ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 247 สายฝนร่วงหล่นจึงกางร่ม
สายรุ้งที่เปิดสวนโจวเส้นนั้น มาจากเขาหลีซานไกลพันลี้
พรรคฉางเซิงมีเทือกเขาสิบกว่าลูกรวมกันขึ้น พรรคกระบี่เขาหลีซานแข็งแกร่งที่สุด เก่งกาจที่สุด ใช้สำหรับในการสังหารโดยเฉพาะ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเทือกเขา แต่อยู่ทางทิศเหนือสุด ราวกับว่าปลายแหลมคมด้านหน้าสุดของกระบี่ แทงออกไปทางทิศเหนือโดยตรง
เขาหลีซานยามรุ่งอรุณเทือกเขาถูกเมฆหมอกปกคลุมล้อมรอบ จากแนวสันเขามองไปบริเวณรอบๆ ทั้งหมดต่างเป็นชั้นก้อนเมฆราบเรียบ คล้ายกับว่าในทะเลเมฆมีเกาะโดดเดี่ยวอยู่เกาะหนึ่ง
สายรุ้งเส้นนั้น มาจากยอดเขาของถ้ำพำนักแห่งหนึ่ง
ระหว่างบันไดหินทั้งสองข้าง มีต้นสนเก่าแก่ตั้งเป็นแถวยาวเงียบเชียบอยู่ เสี่ยวซงกงนั่งขัดสมาธิอยู่บนบันไดหินขั้นบนสุด และยังมีผู้อาวุโสฝ่ายปกครองสามท่านถือกระบี่ คุ้มกันอยู่ด้านนอกถ้ำพำนัก
มองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ บรรดาลูกศิษย์เขาหลีซานที่อยู่ด้านล่างบันไดจึงพูดคุยขึ้นมา
“แสงสว่างไสวก็คือกุญแจของสวนโจวรึ?”
“กุญแจนั้นที่จริงแล้วคืออะไร? คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเป็นสายรุ้ง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถเปิดสวนโจวไกลเป็นพันลี้ได้ แล้วศิษย์พี่ใหญ่จะเกิดสิ่งใดหรือไม่?”
“จะเกิดสิ่งใดได้? หรือว่าเผ่ามารจะกล้ามาแย่งยิ่งของล้ำค่าที่เขาหลีซานได้?”
“มิผิด คนของพรรคอยู่ในถ้ำพำนักคอยปกป้องศิษย์พี่ใหญ่ มีผู้อาวุโสใช้ค่ายกลกระบี่คุ้มกันสี่ท่าน บวกกับค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ของเขาหลีซาน ถึงแม้ราชามารจะมาเยือน แล้วจะสามารถทำอะไรได้เล่า?”
“ไม่รู้ว่าศิษย์พี่สามและศิษย์พี่เจ็ดขณะนี้เข้าไปยังสวนโจวหรือยัง พูดแล้ว ข้าก็แปลกใจจริงๆ ในสวนโจวมีอะไร ถ้าหากข้าเข้าไปได้ก็คงจะดี”
“เช่นนั้นเจ้ารีบฝึกบำเพ็ญเพียร มิเช่นนั้นก็จะติดอยู่ในขั้นนั่งถอดจิตไม่ไปไหน ตลอดชีวิตนี้อย่าคิดจะเข้าไปในสวนโจว ยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะตามทันศิษย์พี่เหล่านั้นได้”
“ศิษย์ทั้งเจ็ดท่านล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ไร้ที่เปรียบ พวกเราจะเทียบได้อย่างไร?”
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงอยู่ขั้นทะลวงอเวจีแล้วรึ?”
“ผู้ใดจะรู้เล่า? คนทางทิศเหนือทำสิ่งใดแต่ไหนแต่ไรมาก็เหลวไหลเกินทน คำพูดคำจาก็เลยเถิดเกินจริง ถึงแม้สำนักฝึกหลวงจะเสื่อมลงแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะให้เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นเจ้าสำนัก ช่างไร้สาระจริงๆ”
“ศิษย์น้องระวังคำพูดหน่อย นั่นเป็นการจัดการของใต้เท้าสังฆราช”
“เดิมทีก็เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างยิ่ง ยังพูดไม่ได้อีกรึ? ผู้อาวุโสปกติเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็มิได้เอ่ยทำนองนี้รึ?”
“หนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิง ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงปีเดียวก็สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรถึงเช่นนี้ จะต้องมีสิ่งที่ยอดเยี่ยม มิเช่นนั้นศิษย์พี่รองก็คงจะไม่เขียนชื่นชมสูงส่งในจดหมายเช่นนี้”
“เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร? หรือว่าเจ้าเด็กผู้นั้นจะเปรียบเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ได้? หากไม่เป็นเพราะศิษย์พี่ใหญ่สำเร็จขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว ถ้าได้เข้าไปในสวนโจว ข้าไม่เชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะสามารถช่วงชิงสิ่งใดได้ และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสวีโหย่วหรงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ มังกรที่แท้จริงอยู่เบื้องหน้า จะมองไม่เห็นเชียวหรือว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่าดีงามกว่า?”
ระยะเวลาอันใกล้หลายเดือนนี้ การพูดคุยกันของบรรดาลูกศิษย์พรรคกระบี่เขาหลีซานเอ่ยเพียงแค่การทัศนศึกษาของศิษย์พี่ไม่กี่ท่าน หรือไม่ก็เรื่องที่โด่งดังของศิษย์พี่ใหญ่เรื่องนั้น เป็นธรรมดาที่จะเอ่ยถึงนามของเฉินฉางเซิง จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่การดูหมิ่น เอ่ยคำพูดที่ไม่ระมัดระวัง และเข้าไปสู่วังวนของการดูหมิ่นอีก
อย่างไรก็ตามเวลาต่อมา การพูดคุยทั้งหมดนี้จู่ๆ ก็เงียบหายไป ทว่าความตกตะลึงที่ชัดเจนกลับมิได้สั่นสะเทือนทั่วทั้งเทือกเขามากแต่อย่างใด ทุ่งเมฆหมอกยังคงเงียบสงบ ผู้คนที่อยู่ในเทือกเขาสีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวไม่สงบเพียงชั่วพริบตา เพราะว่าเรื่องราวเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ด้านนอกของทะเลหมอกปรากฏเป็นลำแสงสว่างไสว แสงกระบี่บังคับพลังที่น่าหวาดกลัวพุ่งไปยังชั้นก้อนเมฆนับไม่ถ้วน บางคราดุจดังพระอาทิตย์กำลังขึ้น บางคราดุจดังหายเข้าไปในน้ำตกและถ้ำ แสงกระบี่ที่มืดฟ้ามัวดินไม่อาจคะเนได้เปล่งเสียงคำรามอยู่ในกลางอากาศ ราวกับว่าเป็นฝูงปลาที่แหวกว่ายหาอาหารอย่างบ้าคลั่งกลางมหาสมุทร
นี่คือค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ของเขาหลีซานที่โด่งดังในตำนาน
หลังจากช่วงเวลาแสงสว่างผ่านพ้นไป ค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ไม่พบร่องรอยการปรากฏตัวของศัตรู พลันเคลื่อนไหวกลับเข้าไปตำแหน่งเดิมตามวิชาของค่ายกล อำพรางเข้าไปในเทือกเขาอยู่ในถ้ำของกระบี่นับไม่ถ้วน
บรรดาลูกศิษย์ของเขาหลีซานตกตะลึงพรึงเพริดแหงนหน้ามองไปยังยอดเทือกเขาอีกครา เห็นเพียงแค่สายรุ้งเส้นนั้นที่ยังอยู่เบื้องหน้า แต่กลับรู้สึกว่าในนั้นมีบางสิ่งเพิ่มขึ้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าลำแสงที่ยาวเหยียดต่อเนื่องกันได้เปลี่ยนเป็นวุ่นวายซับซ้อน
เสี่ยวซงกงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสุดขั้นบันไดหินได้ลืมตาขึ้นทันที มองไปยังทิศทางที่สายรุ้งเส้นนั้นตกลง แล้วตะโกนออกมา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ผู้อาวุโสของโถงบทบัญญัติทั้งสามท่านท่าทางหนักอึ้ง หันกายมองไปยังถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีสายรุ้งเกิดขึ้นแห่งนั้น
เสียงคำรามดังชัดเจนยาวนาน ออกมาจากด้านในถ้ำศักดิ์สิทธิ์!
