ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 24 ดวงดารานับพันหมื่น รับมาได้เพียงดวงเดียว
ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่คือดวงดาว สว่างไสวไม่มีที่สิ้นสุด ในระหว่างนั้นก็มีพลังแอบแฝงอยู่ข้างในนับไม่ถ้วน และเป็นกลุ่มก้อนเส้นเล็กๆ ละเอียด คล้ายกับว่ามีอยู่และสูญหาย เป็นระลอกคลื่นลึกลับยากที่จะสัมผัสได้
นั่นจึงเรียกว่าโชคชะตาอย่างนั้นหรือ
พลังจิตของเฉินฉางเซิงล่องลอยไปยังสถานที่อยู่สูงขึ้นไป ผ่านดวงดาวมากมายอย่างรวดเร็ว หากเทียบกับพื้นที่รอบด้านที่กว้างไกลไร้ใดเปรียบ เทียบกับพลังอำนาจของหมู่ดวงดาวที่แอบซ่อนอยู่ข้างใน พลังจิตของเขานับว่าช่างน้อยนิด ราวกับขนนกที่อยู่กลางที่โล่งกว้าง ราวกับน้ำหยดหนึ่งในทะเลทรายที่ใกล้จะเหือดแห้ง คล้ายกับว่าในเวลาแค่ชั่วครู่จะถูกทำให้แตกแยกจากกัน ถูกทำให้ระเหยเป็นไอแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวเหล่านั้นหรือว่าจะเป็นพลังที่มหาศาล กลับไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อพลังจิตของเขา
ข้างหน้าทางด้านซ้ายของพลังจิตเขาปรากฏดวงดาวสีแดงดวงหนึ่ง ผิวภายนอกของดวงดาวกำลังเผาไหม้อย่างรุนแรง พ่นเปลวไฟที่น่ากลัวออกมาบริเวณรอบๆ เขาไม่รู้ว่าดวงดาวนั้นห่างจากตนเองเท่าไหร่ เพียงแค่สามารถคาดการณ์จากจุดที่เปลวไฟคล้ายกับแข็งตัว ห่างไกลอย่างยิ่ง แต่ว่าในพลังจิตของเขาดาวดวงนี้ช่างใกล้ยิ่งนัก อย่างนั้นจึงสามารถกล่าวได้เพียงว่าดาวดวงนี้คงใหญ่โตไร้ที่เปรียบ เกือบจะยึดครองพื้นที่การสัมผัสพลังจิตของเขาทั้งหมด
ดวงดาวสีแดงที่กำลังลุกไหม้แผ่กระจายความสามารถอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมายังพื้นที่ว่างเปล่า ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนึ่ง ราวกับว่าแค่เพียงเข้าไปใกล้อีกนิด ก็จะถูกเผาไหม้จนแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังบริสุทธิ์ แต่ในระหว่างนั้นก็ให้ผู้คนเฝ้ารอที่จะหลอมละลาย
เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่สงบ ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกหวาดกลัว เพราะว่าเขาแน่ใจว่าในมหาสมุทรดวงดาวไม่มีสรรพสิ่งใดๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อพลังจิตของมนุษย์ ความรู้สึกไม่สงบนี้มาจากการที่เขารู้สึกขัดแย้งกับสภาพและคุณสมบัติของดาวดวงนั้น หากเปลี่ยนคำพูดอาจจะกล่าวได้ว่า เขาไม่ชอบ
ด้วยเหตุนี้พลังจิตของเขาจึงล่องลอยต่อไปยังที่ที่สูงขึ้นไปอีก หลังข้ามผ่านกลุ่มสรรพสิ่งที่มีรูปแบบคล้ายกับละอองฝุ่น ดวงดาวสีน้ำเงินดวงหนึ่งพลันสะท้อนเข้าไปในม่านตา ดวงดาวดวงนั้นชัดเจนว่ามีความเย็นชาเป็นพิเศษ มีเย็นเยือกเป็นพิเศษ ผิวด้านนอกราวกับว่าครอบคลุมไปด้วยน้ำค้างอ่อนบาง ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกแข็งกร้าวชนิดหนึ่ง มันปฏิเสธสรรพสิ่งใดๆ ที่จะเข้ามาใกล้ หลังจากดวงจิตของเขาล่องลอยอยู่ที่นั่นเพียงชั่วครู่ จึงมุ่งไปยังที่ห่างไกลออกไป
