ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 237 เจ้าสำนักเยาว์วัย
ในตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่ถามอะไร แต่ตอนหลังก็พบว่ามีคำถามมากมายที่ตนเองก็ไม่ทราบคำตอบ เมื่อได้เผชิญหน้ากับใต้เท้าสังฆราชที่แววตาสามารถมองทะลุเรื่องราวทุกอย่างบนโลกอย่างปรุโปร่ง เฉินฉางเซิงก็เงียบขรึมไป แม้อายุของเขายังน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว เขารู้ว่ามีคำถามบางอย่างที่ตัวเองไม่สามารถถามได้ อย่างเช่นเรื่องเกี่ยวกับเมืองซีหนิง ศิษย์พี่ หรือนิกายหลวง เพราะฉะนั้นเขาจึงถามได้เพียงบางเรื่องที่สามารถถามได้
อย่างเช่นเรื่องสวนโจว?
ใต้เท้าสังฆราชได้ยินคำถามของเขาแล้วก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ในสวนโจวมีสิ่งของสำคัญที่เจ้าต้องนำมาในนามตัวแทนของพระราชวังหลี”
เฉินฉางเซิงถามตรงๆ ว่า “ใครจะแย่งกับข้า?”
คำพูดนี้ฟังดูเกรี้ยวกราด แต่ความจริงแล้ว ในราชสำนักต้าโจว จะมีใครกล้าแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับพระราชวังหลี? ถึงในใจของเขาจะมีคำตอบแล้ว แต่ก็อยากได้การยืนยัน
ใต้เท้าสังฆราชพูดว่า “นิกายหลวงแบ่งเป็นสองฝ่ายเหนือกับใต้ ในเมื่อเจ้าเป็นตัวแทนของพระราชวังหลีไปสวนโจว ฉะนั้นคนที่กล้าแย่งชิงกับเจ้า แน่นอนว่าต้องเป็นคนทางใต้”
ใต้เท้าสังฆราชไม่ได้พูดกับเขาให้ชัดเจนว่าสิ่งของสำคัญที่ต้องหาให้เจอในสวนโจวคืออะไร เพียงแค่พูดว่าพอเฉินฉางเซิงเห็นสิ่งของชิ้นนั้น ก็จะรู้ว่าเป็นสิ่งของที่เขาตามหา จริงๆ แล้วเฉินฉางเซิงเดาได้แล้วว่าสิ่งของชิ้นนั้นคืออะไร เพียงแต่ใต้เท้าสังฆราชมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้พูดตรงๆ ไม่ได้ แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้เริ่มพูดถึงขึ้นมาก่อน
เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ได้พูดกับลั่วลั่วบนต้นไทรย้อยใหญ่ในตอนบ่าย เขาก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองในสวนโจว น่าจะเป็นเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ พรรคฉางเซิง และผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงอเวจีเหล่านั้นของสำนักต้นไหว
และยังมีผู้หญิงคนนั้น
“สวีโหย่วหรงจะเข้าสวนโจวหรือไม่?” เขาถาม
ใต้เท้าสังฆราชราวกับรู้ความรู้สึกของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในวันที่เจ้าเข้าสุสานเทียนซู ทางใต้มีข่าวสารส่งมา สวีโหย่วหรงทะลวงอเวจีในเมืองเล็กเมืองหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคือ นางบรรลุระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย ก็แปลว่าระดับขั้นของนางและเจ้าอยู่ในระดับเดียวกัน เจ้าและนางถ้าได้เจอกันในสวนโจว ต้องน่าสนุกแน่ๆ”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไร้คำพูด ใจคิดว่าถ้าระดับขั้นเหมือนกัน เช่นนั้นตัวเองต้องสู้นางไม่ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากความจริงข้อนี้ เขาเงียบขรึมไปเป็นเวลานาน จึงถามต่อ “แล้วชิวซานจวินล่ะ? ตามข่าวลือบนโลกมนุษย์ เขามีใจปฏิพัทธ์ต่อสวีโหย่วหรงและคอยดูแลนางอยู่เสมอ ถ้าสวีโหย่วหรงเข้าสวนโจว เขาก็ควรติดตามไปด้วย”
เขาพยายามให้น้ำเสียงของตัวเองสงบเหมือนปกติ แต่อย่างไรเขาก็เป็นแค่ชายหนุ่มอายุสิบห้าปี อารมณ์น้ำเสียงยังคงมีความประหลาด โดยเฉพาะตอนที่พูดคำว่ามีจิตปฏิพัทธ์