เปลี่ยนเป็นลำแสงสายรุ้งที่วุ่นวายสลับซับซ้อน ตามเสียงคำรามดังชัดเจน จึงเปลี่ยนเป็นแน่นิ่งด้วยความรวดเร็วยิ่ง
สีหน้าของเสี่ยวซงกงและผู้อาวุโสเขาหลีซานทั้งหลายกลับมิได้ผ่อนคลายลงแต่อย่างใด
คิดไม่ถึงว่าต้องการศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่ใช้กระบี่ยาวควบคุม แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น
เวลาต่อมา น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามได้ดังขึ้นมาท่ามกลางบรรดาลูกศิษย์เขาหลีซานที่เงียบนิ่ง
“เขียนจดหมายถึงพระราชวังหลี เมืองฮั่นชิวเกิดการเปลี่ยนแปลง เผ่ามารจะมีการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ”
……
……
ห่างจากเมืองฮั่นชิวไกลหลายพันลี้เป็นพื้นที่ราบหิมะ มีหิมะจำนวนมากมาย ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่เป็นหิมะ ถึงแม้ขณะนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ หิมะที่นี่ยังคงร่วงหล่นเป็นจำนวนมาก ประหนึ่งขนหางของนกยูงก็มิปาน ถ้าหากหิมะหยุดตกหรือว่าลดลงกว่านี้สักหน่อย ก็คงจะเห็นเมืองเผ่ามารที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นแห่งเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับเมืองจิงตูในต้าโจวได้
บุรุษเผ่ามารร่างกายปกคลุมไปด้วยชุดคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางหิมะเพียงลำพัง เบื้องหลังของเขาห่างออกมาจากเมืองเสวี่ยเหล่าไกลยิ่ง จนกระทั่งมาถึงยังเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะรางๆ ถึงหยุดย่างก้าวลง ทอดมองไปยังทางทิศใต้ที่ไกลโพ้น มุมปากเผยอรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนหลงใหล
จากระดับความเร็วการก้าวเดินและร่างกายที่โก้งโค้งเล็กน้อย บุรุษเผ่ามารผู้นี้ก็คงจะเป็นผู้ชราแล้ว ทราบกันดีว่าแต่ไหนแต่ไรเผ่ามารมีชื่อเสียงทางด้านร่างกายที่แข็งแกร่งและการเคลื่อนไหวที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ เมื่อเขามองไปยังทิศใต้ ชุดคลุมยาวสีดำปลิวไสวเล็กน้อย สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาที่ขาวซีดอย่างยิ่ง ผิวหนังที่อยู่ข้างใต้ที่ทำให้ผู้คนสะอิดสะเอียนน่าหวาดกลัว เป็นสีแห่งความตาย แต่รอยยิ้มบนตรงมุมปากของเขายังคงดึงดูดผู้คนให้หลงใหล เพราะว่ารูปร่างหน้าตาและสติปัญญาของเขาเกินกว่าจะพรรณนา จนขนาดที่ว่าสามารถเอาชนะยมทูตได้
เขานั่งลงตรงกลางหิมะ หยิบเอาแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำอันหนึ่งออกมา
แผ่นสี่เหลี่ยมสีดำนี้ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร คล้ายกับว่าเดิมทีก็มีความร้อนสูงอยู่แล้ว หิมะร่วงหล่นลงมาเพียงแค่ชั่วพริบตาก็ละลาย จากนั้นจึงระเหยกลายเป็นไอน้ำ
ไอน้ำก็คือเมฆหมอก
แผ่นสีดำถูกเมฆหมอกปกคลุม ใบหน้าของบุรุษเผ่ามารล้วนแต่ถูกเมฆหมอกปกคลุม มองเห็นไม่เด่นชัด มีเพียงแค่ดวงตาที่สว่างสุกใสที่ไม่อาจปิดบังได้
เมฆหมอกที่อยู่บนแผ่นสีดำปรากฏเป็นภาพทิวทัศน์จำนวนมาก หากเปรียบเทียบกับภาพทิวทัศน์ของจริงแล้ว ภาพทิวทัศน์บนแผ่นสีดำแน่นอนว่าเล็กกว่าหลายเท่าตัว มองเห็นภูเขาและแม่น้ำได้เลือนราง พื้นหญ้าทั่วทั้งผืน อีกทั้งยังมีสวนหย่อมหลายแห่ง ความงดงามสวนหย่อมเหล่านั้นไม่เหมือนกับความวิจิตรงดงามในเมืองเสวี่ยเหล่าอย่างสิ้นเชิง แต่คล้ายกับสวนหย่อมของเผ่ามนุษย์ทางทิศใต้
บุรุษเผ่ามารหลับตาครุ่นคิดเป็นเวลายาวนาน จากนั้นจึงแหงนหน้าขึ้นจ้องมองไปยังทิศใต้อีกครา
ในท้องฟ้ามีสายลมหิมะจำนวนมาก หากกล่าวตามเหตุผลแล้วนั้น ควรมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
แต่ว่าเขามองเห็นสายรุ้งเส้นหนึ่ง
ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยถอดทอนใจออกมา “หลายสิบปีมิได้พบเจอ ยังคงเป็นดังเดิม”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ บุรุษเผ่ามารจึงสงบลงอีกครา ท่าทางเหม่อลอย ยื่นมือออกไปจับในกลางอากาศ
เผ่ามารมีสุภาษิตที่ว่า งมพระจันทร์ในน้ำ
การกระทำขณะนี้ของเขาเหลวไหลไร้สาระเหมือนกับสุภาษิตนี้อย่างยิ่ง
ทว่าเมื่อเขาชักมือกลับมา ระหว่างง่ามนิ้วมือปรากฏเป็นเส้นใยสายรุ้ง
เขาดึงสายรุ้งที่มุ่งไปยังสวนโจวออกมาจากในอากาศ!
