใดๆ
หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่เจ็ด มีเพียงโก่วหานสือคนเดียว
เขากำลังมองภูเขาที่ไกลๆ ได้ยินเสียงฝีเท้า หันหัวกลับเห็นว่าเป็นเฉินฉางเซิงที่มาถึง เลิกคิ้วเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงเดินมาถึงข้างโก่วหานสือ
โก่วหานสือเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรพูดไรดี จึงไม่ได้พูดอะไร
มองเขา โก่วหานสือทอดถอนใจในชีวิต พูดว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่า เจ้ามีโอกาสเป็นคู่แข่งของศิษย์พี่”
ศิษย์พี่ของเขาคือชิวซานจวิน แม้ว่าจะถึงตอนนี้ เขายังคงคิดว่าเฉินฉางเซิงมีโอกาสเช่นนี้
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ยังคงมีปัญหา เพียงแต่เวลาไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงลองเดินๆ ดู”
โก่วหานสือถอนหายใจว่า “ลองเดินๆ ดูก่อน? ถ้าถูกคนได้ยินเข้า นอกจากโมโห ยังจะมีอารมณ์อะไรอีก?”
เฉินฉางเซิงมองแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ตาหนึ่ง พูดว่า “ข้าเตรียมตัวไปแล้ว”
โก่วหานสือไม่ได้เข้าใจผิดเหมือนถังซานสือลิ่วแบบนั้น มองเขาพลางพูดว่า “ดูท่าทีแล้วเจ้าตัดสินใจจะไปสวนโจว”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “ลองเดินๆ ดูก่อน”
ยังคงพูดประโยคนี้
สุสานเทียนซูสำหรับผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลายคนแล้ว อยากจะเดินหน้าไปอีกก้าว ยากดั่งปีนฟ้า
สำหรับเขาในวันนี้แล้ว กลับราวเป็นเพียงแค่เดินเล่นตามสบายใจ
……
……
หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่แปดมีสองคน
เขาเคยเจอสองคนนี้ วันก่อน สองคนนี้เคยตั้งใจไปหาเขาที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า พูดอะไรไปบางอย่าง
คืนวันนั้น ถังซานสือลิ่วก็บอกชื่อแซ่ประวัติความเป็นมาของสองคนนี้ให้เขาฟัง
เห็นเฉินฉางเซิง สองคนนั้นราวกับเห็นราชามาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสะท้านสะเทือน
เฉินฉางเซิงเดินไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ จู่ๆ หยุดการก้าวเท้าลง หันหลังมองไปยังพวกเขาถามว่า “พวกเจ้าก็คือกัวเอินและมู่นู่?”
วันนั้นที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ พวกเขาเคยถามเขาว่า ‘เจ้าก็คือเฉินฉางเซิง?’
เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้เป็นสาวน้อยขายซาลาเปา แต่เป็นชายหนุ่มวัยรุ่นคนจริง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีอารมณ์แม้แต่นิด
ฉะนั้นก่อนจะจากไป เขาก็ถามประโยคหนึ่งเช่นกัน
รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ล้อมรอบด้วยสายลมสดชื่น หน้าของกัวเอินและมู่นู่แดงจัด ร้อนทั่วใบหน้า
……
……
มาถึงหน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สิบเอ็ด ในที่สุดก็สงบเงียบ นอกกระท่อมบริเวณไม่ไกลมีลำธารเล็กที่ใสสะอาด เสียงน้ำซู่ๆ น่าฟังมาก
ตามระดับขั้นบำเพ็ญของเฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่ามีผู้รับใช้แผ่นป้ายในสุสานเทียนซูจำนวนหนึ่งจับตามองตัวเองอยู่ที่ไกลๆ
สีหน้าของจี้จิ้นไม่น่าดูอย่างยิ่ง คืนนั้นเพื่อช่วยเหลือจงฮุ่ยให้ทะลุระดับขั้นและแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ การสูญเสียของเขาเยอะมาก ยากที่จะฟื้นตัว
เหนียนกวงดูเฉินฉางเซิงเดินไปยังข้างลำธาร เงียบขรึมไม่พูดจา สภาพจิตใจซับซ้อนมาก
