ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 240 ดวงวิญญาณที่แตกต่างกัน
ลมหนาวสงบทันที ไข่มุกราตรีสว่างทันใด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้านาง เหลือบมองโซ่เหล็กสองสายระหว่างข้อเท้า พูดว่า “ชาไม่เลว คนเล่าเป็นอย่างไร?”
สาวน้อยจ้องมองนางอย่างระมัดระวัง ไม่ได้พูดอะไร
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มองนางพลางกล่าวว่า “ยอมเสียโลหิตมังกรบริสุทธิ์ที่ระหว่างคิ้วเพื่อช่วยเฉินฉางเซิง สิ่งที่เจ้าอยากทำคิดว่าสามารถปิดบังใครได้จริงๆ หรือ?”
สาวน้อยวางถ้วยชาลง สีหน้าไม่แยแสพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างสงบว่า “ไม่ว่าเจ้าจะคิดอยากให้เขาไปช่วยเจ้าเอาอะไร หรือว่าช่วยเจ้าส่งสารกลับไปยังเผ่ามังกร หรือว่าคิดวิธีแก้ค่ายกลของหวังจือเช่อ ล้วนเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าอายุเขาน้อยเกินไป คิดอยากจะเติมเต็มความต้องการของเจ้า อย่างน้อยต้องผ่านไปสองร้อยกว่าปี”
ถึงตอนนี้สาวน้อยเพิ่งจะรู้ว่าที่จริงแล้วการวางแผนทั้งหมดของตัวเองล้วนอยู่ในกำมือของสตรีที่น่ากลัวคนนี้ สีหน้ายิ่งมายิ่งเย็นชา พูดว่า “แล้วจะทำไม?”
“เฉินฉางเซิงพูดหลายอย่างต่อหน้าเจ้า ในเมื่อเจ้าได้ยินแล้ว ก็น่าจะรู้ เขายากมากที่จะมีชีวิตอยู่เกินอายุยี่สิบ ฉะนั้นแผนของเจ้าโดยพื้นฐานแล้วอัตราความสำเร็จอยู่ที่ศูนย์”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า “ถ้าเจ้าช่วยข้าทำเรื่องหนึ่ง สิบปีข้างหน้าข้าจะปล่อยเจ้าออกมา”
นัยน์ตาแนวดิ่งของสาวน้อยหดเล็กน้อย ยิ่งแสดงออกถึงความเป็นมาร พูดว่า “เรื่องอะไร?”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไขว้มือไว้ด้านหลังมองไปยังลำแสงที่อึมทึมมองเห็นยาก เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ช่วยข้าสืบให้เข้าใจหน่อยว่าจริงๆ แล้วเฉินฉางเซิงเป็นใคร”
สาวน้อยได้ยินก็ชะงัก ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
เฉินฉางเซิงก็คือเฉินฉางเซิงมิใช่หรือ เขายังจะเป็นใครได้อีก?
“ข้าต้องการรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาอายุเท่าไร โรคที่ป่วยในร่างกายนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใดนักพรตจี้ถึงเก็บเขามาเลี้ยง คำพูดเหล่านั้นที่ใต้เท้าสังฆราชพูดกับเขาในพระราชวังหลีมีกี่ส่วนที่เป็นจริง กี่ส่วนที่เป็นเท็จ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เก็บสายตากลับมา มองสาวน้อยอย่างนิ่งเงียบ ความกดดันที่น่ากลัวยากจะพรรณนาสายหนึ่งครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างกะทันหัน เกล็ดหิมะน้ำค้างแข็งค่อยๆ กลายเป็นแป้งฝุ่น
เสียงของสาวน้อยเริ่มสั่นเครือ พูดว่า “ข้าจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”
“เพราะว่าเขาเชื่อใจเจ้ามาก นี่สำคัญมาก” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางพลางกล่าว
สาวน้อยเหมือนกับจะอธิบายอะไรบางอย่าง พูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่าเหตุใดเขาถึงเชื่อข้า!”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างสงบว่า “อาจเป็นเพราะตอนครั้งแรกที่ได้พบเจ้า เขาพูดเยอะเกินไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่สนใจที่จะเอาเรื่องทั้งหมดบอกกับเจ้า”
สาวน้อยเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “นี่ไม่มีเหตุผล”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางอย่างเงียบๆ พูดว่า “ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ”
สาวน้อยไม่เข้าใจ ถามว่า “สาเหตุอะไร?”