เวลาต่อมา เขาค่อยๆ นำเส้นใยสายรุ้งวางบนตำแหน่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแผ่นสีดำ
เมฆหมอกบนแผ่นสีดำปะทะกับเส้นสายใยสายรุ้ง จึงละลายทันที เผยให้เห็นเป็นหนทางเส้นหนึ่ง
……
……
ด้านนอกเมืองฮั่นชิวห่างไปไกลพันลี้มีเนินเขาต้นชาผืนหนึ่ง มีชาจำนวนมาก ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่เป็นชา ถึงแม้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ต้นชาของที่นี่ยังคงเจริญเติบโตสมบูรณ์ดีงาม ดุจดังขนของนกยูงก็มิปาน ถ้าหากสายลมพัดผ่านหรือว่าพระอาทิตย์ส่องกระทบเป็นเวลานานแล้ว ก็สามารถได้กลิ่นชาโชยมาแตะจมูก
ส่วนลึกในเนินเขาต้นชายามอรุณมีหมอกลอยวนขึ้น ในสายหมอกนั้นมีหนทางเส้นหนึ่งเลือนรางทอดผ่านป่าเขาเขียวขจี มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังกอดพิณไว้ในอ้อมอกกับหญิงสาวอายุสิบกว่าปี เดินตามหนทางเส้นนั้นมุ่งไปยังเมฆหมอกเหล่านั้น หญิงสาวผู้นั้นใบหน้าอ่อนเยาว์ รูปร่างหน้าตาประหนึ่งรูปวาด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
ผู้อาวุโสที่กอดพิณและหญิงสาวหายเข้าไปในเมฆหมอก ด้านหน้าคล้ายกับว่ามีเงาของคนหลายคน หลังจากนั้นไม่นาน มีบุรุษสตรีคู่หนึ่งก็เดินเข้าไปในเนินเขาชา มองจากท่าทางแล้วก็คงจะเป็นคู่สามีภรรยา ใบหน้าซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม สามีกำลังแบกหาบ ภรรยาถือกระทะเหล็ก ถ้าหากเอ่ยว่าจะขายอาหารตามข้างทางแล้วนั้น กระทะใบนี้ก็ใหญ่เกินไป
ไร้ผู้คนล่วงรู้ ในเมฆหมอกของเนินเขาชาแห่งนั้นมีความจริงอะไรปิดบังไว้ ไร้ผู้คนล่วงรู้ หนทางที่ทอดผ่านไปยังส่วนลึกของเมฆหมอก ที่แห่งนั้นเรียกว่าสวนโจว
เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็คิดไม่ถึง ว่าสวนโจวจะมีประตูแห่งที่สองได้
……
……
สายลมหิมะประหนึ่งคนโมโห
บุรุษเผ่ามารได้ใช้พลังเพื่อเปิดสวนโจว ชัดเจนว่าทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตและพลังกายจำนวนมหาศาล สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นขาวซีด เปล่งประกายความอำมหิตออกมายิ่งขึ้น
เขาจ้องมองแผ่นสีดำแล้วบริกรรมคาถาเงียบๆ ทิวทัศน์ที่อยู่บนแผ่นนั้นยิ่งนานยิ่งแจ่มชัด จนถึงขนาดว่าสามารถมองเห็นผู้ฝึกบำเพ็ญหลายร้อยคนที่เพิ่งจะเดินเข้าไปในสวนโจว
ในกลุ่มผู้คนที่ฝึกบำเพ็ญหลายร้อยคน เขามองหาเป้าหมายของตนได้อย่างง่ายดาย ยื่นนิ้วมือออกไป ดีดนิ้วมืออยู่บนศีรษะของชีเจียนและเจ๋อซิ่ว จุดไฟชีวิตของเขาทั้งสอง จากนั้นนำไฟชีวิตวางในกาทองแดงสองใบ ให้มันล่องลอยอยู่ในสายลมหิมะ สายลมเยือกเย็นหิมะที่โกรธโมโหก็ไม่อาจดับไฟชีวิตให้ดับมอดลงได้
บุรุษเผ่ามารจ้องมองแผ่นสีดำเงียบนิ่ง ได้เสาะหาเพียงชั่วครู่ สายตาได้ร่วงหล่นไปยังสตรีไม่กี่คนที่สวมชุดพิธีการสีขาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าที่เพิ่งเข้าไปในสวนโจว