พลังจิตของผู้บำเพ็ญเพียรออกห่างจากร่างกาย เป็นธรรมดาที่ระยะห่างจะมีขอบเขตจำกัด ขึ้นอยู่กับลำดับขั้นในการบรรลุที่สูงขึ้น จะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น แต่ว่ามีเพียงตอนที่จุดแสงสว่างของดาวโชคชะตาในครั้งแรกเท่านั้นที่ขอบเขตในการล่องลอยไปในพื้นที่นี้ไม่มีข้อจำกัดใดๆ นี่ก็เป็นปริศนาที่ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน
พลังจิตของเฉินฉางเซิงล่องลอยไปยังด้านบนต่อไป พบเจอกับดวงดาวและทิวทัศน์ทุกชนิดทุกอย่าง ครั้งหนึ่งเขาผ่านไปยังดวงดาวที่ดูเหมือนนิ่งสงบเป็นพิเศษ พลังจิตของเขาปรารถนาจะเข้าไปใกล้ กลับถูกพลังที่ไม่มีรูปร่างผลักดันออกมา เขาจึงเข้าใจว่าคงเป็นดาวโชคชะตาของผู้อื่น
ยิ่งมุ่งเข้าไปในส่วนลึกของท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว จำนวนของดวงดาวก็มีมากยิ่งขึ้น และก็ค่อยๆ ปรากฏดวงดาวที่แปลกประหลาดมากมาย ไม่สอดคล้องกับดวงดาวในความหมายของมนุษย์ธรรมดา ดวงดาวเหล่านั้นล่องลอยอยู่ในพื้นที่กว้างอย่างเงียบสงบ ไม่หยุดที่จะเปล่งแสงสว่างไสวแพรวพราว บางทีคล้ายกับก่อเกิดเป็นต้นแขนที่หมุนแกว่งนับไม่ถ้วน เหมือนกับของเล่นของเด็ก บางทีแสงสว่างแพรวพราวของดวงดาวก็แปรเปลี่ยนเป็นปีกหนึ่งคู่ที่สว่างไสว เหมือนกับเป็นสัตว์ปีกอัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ยังมีดวงดาวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกน่าเกรงขามดุร้าย
เวลาหนึ่งคืนเต็ม พลังจิตของเขากำลังล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรดวงดาว รับรู้อย่างช้าๆ ก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้ ความรู้สึกเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กับดวงดาว กฎเกณฑ์ที่มากยิ่งขึ้นมาจากตนเอง ให้ความรู้สึกเป็นอิสระหลุดพ้นจากการผูกมัดของร่างกายอย่างสิ้นเชิง เป็นหนึ่งในแรงกระตุ้นของผู้บำเพ็ญเพียรด้วยตัวของมันเอง
พลังจิตของผู้บำเพ็ญเพียรข้ามผ่านท้องฟ้ายามราตรี ล่องลอยท่องเที่ยวไปยังส่วนลึกของมหาสมุทรดวงดาว สภาพการณ์เช่นนี้มักจะพบบ่อยๆ ในโลกมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิงตูที่แอบแฝงไปด้วยอัจฉริยะ ทุกค่ำคืนล้วนแต่มีผู้คนจำนวนมากมายที่ทดลองจุดแสงสว่างดาวโชคชะตา ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจต่อพลังจิตของเฉินฉางเซิง
ทันใดนั้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พลังจิตของเขาก็มองเห็นเส้นแสงที่ส่องสว่างไสวที่สุด ความสง่างามของเส้นแสงไม่เหมือนดาวดวงอื่น มอดไหม้แผดเผามากกว่า มีพลังมากกว่า เขาเกิดความคิดชั่ววูบที่อยากจะไปดูให้ชัดเจน แต่กลับคิดอะไรได้บางอย่าง จึงรู้ว่าเวลาที่จะต้องกลับไปได้มาถึงแล้ว
เขาลืมตาตื่นขึ้น พบว่าตนเองยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอตำราของสำนักฝึกหลวง พลังจิตล่องลอยเนิ่นนานเดินทางไปถึงส่วนลึกของมหาสมุทรดวงดาว เมื่อกลับมากลับเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว หันหลังกลับไปมอง พบเพียงท้องฟ้าที่เป็นสีขาวเลือนรางนอกหน้าต่าง ที่แท้ก็ฟ้าสว่างแล้ว
สิบปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่เวลาทำงานและพักผ่อนของเฉินฉางเซิงไม่เป็นระเบียบ ตอนกลางวันเขาจึงนอนหลับชั่วครู่ เมื่อช่วงเวลาพลบค่ำมาถึงในหอตำราจึงเริ่มการเดินทางท่องเที่ยวในมหาสมุทรดวงดาวด้วยตนเองต่อไป ครั้งที่สองในการถอดจิตออกจากร่าง มีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น และยังคุ้นเคยกับผืนมหาสมุทรดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรีมากยิ่งขึ้น เขาจึงไม่ได้ใส่ใจมองทิวทัศน์ยามเริ่มแรกของมหาสมุทรดวงดาวอย่างละเอียด ล่องลอยมุ่งตรงไปยังส่วนที่ลึกเข้าไป อยากจะลองดูว่าที่จริงแล้วสามารถเดินทางไปถึงที่แห่งไหน
เมื่อท้องฟ้าสว่างไสว เส้นแสงผืนนั้นสว่างไสวอย่างฉับพลันทำให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครา
ค่ำคืนที่สาม เขาได้ทำซ้ำขั้นตอนนี้อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งถึงคืนที่สี่ คืนที่ห้า ทุกค่ำคืนพลังจิตของเขาจะเดินทางได้ไกลกว่าคืนก่อนๆ สามารถมองเห็นดวงดาวมากมาย แต่ว่าเขายังคงไม่มีความคิดที่จะหยุดเดินทาง
ระยะทางยาวไกล เขาคิดว่าพยายามเดินทางไปให้ยิ่งไกลที่สุดถึงจะดี
ค่ำคืนที่หก พลังจิตของเขาเดินทางมาถึงสถานที่ที่ไม่เคยมาถึงมาก่อน เขาไม่รู้ว่า พลังจิตที่น้อยนิดจะสามารถมาถึงสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ได้ อาจจะเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพลังจิต อีกด้านหนึ่งก็เพราะว่าผืนมหาสมุทรที่ข้ามผ่านมาก่อนหน้านั้นก็ดึงดูดใจเพียงพอแล้วสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร มีคนจำนวนน้อยมากที่จะสามารถสะกดอารมณ์ในการจุดแสงสว่างดาวโชคชะตาได้ เพราะต่างเร่งรีบเริ่มการชำระล้างกระดูก กล่าวจากมุมมองนี้ ความสามารถในการต้านทานความดึงดูดใจของเขาที่จริงแล้วแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ก็เพราะว่าเขาชัดเจนมากกว่าผู้ใด การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ความดึงดูดใจที่แท้จริงคือสิ่งใด
ทว่าเขาแน่ใจอย่างรวดเร็วว่าแท้จริงแล้วมีพลังจิตจำนวนน้อยมากที่เคยมาที่นี่ เพราะว่าพลังจิตของเขาท่องเที่ยวอยู่ที่นี่มาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่เหมือนกับห้าคืนก่อน ไม่พบกับดาวโชคชะตาที่ถูกผู้อื่นจุดแสงสว่างบ่อยๆ
ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่แปลกใหม่ พื้นที่แปลกใหม่ ดวงดาวก็แปลกใหม่ กำลังรอคอยให้เขาเลือกสรรอย่างตามสบายหนึ่งดวง
พลังจิตของเฉินฉางเซิงยังคงไม่หยุดพัก เพราะว่าเขาคิดว่าตนเองยังสามารถไปยังสถานที่ไกลกว่านี้ได้อีก มองเห็นมากขึ้น
ค่ำคืนที่เจ็ด ในที่สุดพลังจิตของเขาก็พบเจอกับสิ่งกีดขวาง อาจจะพูดได้ว่า พบเจอกับกำแพงกั้น เป็นกำแพงกั้นที่ไม่มีรูปร่าง โปร่งแสงจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกว่ามีกำแพงอยู่ แต่ว่าเขารู้ว่ามีกำแพงอยู่ที่นั่น เป็นครั้งแรกที่เขาก่อเกิดความลังเล