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าไม่ใช่คน”
คิ้วของสาวน้อยขมวดแน่น ไม่พอใจเล็กน้อย
“ถ้า…ราชามารและใต้เท้าสังฆราชอยู่ข้างหน้าข้า เจ้าว่าข้าจะเชื่อคำพูดของใคร?”
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มองนางพลางถาม สีหน้าเหมือนยิ้มไม่เหมือนยิ้ม
สาวน้อยไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
ศัตรูตัวฉกาจที่สุดและสหายที่น่าพึ่งพิงมากที่สุด นี่ต้องขบคิดด้วยหรือ?
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ให้เวลานางขบคิด ชิงกล่าว “ว่าอย่างไร?”
สาวน้อยมองไปยังกระดูกไก่ที่อยู่ในกระดาษมันและชาที่หลงเหลืออยู่ในถ้วย กะพริบตาปริบๆ พูดว่า “ดี ข้าตกลง เจ้าปล่อยข้า ข้าจะตามเขา เอาร่องรอยการเดินทางทั้งหมดของเขารายงานให้เจ้า”
นางยื่นมือไปไว้หลังกาย ลากโซ่เหล็กออกมา จ้องจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พูดอย่างตั้งใจว่า “ท่านต้องช่วยตัดสิ่งนี้ของข้าให้ขาดก่อน ขอบคุณมาก”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางพลางพูดอย่างสงบว่า “เพราะอะไรถึงต้องลำบากเช่นนั้น”
พูดประโยคนี้เสร็จ นางเดินไปถึงข้างหน้าของสาวน้อย ยกมือขวาขึ้น ยื่นไปที่หว่างคิ้ว ราวกับจะไปจับรอยโลหิตเส้นนั้นเบาๆ
นัยน์ตาแนวดิ่งของสาวน้อยหดอย่างกะทันหัน รู้สึกถึงภยันตรายอันยิ่งใหญ่
สายตากะพริบแววเจ้าเล่ห์ของนางก่อนหน้านี้หายไปนานแล้ว เหลือเพียงความหวาดกลัวและไม่สบายใจ
ผมสีดำของนางสยายขึ้นมา เสียงพรึ่บๆ ดังขึ้น
ริมฝีปากของนางเผยอเล็กน้อย จวนจะกรีดร้องอย่างโมโห
แต่แล้วนางไม่สามารถทำอะไรได้ แม้กระทั่งจะหลบฝ่ามือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังทำไม่ได้
มือขวาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดูเหมือนวางลงอย่างตามใจชอบ กลับเหมือนกับฟ้าดินเป็นใจ อยากหลบไม่มีทางหลบ
เสียงแปะดังขึ้นแผ่วเบาเสียงหนึ่ง
มือขวาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตกลงหว่างคิ้วของนาง ปิดอยู่บนรอยโลหิตเส้นนั้น
ร่างของสาวน้อยสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สีหน้าขาวซีด นัยน์ตาแนวดิ่งเริ่มกระจัดกระจาย แสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นสักพัก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เก็บฝ่ามือกลับมา
ตามปฏิกิริยาของนาง เงามังกรเส้นหนึ่งถูกดูดออกมาจากรอยโลหิตที่หว่างคิ้ว!
เงามังกรเส้นนั้นยาวประมาณครึ่งฉื่อ กว้างหนาประมาณนิ้วมือ ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต กลับไม่สามารถหลีกหนีฝ่ามือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสิ้นเชิง ห่างออกไปจากสาวน้อยทีละชุ่น!
เงามังกรสีดำสายนั้นเหมือนจริงเหมือนปลอม ราวกับมีชีวิต กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
นั่นไม่ใช่เงาจำลองของมังกรดำ แต่เป็นวิญญาณมังกร!
ไม่คิดว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ดึงวิญญาณมังกรจากร่างกายมังกรดำออกมาทั้งเป็น!