นิกายหลวงสั่งให้เขาคอยดูแลเฉินฉางเซิงในสุสานเทียนซู เขาไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้าหรือตอนนี้ ล้วนไม่ต้องการให้เขาทำอะไรให้
หลายปีก่อน เขาเป็นนักเรียนที่เลี้ยงดูโดยเฉพาะของหงจงซื่อ กลับถูกกลุ่มนักปราชญ์ของสำนักฝึกหลวงกลุ่มนั้นกดดันจนยากที่จะหายใจ ในที่สุดหมดอาลัยตายอยาก ถึงตัดสินใจเข้าสุสานเทียนซูเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ วันนี้เห็นเฉินฉางเซิงแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเอ็ดแผ่นติดต่อกัน เขานึกถึงเหล่าคนเก่าแก่ของสำนักฝึกหลวงในปีนั้นโดยธรรมชาติ ตามเหตุผลแล้ว เขาน่าจะมีความโมโหเล็กน้อยถึงจะถูก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับมีความดีใจเล็กน้อย ก็เหมือนกับสิบกว่าปีก่อน หลังจากที่เขารู้ว่าเหล่านักปราชญ์ในสำนักฝึกหลวงที่กดดันจนตัวเองหายใจหายคอไม่ออกถูกฆ่าเกือบหมด ไม่ได้มีความรู้สึกดีใจใดๆ กลับเสียความรู้สึกนิดๆ
ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนหนึ่งพูดว่า “เขาเร็วที่สุดในสิบปีที่ผ่านมา กระทั่งเร็วกว่าหวังผ้อและเซียวจางในปีนั้น”
เหนียนกวงเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เร็วกว่า แต่เร็วกว่ามาก เกือบจะทำให้โลกหล้าตกตะลึง”
เฉินฉางเซิงเดินมายังข้างลำธาร ล้างหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง จากนั้นแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ต่อ
เห็นสายลมสดชื่นพัดขึ้นมาที่กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์อีกครั้ง เหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบขรึมปราศจากวาจา
ในสุสานเทียนซูตอนนี้แน่นอนว่ายังมีคนจำนวนมากที่เดินไปไกลกว่าเฉินฉางเซิง ไม่ต้องพูดถึงผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์อย่างสวินเหมยแบบนั้น ได้ข่าวว่าสุสานแห่งที่เจ็ดยังมีผู้บำเพ็ญที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลายร้อยปี
แต่…เฉินฉางเซิงใช้เวลาเพียงแค่วันเดียว
จี้จิ้นนึกย้อนหลังไปในปีนั้น ตอนที่ตัวเองมาถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สิบเอ็ด ใช้เวลาไปเจ็ดปีเต็มๆ ในชั่วเวลาหนึ่งพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม เกิดความสงสัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนต่อเส้นทางการบำเพ็ญของตัวเอง จิตวิญญาณสั่นสะเทือนรู้สึกไม่สบายใจ การสูญเสียในวันก่อนทำให้บาดแผลกำเริบอย่างลับๆ พยุงตนกับต้นไม้แก่ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขย่าโยกเยกจวนจะล้ม ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย
กลุ่มเหนียนกวงไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติของเขา เพราะว่าพวกเขายังจมอยู่ในท่ามกลางความสะเทือนใจ
“ถ้าเขาไม่ใช่แซ่โจว ข้าจะสงสัยว่าเขาเป็นคนรุ่นหลังของคนคนนั้นหรือไม่จริงๆ…”
……
……
พลบค่ำเต็มท้องฟ้า ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้า
เขามองไปยังที่ไกลๆ เห็นเพียงจิงตูในแสงพลบค่ำที่สวยสดงดงามอย่างยิ่ง
เขายืนนิ่งไปสักพัก จากนั้นหันหลัง เดินเข้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ท่ามกลางแสงตะวันตก
หน้าสุสานเทียนซูมีแผ่นป้ายอนุสรณ์ทั้งหมดเพียงสิบเจ็ดแผ่น นี่เป็นแผ่นสุดท้าย
ก่อนหน้ามีโจวตู๋ฟู ปัจจุบันมีเฉินฉางเซิง
หนึ่งวันดูครบจบหมดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสาน