ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 245 นอกสวนโจวมีมรสุม (ตอนกลาง)
เจ้าคือเฉินฉางเซิง? เขาคือเฉินฉางเซิง? ผู้ใดคือเฉินฉางเซิง? หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อย หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้อง หลังจากข่าวคราวการหมั้นหมายระหว่างเขากับสวีโหย่วหรงแพร่สะพัดออกไป นี่เป็นประโยคที่เฉินฉางเซิงมักจะได้ยินบ่อยๆ ตามวันเวลาที่หมุนไป สถานการณ์เช่นนี้มิได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น กลับกันชื่อเสียงของเขาปรากฏยิ่งนานยิ่งมากขึ้น จนมีบางครั้งเขาถึงกับไม่เข้าใจ ที่จริงแล้วตนคือใคร
ความอยากรู้อยากเห็นของแมวกับมนุษย์นั้นต่างกันอย่างยิ่ง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้หนทางที่จะสกัดกั้นคำพูดปากต่อปากของผู้คนได้ ได้ยินเรื่องสนทนาตั้งแต่แรกเริ่ม มองเห็นสายตาที่ตึงเครียดระแวดระวังจนถึงขัดแย้งกัน กระทั่งเวลานี้ เฉินฉางเซิงชินชาเสียแล้ว ทว่าขณะนี้ไม่อาจจัดการได้เหมือนดังแต่ก่อน เพราะว่าคนที่เอ่ยถามประโยคนี้ออกมาเป็นจู่ลั่วผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์ เป็นผู้สูงส่งที่พระราชวังให้ความเคารพ
เขาเดินไปเบื้องหน้าหลายก้าว โค้งตัวทำความเคารพกระท่อมหญ้าที่อยู่ไกลออกไปด้วยความสง่าผ่าเผยเป็นระเบียบเรียบร้อย
ด้านนอกชายป่ายามเย็นที่เงียบสนิท เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย สายตานับไม่ถ้วนสาดส่องออกมา ร่วงหล่นอยู่บนร่างกายของเขา
ท่าทางของเฉินฉางเซิงสงบนิ่ง ทว่ามิได้สงบนิ่งจริงๆ คิดไปถึงภาพบรรยากาศเมื่อล่วงเข้ามาเมืองเวิ่นสุ่ย คิดไปถึงสายตาของบางคนที่พยายามประจบหรือว่าพยายามมองเฉยบนหนทาง จนปัญญาอย่างยิ่ง คิดไปถึงว่าการเป็นมนุษย์นี้เป็นเรื่องที่ไม่มีความสุขเสียจริง หลายปีมานี้สวีโหย่วหรงผ่านพ้นไปได้อย่างไร
หากเปรียบเทียบความวุ่นวายกับเมืองจิงตูและเวิ่นสุ่ยแล้ว กลุ่มผู้คนที่อยู่ ณ ชายป่ายามเย็นนี้เงียบลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเวลานี้จู่ลั่วได้เอ่ยถามเฉินฉางเซิง แล้วผู้ใดจะกล้าก่อกวนเล่า?
แปดมรสุมเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์ หากกล่าวตามระดับวิทยายุทธ์ก็มิได้อ่อนด้อยไปกว่าห้านักปราชญ์ เรื่องการเปิดสวนโจวอย่างเป็นทางการถึงแม้จะสำคัญ แต่เมื่อมีจู่ลั่วผู้นี้เป็นผู้บัญชาการก็เพียงพอแล้ว ซ้ำยังมีผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้มองอยู่ นอกเสียจากราชามารหรือไม่ก็คนชุดดำมาที่นี่ เดิมทีก็ไม่เกิดปัญหาใดๆ
จู่ลั่วมิได้มองไปยังเฉินฉางเซิง แต่มองไปยังยอดเทือกเขาหิมะทางด้านหลังป่า ผมยาวที่สยายบนบ่ากับเทือกเขาหิมะที่ลุกไหม้ไกลออกไป ทำให้คนรู้สึกถึงความป่าเถื่อนอย่างยิ่ง
“เหมยหลี่ซาแก่เลอะเลือนแล้วรึ? คิดไม่ถึงว่าให้เด็กอย่างเจ้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ด้านนอกชายป่าเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท มีคนจำนวนมากมองไปทางเฉินฉางเซิง สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย รู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจ เป็นธรรมดาที่จะมีความรู้สึกเยาะหยันและดีใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์
ถึงแม้คืนนั้นเป็นการเรียกประชุมคุณงามความดีของสุสานเทียนซู แต่เฉินฉางเซิงถึงอย่างไรเสียอายุก็เพียงแค่สิบห้าปี อายุเพียงแค่นี้ก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เพียงชั่วพริบตาไม่รู้ว่าก่อให้เกิดการพูดคุยและโจมตีจากทั่วทั้งใต้หล้าเพียงใด เพียงแค่ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาสงสัยการตัดสินใจของใต้เท้าสังฆราชในที่แจ้งเท่านั้นเอง
จู่ลั่วถึงแม้เป็นแปดมรสุม ก็มิได้มีความคิดที่จะเลือกต่อสู้กับใต้เท้าสังฆราชในลานกว้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถึงเหมยหลี่ซา แน่นอนว่าผู้คนต่างรู้ดีว่าเขากล่าวที่จริงคือผู้ใด
เหมยหลี่ซาคือใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลาง เป็นหนึ่งผู้น้ำทั้งหกของนิกายหลวง พอดีว่ามีฐานะทัดเทียมกับจูลั่ว ไม่อาจยั่วยุนิกายหลวงได้ และก็มิใช่การรังแกผู้ที่อ่อนด้อยกว่า
อาจารย์ซินเดินไปมาถึงข้างกายเฉินฉางเซิง เอ่ยเสียงเบาสองสามประโยค เฉินฉางเซิงถึงรู้ว่า จูลั่วเป็นผู้สืบทอดเมืองเทียนเหลียงลำดับที่สอง ตั้งแต่หลายร้อยปีผ่านมาเมืองเทียนเหลียงก็มีความผูกพันใกล้ชิดต่อเชื้อพระวงศ์เฉิน เพราะว่าสมัยนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ครองราชย์ ได้ปราบปรามเชื้อพระวงศ์ ผู้แข็งแกร่งที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมามีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับจิงตู และเฉยเมยต่อพระราชวังหลี กลับมีความสนิทสนมใกล้ชิดต่อเหมยหลี่ซาซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่าของนิกายหลวง อีกทั้งเป็นสหายเก่ากับเหมยหลี่ซา กล่าวตามเหตุผล เขาควรจะต้องยิ่งเพิ่มความเอาใจใส่ต่อเฉินฉางเซิงถึงจะถูก
เพราะเหตุใดผู้แกร่งกล้าในใต้หล้าผู้นี้ถึงเอ่ยประโยคที่ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อตนเล่า?
เฉินฉางเซิงตั้งใจครุ่นคิด ถึงจะเข้าใจว่าจูลั่วเยาะหยันก็คือใต้เท้าสังฆราช มิใช่ตน ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือว่าความสามารถ ในสายตาของจูลั่ว แน่นอนว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กเยาว์วัย
ในสายตาของคนทั่วทั้งใต้หล้า สำนักฝึกหลวงได้เสื่อมลงไปนานแล้ว เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนัก ก็เป็นเพียงแค่ในนาม สำนักฝึกหลวงที่ตอนนี้มีนักเรียนเพียงแค่สองสามคน แต่สำหรับผู้สูงส่งดังเช่นจูลั่วแล้ว ความหมายของสำนักฝึกหลวงกลับไปได้ไกลเช่นนี้ คิดไปถึงเมื่อปีนั้นภายใต้การปกครองของเจ้าสำนักท่านนั้นสำนักฝึกหลวงโชติช่วงอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นพรรคกระบี่หลีซานก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี คิดแล้วสำนักฝึกหลวงคาดไม่ถึงจะให้หนุ่มน้อยดังเช่นเฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนัก จูลั่วเป็นธรรมดาที่จะถอดทอนใจหรือว่ารู้สึกไม่สบายใจบ้าง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นเขา แน่นอนว่าก็คิดไม่ถึง ตนนั้นได้เอ่ยออกไปเช่นนั้น ทำให้เฉินฉางเซิงมีความกดดันจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นทำให้คนที่มาเป็นแขกล้วนกำลังเฝ้ารอคอย
ด้านนอกชายป่ายามเย็นเงียบเชียบ ผู้คนจ้องมองเฉินฉางเซิง ปรารถนาจะรู้ว่าเขาจะตอบข้อสงสัยของจูลั่วอย่างไร อาจจะเยาะหยัน อาจจะสงสารเห็นอกเห็นใจ คนที่เป็นห่วงเขามีน้อยอย่างยิ่ง เมื่อมาถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงคิดไปถึงเมื่อตอนมอบอันดับในการสอบใหญ่ ประโยคที่ใต้เท้าสังฆราชได้เอ่ยต่อตน
ก้มศีรษะ ถึงจะสวมมงกุฎได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงโค้งตัวลงเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มศีรษะลง
เขาทำความเคารพไปยังกระท่อมของจูลั่ว มิได้เอ่ยสิ่งใด จากนั้นจึงหมุนกายเดินกลับไปยังรถม้า
นี่คืออะไร นี่เป็นการมองข้ามรึ ในสนามได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดเฉินฉางเซิงเกรงว่าจะล่วงเกินจูลั่วเสียแล้ว ทุกคนในใต้หล้าต่างทราบดี ผู้แกร่งกล้าในต้าลู่ต่างรู้ดี นิสัยของจูลั่วนั้นเฉียบขาด แล้วเขาจะสั่งสอนเฉินฉางเซิงอย่างไร?
เกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน จูลั่วมิได้โมโห และก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ใช้นิ้วมือสองนิ้วยกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือเทือกเขาขึ้นไป เงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด
ประโยคนั้นของเขาเอ่ยต่อพระราชวังหลี เอ่ยต่อเหมยหลี่ซา และก็เอ่ยต่อใต้เท้าสังฆราช ได้แสดงออกว่าตนนั้นไม่ชื่นชอบอย่างชัดเจน กลับมิได้เอ่ยต่อเฉินฉางเซิง
เป็นธรรมดาที่เฉินฉางเซิงจะไม่กล่าวตอบ
การไม่ตอบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
อาจารย์ซินเช็ดเม็ดเหงื่อที่ต้นคอ จ้องมองเฉินฉางเซิงแล้วเอ่ยกระซิบว่า “เข้าไปในเมืองเพื่อพักผ่อนสักหน่อยดีหรือไม่?”
เฉินฉางเซิงสั่นศีรษะ เอ่ยว่า “ไม่เข้าเมืองฮั่นชิว รออยู่ในรถเถิด”
……
……
คล้ายกับว่าเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน มีคลื่นพัดผ่านไป แสงอาทิตย์ยามราตรีได้มาถึง มีคนทยอยจากบนทางเดินมาข้างหน้าไม่หยุด มีคนมาจากเมืองฮั่นชิวมาถึงสนามมากยิ่งกว่า
เหมยหลี่ซามีนักบวชหลายสิบคนล้อมรอบพิทักษ์อยู่ เฉินฉางเซิงถึงจะรู้ว่าผู้ควบคุมการเปิดสวนโจวเดิมทีเป็นผู้อาวุโสของเขา เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขามาถึงเมื่อไหร่ เพราะเหตุใดถึงไม่มาทางเดียวกับตน ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรของสำนักอื่นก็มองใต้เท้ามุขนายกผู้นี้ กลับมีปฏิกิริยาที่ไม่เหมือนกัน มีคนคิดไปถึงคำพูดของจูลั่วเมื่อคืน จึงมองไปยังกระท่อมตามจิตใต้สำนึก
สายลมฤดูใบไม้ผลิผ่านทะลุเข้ามาในกระท่อม พัดผ่านเสื้อผ้าที่เบาบาง จูลั่วหลับตา เอนกายอยู่ริมระเบียง ราวกับว่านอนหลับสนิทไปแล้ว ไม่ปรารถนาจะตื่นขึ้นมา
เหมยหลี่ซามองไปทางนั้น ยิ้มแล้วส่ายศีรษะ จากนั้นแสดงสัญญาณว่าการต้องการเข้าสู่สวนอย่างเป็นทางการ
ทุกสิบปี สวนโจวจะทำพิธีเปิดหนึ่งครั้ง เวลาในการเปิดสวนร้อยวัน หลังจากร้อยวัน ทุกคนจะต้องออกมา มิเช่นนั้นจะถูกการหมุนเวียนของช่องว่างในสวนโจวทำให้ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ นี่เป็นเรื่องหลายร้อยปีก่อน เป็นกฎระเบียบตายตัวที่ได้พิสูจน์จำนวนหลายครั้ง
ในสวนโจวอาจจะมีของสืบทอดของโจวตู๋ฟูอยู่ และยังมีของที่ผู้ของแกร่งในปีนั้นได้พ่ายแพ้ให้แก่เขาอยู่ นี่เป็นการพิสูจน์เรื่องราวแล้วมากมาย
การเข้าไปในสวนโจวอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการผจญภัย และกล่าวได้ว่าเป็นการฝึกฝน เผ่ามนุษย์บนโลกได้ตั้งกฎเกณฑ์ได้ง่ายดายยิ่งนัก ไม่ว่าเป็นผู้ใดเก็บสิ่งของล้ำค่าหรือว่าวิทยายุทธ์ในสวนโจว เพียงแค่สามารถเอาออกมาจากสวนโจวได้ เช่นนั้นก็จะตกเป็นของพรรคหรือสำนักของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรผู้นั้น ทว่าเมื่ออยู่ในสวนโจวสามารถช่วงชิงกันได้ นอกเสียจากว่าไม่อนุญาตให้สังหารฝ่ายตรงข้ามโดยวิธีการใดๆ ก็ตาม
ในปีนั้นเคยมีคนเกิดความสงสัยมาแล้ว กฎระเบียบเช่นนี้มิใช่ว่าเลือดเย็นโหดเหี้ยมเกินไปรึ? คนของหอความลับสวรรค์ได้อธิบายในการตั้งกฎระเบียบนี้ว่า ถ้าหากไม่อาจเผชิญการปะทะที่ยากลำบากรวมถึงโลหิตที่ไหลรินได้ ในภายภาคหน้าเมื่อเผชิญกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่เลือดเย็นโหดเหี้ยม สุดท้ายแล้วก็จะต้องเสียชีวิต แล้วเหตุใดจะต้องสิ้นเปลืองแหล่งทรัพยากรด้วยเล่า? เผ่ามนุษย์คิดที่อยากจะอยู่ในดินแดนต้าลู่ต่อไป ก็จะต้องตัดสินใจแน่วแน่ต่อการแบกรับภาระของภายภาคหน้าได้
นักบวชผู้อธิบายถึงกฎระเบียบได้เตือนบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่จะเข้าไปในสวนโจวด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง นักบวชจำนวนมากต่างมอบสิ่งของให้แก่ผู้ลงทะเบียนเข้าไปในสวนโจว ในถุงผ้ามีของสองสิ่งอยู่ข้างใน อย่างหนึ่งก็คือขวดน้ำที่ใช้นับเวลา อีกอย่างก็คือเส้นตะกั่ว
มีบางคนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจะต้องใช้ขวดน้ำนับเวลา ถึงแม้พระอาทิตย์ดวงดาวในสวนโจวไม่อาจนับเป็นวันเวลาในโลกจริงๆ ได้ แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ก็คงจะไม่คำนวณวันเวลาผิดเป็นแน่ สำหรับวิธีการใช้เส้นตะกั่วนั้นชัดเจนยิ่ง ถ้าหากมีคนที่พบเจอกับอันตรายที่ไม่อาจเอาชนะได้ หรือว่ารู้สึกว่าตนได้รับสิ่งที่พึงพอใจแล้ว หรือว่าไม่กล้าที่เข้าผจญภัยไปในส่วนลึกต่อ เพียงแค่จุดไฟเผาเส้นตะกั่ว ก็จะถูกส่งกลับมายังด้านนอกประตูของสวนโจว
จูลั่วคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกสวนโจว ในโลกมนุษย์ไม่มีแสงจันทร์ เขาจึงทำได้เพียงอยู่ภายใต้แสงดวงดาวเพียงลำพัง แต่ไม่ว่าเขาจะดื่มเมามายเพียงใด เพียงแค่ผู้คนพบเห็นก็รู้สึกถึงความปลอดภัย
เฉินฉางเซิงฟังนักบวชอธิบายถึงกฎระเบียบ รับถุงผ้าที่อาจารย์ซินช่วยส่งมาให้ จิตใจกลับครุ่นคิดไปในทางอื่น สายตาเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มผู้คนด้านนอกป่า รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ศิษย์พี่ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และเขาเดินทางมาเมืองฮั่นชิวพร้อมกัน และยังมีเยี่ยเสี่ยวเหลียน เวลานี้พวกนางกับสตรีหลายคนยืนอยู่ที่เดียวกัน คงจะเป็นลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขาตั้งใจมองอย่างยิ่ง ทว่ากลับไม่พบใครที่เหมือนนาง เขาไม่เคยพบนาง แต่เคยได้ยินว่านางงดงาม เช่นนั้นแล้วมองเพียงแวบเดียวก็น่าจะมองออก
สวีโหย่วหรงที่จริงแล้วมาหรือไม่ ถ้าหากมา เวลานี้จะอยู่แห่งใด?
แสงอรุณยามเช้าตรู่โชติช่วง หมอกกลับมิได้กระจายหายไปแห่งใด ระหว่างป่าไม้กับยอดเขา เมฆหมอกกลับเปลี่ยนไปเป็นหนาแน่นขึ้น แสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมา กลายเป็นลำแสงแปลกประหลาดมหัศจรรย์หลากหลายชนิด
อยู่ๆ กลุ่มผู้คนก็ส่งเสียงร้องตกตะลึง
ผู้คนจ้องมองไปยังข้างในเมฆหมอก เห็นเพียงแค่สะพานเล็กๆ ปรากฏเลือนราง ข้างใต้สะพานเป็นน้ำไหลริน เห็นระเบียงทางเดิน ทางโค้งก็เป็นต้นเหมยที่เก่าแก่ต้นหนึ่ง งดงามเงียบสงบยิ่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของป่า
ก็คือสวนโจวรึ?
สวนที่เงียบเชียบในหมอกราวกับเป็นของปลอม ทว่ากลับมีอยู่จริง
ราวกับภาพลวงตาก็มิปาน
สวนปรากฏเพียงชั่วพริบตา จูลั่วก็ลืมตาขึ้น
เขามองไปยังสวนเงียบเชียบที่อยู่ในหมอกด้านหลังป่าไม้ ในตามีความรู้สึกสลับซับซ้อนทะลักออกมา ครุ่นคิดถึงเรื่องราวมากมาย
มือของเขาร่วงอยู่บนรั้ว เคาะเบาๆ ต่อเนื่อง
เหมยหลี่ซาก็ลืมตาขึ้น เอ่ยเสียงเนิบนาบ “ไปเถอะ ไม่ต้องละโมบจนลืมเวลา”