ฝั่งนั้นของกำแพงกั้นที่ไม่มีรูปร่างคือสิ่งใด
เขาไม่รู้ว่ากำแพงไร้ลักษณ์นี้ คือกำแพงผลึกที่เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ มีเพียงแค่มังกรทองยักษ์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดท่านั้น ถึงจะสามารถข้ามผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่เขาสามารถคาดเดาได้ว่ากำแพงที่ไม่มีรูปร่างนี้ คงจะข้ามผ่านไปได้อย่างยากยิ่ง
แต่เขายังคงอยากจะลองดู
ถ้าหากนี่คือกำแพง เขาก็คงจะถึงส่วนล่างสุดของกำแพง จะต้องมุ่งไปยังด้านบนขึ้นไป ถึงจะพอใจ
เขาอยากจะลองดู ด้วยเหตุนี้จึงลองทำ ไม่ได้โอบอุ้มความคาดหวังใดๆ แต่…ตรงกันข้ามกับที่เขาคาดการณ์ไว้ พลังจิตของเขากลับข้ามผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ทางนั้นยังคงเป็นมหาสมุทรดวงดาวผืนหนึ่ง
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมหาสมุทรดวงดาวที่ได้ผ่านมาก่อนหน้านั้น พลังจิตของเขากลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับมหาสมุทรดวงดาวผืนนี้มากกว่า ราวกับว่ากลับมายังบ้านเกิดก็มิปาน
พลังจิตของเขายังล่องลอยต่อไป ยิ่งนานยิ่งไม่มีตัวตน อยู่ในสภาพที่ไร้จิตใจไร้สรรพสิ่ง เขารู้ว่าการติดต่อของพลังจิตและร่างกายของตนยิ่งนานยิ่งจะอ่อนแรง อาจจะตัดขาดลงในชั่วพริบตา
เส้นแสงค่อยๆ มืดสลัว จำนวนดวงดาวค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นน้อยลง
เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ ตนเองสามารถมาได้ไกลที่สุดเท่านี้
ยิ่งห่างไกลออกไป ยังคงเป็นผืนมหาสมุทรดวงดาวที่คลุมเครือ ราวกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ
เขามองไปยังทางนั้น รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่า ถึงเวลาที่ตนเองจะต้องเลือก
พลังจิตของเขาเคลื่อนย้ายไปรอบๆ ปรารถนาที่จะเสาะแสวงหาดวงดาวของตนเองให้พบ
การเลือกดาวโชคชะตา เมื่อกล่าวกับผู้บำเพ็ญเพียร ล้วนแต่เป็นปัญหาที่ยากอย่างหนึ่ง เพราะว่าหนทางที่สามารถเลือกมีมากมาย และยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน สามารถเลือกดาวดวงนั้นได้จากสีที่ชื่นชอบ ยังสามารถหลับตาแล้วชี้ไปยังดาวดวงหนึ่งได้ตามสบาย
เฉินฉางเซิงไม่พบเจอกับปัญหานี้ เพราะว่าเมื่อเขาคิดที่อยากจะเลือก ดาวดวงนั้นก็มาปรากฏต่อหน้าเขา มองแวบแรกเขาก็รู้สึกชอบดาวดวงนี้ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจที่จะเอามันมาเป็นดาวของตนเอง
คือดาวดวงเล็กๆ สีแดงดวงนั้น หากเปรียบกับดวงดาวที่เขาเห็นตอนแรก ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเล็กกว่ามาก ภายนอกของดวงดาวก็ไม่มีแสงสว่างแผดเผาอย่างน่ากลัว ดังนั้นเส้นแสงและพลังราวกับว่าจะถูกดาวดวงนั้นเก็บไว้ส่วนที่ลึกที่สุด