ใต้เท้าสังฆราชพอได้กลิ่นเปรี้ยวน้ำส้มสายชูจางๆ ในโถง รอยยิ้มก็ยิ่งหนักแน่น เขากล่าวว่า “ฉะนั้นข้าถึงบอกว่าเรื่องนี้น่าสนุก เมื่อสิบวันก่อนชิวซานจวินรวบรวมดวงดาวสำเร็จ เขาไม่สามารถเข้าสวนโจวได้ ฉะนั้นไม่ว่าเจ้ากับสวีโหย่วหรงจะทำอะไรกันในสวนโจว เขาก็ไม่มีทางรบกวนได้”
ในคำพูดนี้มีความหยอกเย้าหรือกระทั่งการทำให้คนรำคาญ เป็นอีกด้านหนึ่งของใต้เท้าสังฆราชที่ดูไม่เข้ากับสถานะของตน เฉินฉางเซิงชะงักไปสักพักค่อยฟื้นสติคืนมา
จู่ๆ เขาก็เข้าใจจุดประสงค์ในประโยคนี้ของใต้เท้าสังฆราช ใบหน้าของเขามีสีหน้าที่ตกตะลึงแสดงออกมา
“ชิวซานจวิน… รวบรวมดวงดาวสำเร็จแล้ว?”
“ก่อนหน้านี้ตอนแย่งชิงกุญแจของสวนโจวกับเผ่ามาร เขาบาดเจ็บสาหัส แต่มันกลับนำมาซึ่งโชคลาภ เขาจึงได้ใช้โอกาสนี้ ทะลุระดับขั้นได้สำเร็จ”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมแล้วเริ่มคิดวิเคราะห์ ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ชิวซานจวินน่าจะยังไม่ยี่สิบปีบริบูรณ์ ยังไม่เคยเข้าร่วมการสอบใหญ่สักครั้ง ไม่เคยเข้าสุสานเทียนซู แต่เขาก็สามารถรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ ส่วนสวีโหย่วหรงเด็กกว่าตัวเองสามวัน ยังไม่ได้เข้าสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุ ก็ได้เข้าขั้นทะลวงอเวจีขั้นปลายอย่างแท้จริงแล้ว
เขาถอนหายใจเงียบๆ นี่สิถึงจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
เพราะว่าเขาบำเพ็ญตามใจชอบ จึงทำให้สนใจเรื่องสภาพจิตใจสงบ ทั้งๆ เขาไม่มีใจแก่สวีโหย่วหรง แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่พูดถึงนางหรือผู้ชายที่ชื่อว่าชิวซานจวินคนนั้น เขาจะรู้สึกอึดอัด สิ่งที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจคือ ไม่ว่าเขาจะสร้างปาฏิหาริย์มากมายสักเท่าไหร่ ชิวซานจวินก็จะล้ำหน้าเขาอยู่ตลอด
เมื่อเขาได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งจากการสอบใหญ่ ชิวซานจวินก็ได้กุญแจของสวนโจว ครั้นเขาเข้าสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เข้าสู่ทะลวงอเวจีขั้นปลาย ชิวซานจวินไม่ต้องอ่านแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ก็สามารถรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ เรื่องใหญ่เผ่าชาติพันธุ์กับเรื่องการบำเพ็ญส่วนตัว ต้องการสิ่งของภายนอกกับไม่ต้องการสิ่งของภายนอก ดูอย่างไรก็อันหลังแข็งแกร่งกว่า
“ข้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่าชิวซานจวิน”
ใต้เท้าสังฆราชราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม้คนอื่นจะไม่คิดเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าเจ้าอ่อนแอกว่าชิวซานจวินเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงส่ายหัวพูดว่า “ข้าสู้เขาไม่ได้”
ใต้เท้าสังฆราชพูดอย่างสงบว่า “เจ้าเด็กกว่าเขาสี่ปี”
เฉินฉางเซิงชะงัก จากนั้นหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข
ใต้เท้าสังฆราชพูดต่อว่า “ส่วนสวีโหย่วหรง… อย่างไรนางก็เป็นลูกสาวของสวีซื่อจี”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไป ในเมื่อสวีซื่อจีเป็นสุนัขรับใช้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าสวีโหย่วหรงจะยืนอยู่ฝ่ายใต้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ อีกนัยหนึ่งก็คือ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนิกายหลวงนั่นเอง
เขานึกถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวมากอันหนึ่ง “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รู้ประวัติความเป็นมาของข้าหรือไม่?”
ใต้เท้าสังฆราชพยักหน้าแล้วพูดว่า “ม่ออวี่สั่งคนให้ไปตรวจสอบที่มาของเจ้าที่เมืองซีหนิงมานานแล้ว เรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็ปิดบังตลอดไปไม่ได้ตลอด หลังการสอบใหญ่ข้าก็ได้พูดเรื่องนี้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพักแล้วถามว่า “เหนียงเหนียงจะ…”
“ไม่” ใต้เท้าสังฆราชมองเขาพลางยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเหนียงเหนียงไม่อยากทำลายสัมพันธมิตร นางก็จะไม่ทำ อย่างน้อยนางจะไม่แสดงออกกับเจ้าภายนอก เพราะว่านั่นหมายความว่าเอาพระราชวังหลีไปเป็นศัตรูของนางอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ตาม”
อะไรคือความมั่นใจในขุมกำลังของตนเอง? มันก็คือสิ่งนี้นั่นเอง
“สิ่งของในสวนโจวแน่นอนว่าสำคัญ แต่อย่าลืมว่าศัตรูที่แท้จริงของเราอยู่ทางเหนือ กุญแจของสวนโจวในครั้งนี้ตกอยู่ที่มือของพวกเรา แต่เผ่ามารก็คงไม่อาจยอมปล่อยมันไปโดยง่าย ถ้าคนชุดดำยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน จงจำไว้ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสวนโจวหรือนอกสวนโจวแล้ว ตราบเท่าที่ยังไม่ได้กลับเมืองหลวง เจ้าจะต้องคอยระมัดระวังตนเอง”
“ขอบคุณท่านนักปราชญ์ที่ชี้แนะ” เฉินฉางเซิงพูด
ใต้เท้าสังฆราชพูดว่า “ยังจะเรียกข้าว่านักปราชญ์อีกหรือ?”
เฉินฉางเซิงพูดอย่างไม่ค่อยชินว่า “ขอรับ อาจารย์อา”
ใต้เท้าสังฆราชหัวเราะอย่างพอใจ
ก่อนที่บทสนทนาจะจบลง เฉินฉางเซิงกล่าวถึงข้อเรียกร้องข้อหนึ่งขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ใต้เท้าสังฆราชเคยพูดว่า ในคืนสุดท้ายของชุมนุมไม้เลื้อย เขาเป็นคนให้ม่ออวี่พาเฉินฉางเซิงเข้าวังถง ดังนั้นเขาน่าจะรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าข้างใต้สระน้ำเยือกเย็นมีอะไรอยู่
“ข้าอยากพบมังกรดำตัวนั้น” เฉินฉางเซิงมองใต้เท้าสังฆราชและพูดอย่างจริงใจ
ใต้เท้าสังฆราชคาดไม่ถึงว่า ข้อเรียกร้องของเขาจะเป็นเรื่องนี้ เขาถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฟังดูแล้วเหมือนเจ้าจะรู้จักกับมังกรดำตัวนั้น?”
เฉินฉางเซิงเล่าเกี่ยวกับตอนที่ตัวเองได้เจอมังกรดำตัวนั้นที่ใต้สระน้ำเยือกเย็น แต่ข้ามรายละเอียดไปเยอะมาก เขาไม่ได้พูดถึงว่าเคยถอดจิตที่นั่น หรือเรื่องที่เกือบจะเผาตัวเองตาย เพียงแค่พูดว่าเคยรับปากกับฝ่ายตรงข้าม ถ้าฝ่ายตรงข้ามยอมปล่อยตัวเองออกมา ตัวเองจะต้องหาเวลาไปเยี่ยม นี่ก็คือการทำตามสัญญา
“แม้นั่นจะเป็นมังกรดำดุร้ายตัวหนึ่ง แต่สัญญาก็คือสัญญา” ใต้เท้าสังฆราชเหมือนจะพอใจพฤติกรรมที่เขารักษาและให้ความสำคัญกับคำสัญญามาก เขาพูดว่า “หลายปีก่อนที่หวังจือเช่อได้กักขังมันไว้ใต้สระน้ำ เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมจริงๆ”
เฉินฉางเซิงถามว่า “แล้วข้าจะพบมันได้อย่างไร?”