ในที่สุด วิญญาณมังกรสีดำเส้นนั้นก็ถูกดึงออกมาจนหมด
รอยโลหิตที่หว่างคิ้วเส้นนั้นของสาวน้อยยิ่งมายิ่งแดงก่ำ ผิวรอบนอกค่อยๆ เกาะผลึกเป็นหยาดโลหิตจนเต็มเปี่ยม ราวกับกลายเป็นไฝชาดแดงจริงๆ
ตามการถูกดึงออกของวิญญาณมังกร สาวน้อยเหน็ดเหนื่อยผิดปกติ ร่างอ่อนแรงอ่อนยวบบนพื้นดิน
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นำหยกหรูอี้ออกมาจากบริเวณเอว
ผู้คนบนโลกล้วนรู้ว่า จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีของประดับสองสิ่งที่ไม่เคยห่างออกจากกาย
บริเวณจอนผมของนางมีปิ่นไม้ดำ ข้างบนมีจุดสีแดงเล็กน้อย ราวกับดื่มด่ำโลหิตมาจนหมด บริเวณปลายมีรอยแตกร้าว เก่ามากแล้ว กลับไม่เคยเปลี่ยน เพราะว่านั่นเป็นปิ่นที่อยู่อันดับสามจากการจัดลำดับร้อยศาสตรา!
ยังมีเครื่องตกแต่งอีกชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือสัญลักษณ์แห่งความสิริมงคลที่ผูกไว้ที่บริเวณเอวของนางเป็นเวลาหลายปีมาตลอด เพียงแค่แต่ก่อนไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าสัญลักษณ์ชิ้นนั้นมีวิธีใช้ลึกลับอย่างไร ไม่คิดว่าจะมีความสามารถเหมือนปิ่นไม้ดำ
นาทีต่อมา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอาวิญญาณของมังกรดำกรอกเข้าไปในสัญลักษณ์ชิ้นนั้น วิธีการนี้ดูเหมือนง่าย กระทั่งเหมือนเป็นท่าทางของจอมคนในยุทธภพ ความจริงแล้วเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สูงสุดของโลก!
หยกหรูอี้จู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา กลายเป็นมังกรดำตัวน้อยตัวหนึ่ง
มังกรดำน้อยตัวนั้นนอนนิ่งๆ อยู่ในฝ่ามือของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ มองดูเหมือนอ่อนแอมาก แต่สายตาของมันรุนแรงมาก ความโกรธแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด จ้องตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าเป็นเผ่ามังกร สายเลือดพรสวรรค์แข็งแกร่งตั้งแต่เกิด จากจิตชิงวิญญาณ เพียงแค่เวลาไม่นาน จะไม่มีความเสียหายใดๆ ต่อเจ้า อีกอย่างถ้าไม่ใช่เจ้าสละเลือดมังกรบริสุทธิ์เอง แม้จะเป็นข้าก็ไม่สามารถชิงหนึ่งในสามเสี้ยววิญญาณมังกรของเจ้าได้ ฉะนั้นถ้าจะโกรธแค้น เจ้าเหมือนกับจะต้องโกรธแค้นตัวเองก่อน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองมังกรดำเล็กในฝ่ามือ พูดอย่างสงบว่า “จากวิญญาณไปแล้วไม่กลับคืน สุดท้ายแล้วจะเป็นจุดจบที่โหดร้ายรุนแรงอย่างไร เจ้าน่าจะชัดเจนมาก ฉะนั้นการไปสวนโจวครั้งนี้ เจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
……
……
คืนฤดูใบไม้ผลิสว่างไสวราวกับกลางวัน ต้นไม้เขียวขจีภายใต้แสงดวงดาวยิ่งแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จากไปจากข้างบ่อ เดินเล่นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่เข้มข้นบนสะพานอุดรใหม่ แสดงถึงความว่าง
ที่บริเวณไม่ไกลมีรถคันหนึ่ง ตามการเดินเข้าใกล้ของนาง แรดดำที่ลากรถตัวนั้นถ่อมตัวหรือจะพูดให้ชัดเจนกว่านั้นคือความเกรงกลัวอย่างยิ่งพลางคุกเข่าลง ที่คุกเข่าพร้อมกันในเวลานั้นยังมีอีกบุรุษวัยกลางที่หน้าขาวซีด