ดาวสีแดงดวงนั้นกลมมนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะด้านนอกที่เกลี้ยงเกลาเป็นมัน มองดูแล้วราวกับว่าเป็นผลผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ผลหนึ่ง
น่ารักอย่างยิ่ง งดงามอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนอยากจะเข้าใกล้ ทำให้อยากจะกัดแทะสักคำหนึ่ง
เฉินฉางเซิงคิดได้เช่นนี้ พลังจิตจึงล่องลอยเข้าไป
ด้านในหอตำราของสำนักฝึกหลวง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเบาๆ เสียงกบด้านนอกหน้าต่างหยุดส่งเสียงนานแล้ว ทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ
เฉินฉางเซิงหลับตานั่งขัดสมาธิบนพื้นที่สะอาดสะอ้าน ลักษณะท่าทางสงบนิ่ง
ทันใดนั้น เขาอ้าปาก หลังจากนั้นจึงหุบลง ราวกับว่ากำลังกัดแทะอะไรสักอย่างหนึ่ง
ได้ยินเสียงลำคอกำลังขยับอย่างเบาๆ คล้ายกับว่ากำลังกลืนลงไป
ทันใดนั้น เหงื่อขุ่นข้นของเขาไหลออกมา ชั่วพริบตาเดียวเปียกชุ่มไปทั่วร่างกายจนถึงพื้น
ฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไกลโพ้น ดวงดาวสีแดงดวงหนึ่งสว่างไสวขึ้นมาในเวลาฉับพลัน
เขาลืมตาขึ้นมา จ้องมองไปยังส่วนลึกของฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เขามองไม่เห็นดาวดวงนั้น แต่ว่าเขาสามารถรับรู้ได้
เพราะว่า ดาวดวงนั้นคือดาวของเขา
เหมือนกันกับที่ปัญญาชนผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่ามารได้กล่าวไว้ ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นแก่นแท้ของแสง
ดังนั้นเมื่อเฉินฉางเซิงสำเร็จการจุดแสงสว่างดาวโชคชะตาของตนเอง ภายในสำนักฝึกหลวงไม่ได้เกิดสิ่งที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด ค่ำคืนราตรีในเมืองจิงตูยิ่งไม่ได้ปรากฏเสาแสงศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนต้าลู่ผืนนี้ยังคงเป็นดังเช่นเวลาปกติ เงียบสงบและสบายใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวดวงนั้นของเขาห่างไกลจากพื้นผิวโลกอย่างยิ่ง ถึงแม้จะสว่างไสวเพียงแค่ชั่วพริบตา ก็หมดหนทางที่จะมองเห็น ใช่แล้ว ดาวดวงนั้นห่างไกลอย่างยิ่ง ไกลจนถึงขนาดที่ว่าเหล่าผู้บูชาบนแท่นดูดาวซีเจียวของจิงตูก็มิได้สนใจเห็น
แต่ในที่สุดยังคงถูกคนพบเห็น
เพราะว่าค่ำคืนนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังมองดวงดาว
นี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง
ในวันที่อากาศเหมาะสม ทุกค่ำคืนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็จะอยู่บนแท่นกานลู่ชื่นชมดวงดาวชั่วครู่
ค่ำคืนนี้มีฝนพรำลงมาแล้วรอบหนึ่ง ดังนั้นนางจึงออกมาล่าช้าเล็กน้อย
นางมองเห็นดาวดวงนั้นถูกจุดแสงสว่างขึ้นพอดี
แต่ว่าถึงแม้จะเป็นนาง ก็มิรู้ว่าใครคือผู้ที่จุดแสงสว่างให้ดาวดวงนั้น
คนผู้นั้นอยู่ที่จิงตูหรืออยู่ทางทิศใต้
หรือว่าจะเป็นเมืองเสวี่ยเหล่า
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังท้องฟ้าส่วนลึก คิ้วสีดำเข้มค่อยๆ ขมวดขึ้น น้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“ช่างน่าสนใจ”