“บ่อน้ำที่สะพานอุดรใหม่เปิดแล้ว”
พอพูดประโยคนี้จบ ใต้เท้าสังฆราชก็หยิบแผ่นไม้ชิ้นหนึ่งจากบริเวณอกส่งให้เขา
เฉินฉางเซิงรับแผ่นไม้นั้นมา เห็นเพียงบนแผ่นไม้มีตัวอักษรสลักนูนขึ้นมาเป็นคำว่า “สำนักฝึกหลวง”
“นี่คือ…” เฉินฉางเซิงมองแผ่นไม้ชิ้นนั้นด้วยความไม่เข้าใจ
ใต้เท้าสังฆราชพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่คือแผ่นป้ายสำนักของสำนักฝึกหลวง”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ
ใต้เท้าสังฆราชพูดว่า “มีเพียงแค่เจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงถึงจะมีสิทธิ์ถือแผ่นป้ายนี้”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ หรืออาจจะพูดได้ว่าพอจะเข้าใจเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำใจเชื่อได้
ใต้เท้าสังฆราชมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก ข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์อา อย่างไรก็ต้องให้ของกำนัลในยามพบกันครั้งแรก เพียงแค่ให้เจ้าขุดบ่อน้ำของสะพานอุดรก็ดูจะงกเกินไป แผ่นป้ายนี้ล่ะ เป็นอย่างไร?”
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับแผ่นป้ายนี้มากนัก ไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบอะไรทำขึ้นมา แล้วมีประวัติศาสตร์ยาวนานแค่ไหน รู้เพียงแค่ว่าแผ่นป้ายนี้จู่ๆ ก็หนักขึ้นมา
“ตั้งแต่ซีหนิงมาถึงจิงตู เข้าไปยังสำนักฝึกหลวงโดยอุบัติเหตุ ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว นี่คงเป็นสัญญาณชนิดหนึ่ง สำนักฝึกหลวงนั้นถูกทำลายลงด้วยมือของอาจารย์เจ้า แล้วมันก็ควรถูกฟื้นฟูใหม่จากในมือเจ้า”
ใต้เท้าสังฆราชมองเขาพลางกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่า ตั้งแต่ที่รับแผ่นป้ายชิ้นนี้มา เขาก็ได้กลายเป็นเจ้าสำนักรุ่นใหม่ของสำนักฝึกหลวงไปแล้ว ว่าแต่…เจ้าสำนักฝึกหลวงเป็นสถานะอะไร? แม้จะว่ากันว่าในสิบกว่าปีที่ผ่านมา สำนักฝึกหลวงเสื่อมโทรมราวกับสวนป่าช้า ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นหนึ่งในหกสำนักไม้เลื้อย ในอดีตมันอยู่เทียบเท่ากับสำนักเทียนเต้า เป็นหนึ่งในสำนักที่เก่าแก่ที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพิ่งจะได้ยินลั่วลั่วพูดตอนบ่ายว่า มุขนายกใหญ่โถงศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักขบวนรถอริพ่ายเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว เหมาชิวอวี่ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักเทียนเต้าก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นหนึ่งในหกหัวใหญ่นิกายหลวง…
เขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มวัยสิบห้า ไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง? เขาจู่ๆ รู้สึกว่าแผ่นป้ายชิ้นนี้ในมือไม่เพียงแค่หนักหน่วงขึ้น มันกลับให้ความรู้สึกลวกมือขึ้นมาด้วย
……
……
เมื่อออกจากตำหนักมาได้ไม่ไกล เขาก็ได้ยินเสียงไอส่งมาจากข้างถนน เฉินฉางเซิงมองไปเห็นเพียงเหมยหลี่ซาผู้เป็นใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลาง แล้วรีบเข้าไปทำความเคารพ
เหมยหลี่ซามองเข้าแล้วยิ้ม บ่งบอกว่าให้เดินไปด้วยกัน เขาพูดด้วยเสียงช้าๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจอะไรกระจ่างแล้วหรือยัง?”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ส่วนมากข้าเข้าใจ”
เหมยหลี่ซามองไปยังดวงดาวเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ว่าข้าชรามากแล้วใช่ไหม?”
