ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 255 เสียงพิณบรรเลง คนหนึ่งเสียชีวิต
มองหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในป่า เยี่ยเสี่ยวเหลียนเอียงศีรษะครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ สุดท้ายแล้วเอ่ยถามเสียงเบาในข้อสงสัยที่ไม่อาจระงับได้ “สุดท้ายแล้วศิษย์พี่สวีชื่นชอบผู้ใดกัน?”
ศิษย์พี่ถงจ้องมองนางแล้วถามย้อนกลับด้วยรอยยิ้มแย้ม “ถ้าหากเป็นเจ้า เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
“ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน แน่นอนว่าข้าจะเลือกศิษย์พี่ชิวชานจวิน แต่ว่าตอนนี้…” เยี่ยเสี่ยวเหลียนเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงรู้สึกเศร้าเสียใจ
เฉินฉางเซิงยิ่งไม่รู้ว่าการมีตัวตนของตนได้กระทบมุมมองทางด้านชีวิตและความรักของหญิงสาวผู้หนึ่งอย่างไรบ้าง เขากับเจ๋อซิ่วยังคงตามหาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในป่าท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขามิได้แสดงสิ่งที่พิเศษออกมาแต่อย่างใด แต่เจ๋อซิ่วก็พบเจอ เมื่อเขาพบกับผู้บาดเจ็บที่ถูกสวีโหย่วหรงรักษา เฉินฉางเซิงจะหยุดลงนานกว่าปกติ เวลารักษาก็จะใช้พลังใจเป็นจำนวนมาก เช่นกัน หญิงสาวผู้นั้นก็เสาะหาผู้บาดเจ็บเพื่อรักษาในความมืดยามรัตติกาล เช่นเดียวกันไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อพบเจอผู้บาดเจ็บที่เฉินฉางเซิงเคยรักษา นางก็จะแสดงถึงความไม่ไว้วางใจออกมาเป็นพิเศษ จะใช้เวลาหยุดเพื่อดูอาการเป็นเวลานาน
ความมืดมิดของสวนโจวนั้นเงียบสงบยิ่งนัก ท้องฟ้ามิได้มีดวงดาวเดียรดาษ กองไฟที่จุดอยู่บนพื้นกลับผสมผสานความน่าเบื่อในระหว่างนั้น เด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินไปมาภายใต้ดวงดาวดารดาษ ไม่รู้ว่าจงใจหลบเลี่ยงหรือเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต แม้จะพบผู้บาดเจ็บที่ได้รับการมากมาย แต่กลับไม่ได้พบกันเลยสักครั้งหนึ่ง
พวกเขาอยู่ในที่ที่แตกต่างกัน ทำในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน พวกเขามิได้เห็นฝ่ายตรงข้าม แต่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใด บนขาของผู้บาดเจ็บมีผ้าพันแผลพันอยู่ พลังปราณแท้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเส้นปราณ ไอศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณรอบๆ บาดแผล คล้ายกับว่าเป็นจดหมายหรือว่าประโยคที่ง่ายดาย เป็นข้อความบางอย่าง บอกกล่าวซึ่งกันและกันว่าได้กระทำสิ่งใดไป แรงพันที่ค่อนข้างแน่นหนา กลิ่นอายที่ติดอยู่
เช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
เวลาเที่ยงคืน เฉินฉางเซิงปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่บอกว่าจะกลับมายังริมแม่น้ำ จ้องมองเจ้าอารามชิงซวีที่กำลังหลับสนิท มั่นใจว่านางได้ผ่านมาที่แห่งนี้แล้ว เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เกิดความเคารพเลื่อมใสเบาบาง อวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่อาจจัดการได้ ทำได้เพียงแค่ให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้านทานไว้ จากนั้นค่อยๆ บำรุงรักษา มั่นใจว่าผลลัพธ์ไม่อาจสู้วิธีของนางได้
เพียงแค่ ค่ำคืนนี้เขารักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปแล้วยี่สิบกว่าคน นางรักษาอาการบาดเจ็บก็คงไม่น้อยไปกว่ากัน จนถึงขนาดว่าอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวงหรือว่าวิธีการของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่สิ้นเปลืองพลังปราณแท้อย่างยิ่ง นางทำการรักษาต่อโดยมิได้เสียดายกำลังภายใน แล้วจะสามารถต้านทานต่อได้อีกหรือ?
ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์เข้ามาเสาะหาของล้ำค่าในสวนโจว อ้างอิงตามกฎระเบียบที่นักปราชญ์ได้กำหนดไว้ แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงเท่านี้ แต่เกรงว่าเพียงแค่วันแรกก็เกิดการต่อสู้ขึ้นหลายสนามแล้ว การต่อสู้ที่โหดเหี้ยมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าเวทนา เส้นตะกั่วไร้ผล ทำให้อาการบาดเจ็บยิ่งทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้น โชคดีที่เฉินฉางเซิงกับนาง และยังมีลูกศิษย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเหล่านั้น ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยจนกระทั่งขณะนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิต มิได้มีเค้าลางของความตาย ดังนั้นบรรยากาศของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรยังคงสงบนิ่ง ทว่าความแค้นมิอาจแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากหลังอันยิ่งใหญ่ของทิศเหนือใต้ที่คุมเชิงกันอยู่ ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดสถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิงหรือไม่
ค่ำคืนแรกหลังจากเข้ามาในสวนโจว ก็ดำเนินผ่านไปตามบรรยากาศที่ตึงเครียดและเงียบนิ่งเช่นนี้อย่างเชื่องช้า
แสงอรุณยามเช้าตรู่สว่างเล็กน้อย สาดกระทบทุ่งหญ้ากับแนวสันเขาที่อยู่ลึกเข้าไป
ยามเช้าตรู่ของสวนโจวกับด้านนอกนั้นแตกต่างกัน พระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกก็ไม่เหมือนกัน แนวเทือกเขาที่ยื่นเข้าไปในทุ่งหญ้า อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อร่ามสีทองแดง ราวกับเป็นลำคอที่ชูชันด้วยความเย่อหยิ่ง
ที่นี่คือเขามู่อวี้ในตำนาน
ปลายยอดของเขามู่อวี้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังดีดพิณกับพระอาทิตย์ เสียงพิณคร่ำครวญ ราวกับว่ากำลังไว้อาลัยต่อสิ่งใดอยู่
ด้านหลังของผู้เฒ่าที่กำลังดีดพิณ มีหญิงสาวอายุประมาณสิบกว่าปีผู้หนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าใจลอยจ้องมองพระอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า
นางใจลอยจริงๆ ใบหน้าที่เย็นชามิได้มีความรู้สึกใดๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงปฏิกิริยาที่มีต่ออาการปวดเมื่อย แม้แต่กะพริบตายังไม่ได้กะพริบแม้สักครา
“วิชาการแพทย์ของเฉินฉางเซิง สวีโหย่วหรงยิ่งไม่ต้องพูด อีกทั้งการตอบสนองช่างทันท่วงทียิ่ง คืนเมื่อวานสวนโจวมิได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น”
ผู้เฒ่าที่ดีดพิณเดินมายังด้านหน้านาง เอ่ยเสียงเบาออกมา “ใต้เท้า เจ้าหมาป่ากับเฉินฉางเซิงอยู่ด้วยกันพอดี สังหารพวกเขาก่อนไหม”
ประโยคของผู้เฒ่าที่เอ่ยออกมาสบายง่ายดาย ราวกับว่าเรื่องการสังหารเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วที่เขาเอ่ยถึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดาย
มีเพียงแค่ผู้ที่ผ่านขั้นทะลวงอเวจีจึงสามารถเข้ามาในสวนโจว หากเป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าท่านนี้ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจข้ามผ่านขั้นทะลวงอเวจี อีกทั้งเฉินฉางเซิงก็อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี เจ๋อซิ่วถึงแม้อยู่ขั้นทะลวงอเวจี แต่ว่าสายเลือดที่มหัศจรรย์กับความสามารถด้านการต่อสู้ที่ได้รับการขัดเกลาในดินแดนหิมะ แน่นอนว่าห่างไกลจากเวลานี้ ความมั่นใจของเขาสุดท้ายแล้วมาจากที่ใดกัน?
หญิงสาวผู้นั้นยังคงกอดเข่า เหม่อลอยจ้องมองพระอาทิตย์สีแดงอุ่น ไม่ได้ตอบผู้เฒ่าที่ดีดพิณ
ไม่ได้ตอบไม่ใช่ว่าไม่ยินยอม การเงียบนิ่งไม่ได้หมายความว่ายอมรับ ผู้ยิ่งใหญ่กระทำสิ่งใด เดิมทีตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าดีดพิณเข้าใจสุดนี้อย่างยิ่ง เอ่ยทัดทานออกไป “แผนการของกุนซือคือการทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในสวนโจววุ่นวาย แล้วพวกเราค่อยฉวยโอกาสสังหารคนข้างใน ถ้าหากสวนโจวมิได้วุ่นวาย ก็คงขัดแย้งกับแผนการเดิม”
ท่าทางของหญิงสาวเมินเฉย สายตาจนถึงขนาดคล้ายกับว่าไร้ความรู้สึกและจิตวิญญาณ จ้องมองพระอาทิตย์พลางเอ่ยว่า “ข้าต้องการสังหารนาง”
ผู้เฒ่าดีดพิณรู้ว่านางที่ใต้เท้าเอ่ยถึงคือผู้ใด ใต้เท้ามีฐานะสูงส่งเข้ามาเสี่ยงภัยในสวนโจว เพียงเพราะต้องการสังหารหญิงสาวเผ่ามนุษย์ผู้นั้น จึงได้เอ่ยโน้มน้าวต่อ “สวีโหย่วหรงมิใช่คนธรรมดา…”
เขาเกือบจะเอ่ยชื่อที่เป็นข้อห้ามของหญิงสาวออกมา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวในภายหลัง หลังจากจากรวบรวมสติ จึงเอ่ยออกมาต่อ “…ถึงแม้ว่าเมื่อคืนวานนางจะใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่อง สูญเสียพลังปราณแท้ไปจำนวนมาก แต่กระนั้นก็ยังคงยากจะสังหารได้ ตามแผนการของกุนซือ พวกเราควรจะสังหารผู้อื่นเสียก่อน จากนั้นจึงรวบรวมพลังสังหารแม่นางสวี เช่นนี้ถึงจะไม่เกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายขึ้น”
เมื่อได้ยินคำว่ากุนซือ หญิงสาวจึงเงียบนิ่งชั่วครู่ แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่นางก็ยังคงส่ายหน้า เอ่ยอีกคราว่า “ข้าต้องการสังหารนาง”
นางต้องการสังหารสวีโหย่วหรง นางอยากจะสังหารสวีโหย่วหรง นางเพียงแค่ต้องการสังหารสวีโหย่วหรง ในสายตานางผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรคนอื่นล้วนแต่เป็นของไร้ประโยชน์ แล้วจะคู่ควรให้นางแลมองเพียงหางตาได้อย่างไร
……
……
เสียงน้ำไหลทำให้ตื่นขึ้นมา เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อย ในความมืดยามราตรีเมื่อคืนวาน ช่วยเหลือผู้คนไปมาอย่างน้อยก็คงจะวิ่งเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาขณะนี้จะแข็งแกร่งจนไร้ที่เปรียบ ก็รู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจิตใจที่เหนื่อยล้า ถ้าหากกระแสน้ำไม่หยุดพัดผ่าน ที่จริงแล้วก็ยากจะแบกรับไว้ได้
จากแสงยามรุ่งอรุณที่ได้ส่องสว่างมา คิดไม่ถึงว่าล่วงเลยเวลาห้ายามไปแล้ว
เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้น เดินไปยังริมแม่น้ำวักน้ำเย็นมาล้างหน้า ทำให้ตื่นขึ้นเล็กน้อย ต่อมาเจ๋อซิ่วก็ส่งอาหารแห้งมาให้ เขาจึงกินอาหารเงียบๆ
เมื่อคืนวานผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่พลัดจากกลุ่มไป ทำตามคำพูดของเขา มารวมกันอยู่ที่ริมแม่น้ำ เวลานี้คนเหล่านั้นก็คงจะเริ่มทยอยตื่นขึ้นแล้ว เพียงชั่วครู่ก็คงจะเปลี่ยนเป็นคึกคัก
เฉินฉางเซิงกินอาหารแห้งเรียบร้อยแล้ว ดื่มน้ำสะอาด นั่งพักเพียงชั่วครู่ ปัดร่างกายและจัดการกับความเหนื่อยล้าของจิตใจ ถึงจะยืดตัวลุกขึ้นได้
แผลบาดเจ็บของกระบี่บนไหล่ศิษย์พี่ถง เมื่อคืนเขาได้รักษาให้ โดยภาพรวมขณะนี้ดีขึ้นแล้ว จิตใจของเจ้าอารามชิงซวีก็ฟื้นคืนแล้ว ถึงแม้ยังคงไม่อาจเดินได้ด้วยตนเอง แต่ก็คงไม่ถึงแก่ชีวิต ที่เหลือเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่ได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะหนักหรือว่าเบาล้วนแต่ดีขึ้น หลังจากได้พักผ่อนมาหนึ่งคืน ก็คงสามารถกลับไปยังป่าที่อยู่ตรงประตูสวนผืนนั้นได้
เฉินฉางเซิงเดินไปยังเบื้องหน้าของศิษย์พี่ถง เอ่ยเสียงเบาถึงการจัดการในวันนี้
ศิษย์พี่ถงพยักหน้า
เฉินฉางเซิงลังเลที่จะเอ่ยออกมา สุดท้ายจึงทนไม่ไหว เอ่ยว่า “เมื่อคืน…นางได้เอ่ยสิ่งใดถึงข้าหรือทิ้งคำพูดเอาไว้หรือไม่?”
ศิษย์พี่ถงคิดไปถึงเมื่อคืนวานนางได้เอ่ยพึมพำกับตนอยู่ที่ริมแม่น้ำ อดยิ้มไม่ได้เอ่ยออกมาว่า “มิได้ทิ้งคำพูดไว้เป็นพิเศษ”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เฉินฉางเซิงรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกผิดหวัง
เวลานี้เอง ในป่าริมแม่น้ำจู่ๆ ก็มีเสียงร้องตื่นตระหนกขึ้นมา
เฉินฉางเซิง เจ๋อซิ่ว และยังมีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอีกสิบกว่าคน เพียงได้ยินก็รีบมุ่งหน้ามาถึงพื้นที่ที่มีเสียงตื่นตระหนกด้วยความรวดเร็วยิ่ง
เห็นเพียงแค่ยอดฝีมือของพรรคฟ้าประทาน สีหน้าขาวซีดยืนอยู่ในป่า ข้างใต้เท้าของเขา มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งหน้าเขียวคล้ำ หมดลมหายใจ
เสียชีวิตแล้ว
มีคนเสียชีวิตแล้ว
……
……
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“หรือว่าแม้แต่หัวหน้าพรรคเฟยก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้อย่างนั้นรึ?”
“หรือว่าเมื่อคืนมีคนเข้ามาในป่า อาศัยตอนหัวหน้าพรรคเฟยได้รับบาดเจ็บลอบลงมือ?”