กาทองแดงใบที่สาม ได้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลมหิมะ
สุดท้าย เขามองไปยังเฉินฉางเซิง
เขามองไปยังภาพเบื้องหลังของเฉินฉางเซิง เงียบนิ่งเป็นระยะเวลายาวนาน จากนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมา
เขานำตำแหน่งของชีเจียน เจ๋อซิ่ว และสตรีกระทรวงสิบสามชิงเหย้า มอบให้แก่ลูกน้องของตน คนเหล่านั้นเพิ่งจะเข้าสวนโจวโดยผ่านเนินเขาชาเข้าไป
“ข้าคิดว่าเจ้าควรจะมีชีวิตต่อไป อย่างน้องก็มีชีวิตถึงยี่สิบปี ดังนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าเสียชีวิตอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ข้าจะเฝ้ามองเจ้าตลอดเวลา”
เขามองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยออกมา ชุดคลุมสีดำสะดุดตาอยู่ท่ามกลางสายลมหิมะ
……
……
บนประตูโค้งของสวนโจวเขียนคำว่าทะลวงอเวจี นี่ก็เป็นการอธิบายถึงกฎเกณฑ์ในตัวอยู่แล้ว มีเพียงแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีถึงจะสามารถเข้าที่นี้ได้ ถึงจะไม่ถูกกฎระเบียบของโลกใบเล็กแผดเผาจนดับสลายไป
ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนหลายร้อยคนได้ผ่านประตูโค้งแห่งนี้เข้าไปในสวนป่าที่เงียบสงัดตามลำดับ จากนั้นจึงแยกย้ายกันออกไป ผู้ฝึกบำเพ็ญในระบบของนิกายหลวงก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไปต่างก็ได้มาอำลาต่อเฉินฉางเซิง แต่บรรดาผู้คนของพรรคและสำนักทางทิศใต้ กลับกล่าวลากับแค่เหลียงเสี้ยวเซียวเสียงหนึ่ง
เวลาผ่านไปไม่นาน ในสวนป่าได้เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดอีกครา
เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนสะพานเล็ก จ้องมองน้ำที่รินไหลอยู่เบื้องล่าง จู่ๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
เจ๋อซิ่วยืนอยู่ข้างหลังเขา เอ่ยออกมา “นี่คงจะมิใช่เวลาที่จะมาคิดมาก เจ้าก็คงจะมิใช่คนที่คิดมากแต่อย่างใด”
เฉินฉางเซิงจึงยิ้มออกมา เตรียมที่จะเดินออกไป เวลานั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ คล้ายกับว่ามีสายตาที่กำลังจ้องมองตนอยู่
เขาจ้องบริเวณรอบๆ สวนโจว ไม่เห็นมีผู้ใด ทว่าความรู้สึกนั้นยังคงอยู่
ที่เขาฝึกฝนก็คือการทำตามใจปรารถนา ด้วยเหตุนี้จึงไม่รีบร้อนหลีกหนี แต่ว่ายังคงยืนอยู่บนสะพานเป็นเวลายาวนาน
อยู่ๆ ภายในสวนโจวกลับมีฝนตกลงมาโปรยปราย บนสะพานมีรอยหยดน้ำที่ตกลงมา พื้นผิวน้ำมีระลอกน้ำเป็นวงกลม
เขามองไปยังท้องฟ้า เงียบนิ่งชั่วครู่ จากนั้นจึงหยิบร่มในอกขึ้นมากางออก
ร่มคันนั้นทั้งเก่าและชำรุดไปบ้าง อีกทั้งยังหนักอึ้ง
ก็คือร่มกระดาษทอง
เมื่อเขากางร่ม ความรู้สึกนั้นพลันหายไปทันที
เขามองไปยังเจ๋อซิ่ว พลางเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”