เฉินฉางเซิงยังไม่ทันได้ตอบกลับ เหมยหลี่ซาพูดต่ออย่างไม่แยแสว่า “นิกายหลวงในตอนนี้ มีเพียงแค่ข้าและใต้เท้าสังฆราชที่ชราที่สุด ความอาวุโสนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก สามารถมองเห็นเรื่องราวจำนวนมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีได้เช่นกัน เพราะว่าจะจดจำเรื่องราวได้มากเกินไป เลยมีชีวิตอยู่เช่นนี้ลำบาก”
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับนิกายหลวงสิบกว่าปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังจำได้อย่างแม่นยำชัดเจน แต่ก็น่าประหลาดใจ ว่าทำไมข้าถึงลืมบางเรื่องบางราวไป”
เหมยหลี่ซาไอสองที แล้วพูดต่อว่า “ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาจารย์ของเจ้า ฉะนั้นคนแรกที่สังเกตเห็นสถานะจริงของเจ้าก็คือข้า จริงๆ แล้วในตอนนั้นข้าไม่ค่อยแน่ใจความคิดของใต้เท้าสังฆราช จึงค่อยบอกให้เขารู้หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แน่นอนว่า เจ้าคงเข้าใจในความระมัดระวังของอาจารย์เจ้า”
จนถึงตอนนี้เฉินฉางเซิงก็ยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างสิ้นเชิง เขาจึงทำได้แต่เงียบขรึม พระราชวังหลีใต้แสงค่ำคืนช่างสงบยิ่งนัก พวกเขาเดินอยู่บนถนนหินระหว่างตำหนักแต่ละตำหนัก แสงไฟสุกใสบริเวณไกลๆ ของข้างถนนเสินสามารถพอมองเห็นได้บ้าง
มีคำถามหนึ่งที่เขาไม่กล้าถามตรงๆ ต่อหน้าใต้เท้าสังฆราช แต่ในเวลานี้ เขาก็ไม่อาจสะกดความกังวลในใจได้ เขาพูดอย่างรู้สึกไม่สบายใจว่า “ข้ารู้สึกกังวลเรื่องอาจารย์เล็กน้อย…”
“ม่ออวี่ส่งคนไปเมืองซีหนิงนานแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ปีนั้นผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของต้าโจวล้อมรอบโจมตีสำนักฝึกหลวง เหนียงเหนียงและใต้เท้าสังฆราชลงมือด้วยตัวเอง ขนาดอาจารย์ของเจ้ายังสามารถรอดชีวิตมาได้ ตอนนี้คงไม่ต้องห่วงเลย”
เฉินฉางเซิงมองคนแก่ที่ทำตาหยี พลางพูดอย่างตั้งใจว่า “ขอบคุณท่านที่ดูแลมาตลอดหนึ่งปีนี้”
เหมยหลี่ซาหยีตาพร้อมหัวเราะเหมือนสุนัขจิ้งจอกชราตัวหนึ่ง “อาศัยอยู่จิงตู จริงๆ แล้วง่ายมาก เพราะว่าอยู่ที่นี่แล้วคิดอยากตายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนมีความสันติ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพราะมีความเก่า”
เฉินฉางเซิงรับคำชี้แนะอย่างจริงใจ
เหมยหลี่ซามองไปยังเขาและเอ่ยว่า “แต่ถ้าหากออกจากจิงตูแล้ว มันก็จะไม่เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะบริเวณนอกต้าโจวของพวกเรา มันเต็มไปด้วยลมฝนโหดร้าย ทำได้เพียงดูแลตัวเอง”
เฉินฉางเซิงนึกถึงคำพูดที่ใต้เท้าสังฆราชพูดก่อนหน้า แล้วพูดด้วยความไม่ค่อยสบายใจว่า “คนชุดดำ… ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ? เผ่ามารจะวางแผนการกลอุบายร้ายอะไรต่อการเปิดของสวนโจวอีก”
เหมยหลี่ซาพูดว่า “ในเมื่อกุญแจสวนโจวอยู่ในมือของเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าเผ่ามารจะดึงดันอย่างไร ก็ไม่สามารถฉวยโอกาสไว้ได้ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากเกินไป ในทางกลับกัน เจ้าอย่าลืมว่าสติปัญญาของบางคนในต้าโจวนั้นแน่นอนว่ายังห่างไกลมากเมื่อเทียบกับคนชุดดำ แต่ความโหดเหี้ยมทารุณและต่ำช้าไร้ยางอายนั้นกลับชนะเผ่ามารไปไกล คนเช่นนี้เจ้าต้องระวัง”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือโจวทง
มาถึงข้างถนนเสินของหน้าตำหนักหลัก เหมยหลี่ซาหยุดเท้าลงพร้อมพูดว่า “ขอส่งเจ้าถึงแค่ตรงนี้”
เฉินฉางเซิงทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วพูดว่า “หลังกลับมาจากสวนโจว ชนรุ่นหลังจะกลับมาเยี่ยมท่าน”
เหมยหลี่ซาส่ายหัวพูดว่า “ต่ำเกินไป”
เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าสามคำนี้แปลว่าอะไร
“เจ้าโค้งตัวต่ำเกินไป”
เหมยหลี่ซามองเขาพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง มีเพียงใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าต้องทำความเคารพอย่างเต็มรูปแบบ นอกเหนือจากพวกเขา เจ้าไม่ต้องทำความเคารพใครทั้งนั้น”
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าสถานะของตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว
มุขนายกใหญ่ของสำนักการศึกษากลาง ตอนนี้ก็อยู่ระดับเดียวกับเขา
ความเงียบสงบลึกเข้าไปในพระราชวังหลี จู่ๆ มีเสียงระฆังของบริเวณสว่างที่อยู่ไกลๆ ดังขึ้นมา เสียงระฆังไม่ใช่สัญญาณเรียกให้กลับบ้าน แต่บ่งถึงหนังสือประกาศบรมราชโองการของนิกายหลวงฉบับหนึ่งที่เป็นทางการ เนื้อหาของหนังสือประกาศบรมราชโองการฉบับนี้ กระจายไปทั่วตำหนักอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายลมตอนกลางคืน มันได้ไปยังทั่วทุกแห่งหนของหัวเมืองต่างๆ ในต้าลู่
“ตั้งแต่วันนี้ เจ้าไม่ต้องก้มหัวอีก”
เหมยหลี่ซามองเขาพลางยิ้มแล้วพูด จากนั้นก็หันหลังจากไป
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ข้างถนนเสิน รู้สึกหูอื้อตาลายเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
บนถนนเสินมีมุขนายกสองคนรอส่งเขาออกจากพระราชวังอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่ส่งเขาเข้าพระราชวัง มุขนายกสองท่านนี้ได้แสดงกิริยามารยาทที่เรียกได้ว่าเคารพระมัดระวังมากยิ่งนัก
ลำดับตำแหน่งของนิกายหลวงนั้นชัดเจนและเคร่งครัดมาก แต่ไหนแต่ไรระดับการแบ่งชนชั้นในพระราชวังหลีก็เข้มงวดมานานแล้ว ตอนนี้เขาไม่ใช่นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง แต่เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าได้รับสัมผัสสายตาที่เกรงกลัวที่แตกต่างกัน
แสงจากเสาไฟที่สูงลอยส่องถนนเสินอันตรงดิ่งให้สว่าง
ภายใต้การอารักขาของมุขนายกสองคน เฉินฉางเซิงเดินตามถนนเสินออกไปยังนอกพระราชวัง
นักบวชที่พบเห็นระหว่างทางต่างพากับหลีกไปที่สองข้างของถนนเสิน
ก่อนหน้านี้ที่เข้าพระราชวังหลี เขาก็ได้พบภาพที่คล้ายคลึงกัน
ในตอนนั้นเพียงนักบวชสบตาเขาหลังหลีกทางให้ก็เพียงพอแล้ว ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นสิ่งที่ไร้มารยาท เพราะพวกเขาจำเป็นต้องทำความเคารพต่อเฉินฉางเซิง ไม่ใช่เพียงแค่สบตาเหมือนแต่ก่อน
บริเวณที่ชายหนุ่มย่างผ่านทั้งหมด มีนักบวชนับร้อยคนพากันไหว้ทำความเคารพ สีหน้าถ่อมตัว เสียงขึ้นลงต่อเนื่องกันเป็นระลอก
“ขอคารวะเจ้าสำนักเฉิน”
“คารวะเจ้าสำนักเฉิน”
“สวัสดีเจ้าสำนักเฉิน”