กลุ่มผู้คนในป่าพลันมีเสียงพูดคุยด้วยความโมโหและสับสนอลหม่านดังขึ้น เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เดินทางไปในใต้หล้า คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ต้องเอ่ยว่าพบเห็นต่อความเป็นความตายจนเคยชิน อย่างน้อยความตายก็ไม่อาจโจมตีสภาพจิตใจได้ แต่สวนโจวได้ปิดลง ก่อให้เกิดเงามืดภายในจิตใจของทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นี้เป็นเจ้าสำนักของพรรคฟ้าประทาน ถึงแม้พรรคฟ้าประทานจะเป็นเพียงแค่พรรคเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงของนิกายทางใต้ แต่หัวหน้าพรรคอยู่ที่นี่ อีกทั้ง…เมื่อคืนวานหัวหน้าพรรคแซ่เฟยผู้นี้ยังได้รับบาดเจ็บไม่สาหัส ตามวิทยายุทธ์ขั้นทะลวงอเวจีของเขา ก็คงจะจัดการได้อย่างสบาย เหตุใดถึงเสียชีวิตไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้?
เฉินฉางเซิงเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าของหัวหน้าพรรคเฟย หยิบถุงมือที่เจ๋อซิ่วยื่นให้มาสวม เปิดดวงตาของผู้ตาย และมองจมูกกับปาก หลังจากใช้เข็มทองแดงทิ่มเข้าไปในต้นคอ แล้วชูขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ หลังจากตรวจสอบ ท่าทางได้เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา พลางเอ่ยว่า “ยาพิษ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ กลุ่มผู้คนได้เปลี่ยนเป็นตึงเครียดในชั่วพริบตา เป็นยาพิษของผู้ใด? คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นสามารถปิดบังอำพรางคนจำนวนมากได้ ลักลอบเข้ามาวางยาพิษหัวหน้าพรรคเฟยได้อย่างเงียบเชียบ เช่นนั้นหมายความว่าอะไร เพียงแค่คนผู้นั้นต้องการ ยามใดก็สามารถวางยาสักคนหนึ่งได้อย่างนั้นรึ? สาเหตุที่สำคัญที่สุด คนผู้นั้นเพราะเหตุใดต้องวางยาหัวหน้าพรรคเฟยด้วย?
“จะต้องเป็นคนที่ใช้ศาสตร์พ่อมดเป็นแน่” ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรของทางทิศใต้ผู้นั้นเอ่ยออกมาด้วยความคับแค้นใจ “เมื่อเข้ามาในสวนโจวเมื่อวาน ข้าเห็นพ่อมดสองสามคน ไม่อาจทราบได้ว่าพระราชวังหลีกับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คิดเช่นไร คาดไม่ถึงว่าจะให้บรรดาตัวประหลาดที่ชื่นชอบใช้วิชาพ่อมดหมอผีและยาพิษเข้ามาในสวนโจว”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า พลางกล่าวออกมา “ถึงแม้จะใช้ยาพิษจริงๆ แต่สารพิษไม่เหมือนกับพืชที่อยู่ในแทบทิศใต้”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าว่าผู้ใดลงมือวางยาล่ะ?”
ยอดฝีมือแห่งพรรคฟ้าประทาน เพราะว่าความเศร้าเสียใจและโกรธแค้นยิ่ง มิได้คำนึงถึงฐานะของเฉินฉางเซิง จ้องเขม็งเขาเอ่ยสบถออกมาว่า “เมื่อคืนศิษย์พี่บอกว่าไม่ต้องการให้เจ้ารักษา แต่เจ้ายังยืนยันจะรักษา อีกทั้งยังให้พวกเรามาที่นี่ สุดท้ายเขากลับเสียชีวิต ผู้ใดจะรู้เมื่อเจ้ารักษาอาจจะลงมือก็เป็นได้!”
ได้ยินประโยคนี้ ทั่วทั้งป่าจู่ๆ ก็เงียบเชียบลง