แม่น้ำสายยาวของประวัติศาสตร์ยังไหลอยู่ มีบางคนยังไม่ตาย ชื่อของพวกเขายังไม่ได้จางหาย แต่ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะกลายเป็นทิวทัศน์ที่ยากที่จะลืมเลือนที่สุดในแม่น้ำยาวสายนี้ อย่างเช่นโจวทง ตอนนี้ก็สามารถยืนยันได้แล้ว เขาต้องเป็นขุนนางผู้หยาบช้าอำมหิตรวมถึงขุนนางทุจริตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในระยะเวลาหลายหมื่นปีอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่โหดร้ายหรือว่าจำนวนข้าราชการที่ถูกฆ่าตายเพราะถูกป้ายสีความเท็จ เขาล้วนสามารถถูกจัดอยู่อันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ในภาพลักษณ์ของเหล่าข้าราชการรวมถึงฝูงชนธรรมดา โจวทงเป็นคนที่ลึกลับมาก นอกจากสนามสำคัญอย่างการสอบใหญ่เช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะอยู่ในกรมอาญาอันเงียบขรึมอึมทึมที่ทิศใต้ของเมือง นานๆ ทีจะออกเดินทางก็มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเดินตามอารักขา พบเจอคนน้อยมาก แม้จะเป็นตอนพบปะกับผู้ร่วมงานที่ท้องพระโรงหรือตอนสอบถามนักโทษ เขาก็เคยชินในการใส่ผ้าคลุมหน้าสีดำแล้ว
โดยปกติแล้ว มีเพียงสตรีโดยเฉพาะสตรีที่มีหน้าตางดงามถึงจะผ้าคลุมหน้าสีดำ โจวทงใช้ความชอบอันประหลาดนี้ทำให้เขานำมาซึ่งการหัวเราะเยาะมากมาย หลายคนคิดว่าขุนนางอำมหิตหยาบช้าผู้นี้เป็นเพราะมาตรการโหดร้ายเกินไป การกระทำไร้ยางอายเกินไป รู้สึกว่าไม่มีหน้าไปพบคนท้องถิ่นบ้านเกิดเมืองนอน ไม่มีหน้าพบฟ้าดิน ฉะนั้นจึงปิดบังหน้าตามาตลอด แน่นอนว่าการเยาะเย้ยหรือสาปแช่งเช่นนี้จะส่งต่อกันแค่แบบลับๆ ไม่ส่งไปยังหูของเขาแน่นอน
ผู้คนน่าจะคาดไม่ได้ว่า โจวทงเป็นเพียงคนวัยกลางที่มีหน้าตาธรรมดา เพียงแต่ว่าอยู่ในคุกเป็นเวลานาน และก็เป็นเพราะว่าสวมผ้าคลุมหน้าสีดำเป็นเวลาหลายปี ฉะนั้นสีหน้าขาวซีดเล็กน้อย
“ฝ่าบาท ข้าไม่รู้ว่าจะจัดการกับเฉินฉางเซิงอย่างไร”
โจวทงพูดด้วยเสียงต่ำว่า “คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวังหลี จึงไม่สามารถลงโทษได้”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งแผ่นดินต้าลู่ล้วนรู้ว่า ใต้เท้าโจวทงเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่ภักดีที่สุด และก็บ้าคลั่งที่สุดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในความคิดของหลายคน นั่นแน่นอนว่าเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่เชื่อฟังอย่างยิ่ง
แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เช่นนี้ เพราะว่าโจวทงเข้าใจสุนัขมาก
เจ้าของไม่ให้หมาเห่าหมาก็จะไม่เห่า นี่ไม่เรียกว่าเชื่อฟัง ในทางกลับกัน เจ้าของไม่ให้หมาเห่า หากหมายังคงได้ยินเสียงนอกประตูก็จะเห่าไม่หยุด แม้เจ้าของจะด่าเจ้าสักคำสองคำต่อหน้าแขก ทำท่าทีจะตีเจ้า แต่จริงๆ แล้วในใจยังคงดีใจ รู้สึกว่ามันเป็นเด็กดี
การไม่เชื่อฟังเช่นนี้ถึงจะเป็นการเชื่อฟังที่แท้จริง
โจวทงชัดเจนมากว่าตอนไหนตัวเองควรเห่า ตอนไหนควรเงียบขรึม ตอนไหนควรกระโจนเข้าไปกัดอย่างเอาเป็นเอาตาย และตอนไหนควรกัดคอศัตรูของฝ่าบาทให้ขาด
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พอใจเขาอย่างมากมาตลอด แม้ว่าเขาจะทำเรื่องไม่ดีจำนวนมาก กลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ไม่สามารถลบล้างออกไปได้ในการปกครองของราชสำนักต้าโจว นางไม่เคยคิดที่จะโยนหมาตัวนี้เข้าหม้อต้มให้สุก แล้วทิ้งให้เหล่าคนที่ถูกเขาทำร้ายนั้นกิน เพราะว่านางพอใจสุนัขรับใช้ที่ภักดีตัวนี้มาก ไม่เหมือนสวีซื่อจีที่เลี้ยงไม่เชื่อง อีกทั้งขนาดคำวิจารณ์บนหน้าประวัติศาสตร์นางก็ยังไม่สน ไหนเลยจะสนคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนบนโลก?
“เจ้าคิดว่าเจิ้นอยากรู้อะไรบางอย่างจากเฉินฉางเซิง?”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถามอย่างไม่แยแส
ฟังดูแล้วก็แปลกพิลึก แม้ว่าหลังปกครองราชสำนัก นางน้อยมากที่จะเรียกตัวเองว่าเจิ้น (คำแทนตัวของกษัตริย์) มีเพียงอยู่ต่อหน้าโจวทงเท่านั้นถึงทำเช่นนี้ เหล่าข้าราชการชินกับการเรียกนางว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงโจวทงที่ยังมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละเรียกนางว่าฝ่าบาท
โจวทงพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทให้เขามีชีวิตถึงตอนนี้ เพราะว่าอยากให้เขาพูดอะไรบางอย่าง”
บนโลกนี้มีเพียงคนตายที่ไม่สามารถพูดอะไรได้
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ข้าอยากรู้บางสิ่งบางอย่างจริงๆ”
โจวทงถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ไม่สามารถใช้การลงโทษ หรือว่า…ใช้การตาย”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็หัวเราะใหญ่ พูดอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าเคยถามคำถามหนึ่งกับม่ออวี่ ตอนนี้คำถามนี้ก็สามารถถามเจ้าได้แล้ว”
โจวทงพูดว่า “เหนียงเหนียงโปรดชี้แจง”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดว่า “เจ้าเชื่อว่าบนโลกนี้มีคนไม่กลัวตายจริงๆ หรือ?”
โจวทงคิดวิเคราะห์อย่างตั้งใจเป็นเวลานาน พูดว่า “ไม่เชื่อ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ก่อนข้าก็ไม่เชื่อ แต่ตอนหลังสังเกตได้ว่ามีคนไม่กลัวตายจริงๆ”
ไม่รอโจวทงพูดจา นางพูดต่อว่า “คนไม่กลัวตาย จะใช้การตายไปทำให้เขากลัวได้อย่างไร?”
โจวทงคิดอย่างหนักก็ไม่เข้าใจ ถามว่า “ทำไมเฉินฉางเซิงสามารถไม่กลัวตายได้?”
“เพราะว่าเขาเป็นคนจริง เป็นคนจริงใจ เป็นคนตรงไปตรงมา”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไพล่มือไว้ด้านหลังมองไปยังทิศของสำนักฝึกหลวง ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจน…เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่เคียงข้างกับความตายมาตลอด…นางคิดอย่างเงียบขรึม จริงใจและตรงไปตรงมาอีกทั้งยังไม่กลัวตาย ถ้าเฉินฉางเซิงสามารถมีชีวิตอยู่มากกว่าอายุยี่สิบ จะกลายเป็นโจวตู๋ฟูคนที่สองหรือไม่?