ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 256 รับรู้พลังกระบี่ในสระ
ในป่าถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ แต่มิใช่เป็นเพราะว่าคำพูดของยอดฝีมือพรรคฟ้าประทานทำลายความคิดในจิตใจของผู้คน
ไม่มีผู้ใดคิดว่าเฉินฉางเซิงจะถือโอกาสลอบวางยาเมื่อตอนรักษาอาการบาดเจ็บ เพราะว่ามิได้มีเหตุผลใดๆ อีกทั้งยังไม่อาจกล่าวถึงสาเหตุใดๆ ได้ ผู้ใดต่างล่วงรู้ดี เฉินฉางเซิงได้รับความรักจากใต้เท้าสังฆราช ได้รับการสนับสนุนจากใต้เท้ามุขนายก กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงเมื่ออายุยังน้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีอนาคตจนไม่อาจวัดได้ หากเปรียบเทียบกับอนาคตแล้ว ผลประโยชน์ใดๆ ในสวนโจว ล้วนแต่ไม่อาจบีบบังคับให้เขาทำเรื่องนี้ได้
ที่เงียบนิ่งเป็นเพราะผู้คนอยากจะรู้อย่างยิ่ง เผชิญหน้าต่อสถานการณ์ที่ถูกประณามอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ เฉินฉางเซิงจะตอบโต้อย่างไร
เฉินฉางเซิงมิได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ขอบตาของยอดฝีมือของพรรคฟ้าประทานแดงก่ำขึ้นมา เพราะว่าความเศร้าโศกเสียใจอีกทั้งใบหน้าเกือบจะบิดเบี้ยวนั้น ล้วนแต่อยู่ในสายตาของเขา
เขากับเจ๋อซิ่วหันกายเดินออกมาด้านนอกป่า ศิษย์พี่ถงกับเยี่ยเสี่ยวเหลียนออกมาต้อนรับ ใบหน้าของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ
เฉินฉางเซิงอธิบายสถานการณ์ในป่าไม่กี่ประโยค ก็ออกจากริมแม่น้ำไปพร้อมกับเจ๋อซิ่ว เดินเข้าไปสู่โลกผืนใหญ่ไพศาลของสวนโจวอีกครา
หลังจากพวกเขาจากไปไม่นาน ศิษย์พี่ถงและลูกศิษย์อีกสองสามคนก็มองไปยังบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ภายนอก กำลังประคับประคองซึ่งกันและกัน มุ่งไปยังสวนป่าที่อยู่ตรงประตูสวน ในกลุ่มขบวนผู้บำเพ็ญเพียรมีแคร่เพิ่มมาหนึ่งอัน บนนั้นเป็นหัวหน้าพรรคเฟยกำลังปิดตานอนอยู่บนนั้น ริมแม่น้ำมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญลอยมาบ่อยครั้ง
……
……
ยืนอยู่บนหินยักษ์อยู่บนยอดเทือกเขา จ้องมองไปยังขบวนที่อยู่ที่อยู่บนปากแม่น้ำ เฉินฉางเซิงจึงวางใจลง
“การจัดการเช่นนี้ของเจ้ามีปัญหา”
ใบหน้าเจ๋อซิ่วไร้ความรู้สึกเอ่ยออกมา “ในขบวนเมื่อปรากฏสิ่งที่แตกต่างขึ้น ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ ล้วนแต่ต้องจัดการให้ได้ ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่รอด ปฏิบัติตามเรื่องที่สำคัญที่สุด”
เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด หันกายเข้าไปในป่าที่เขียวชอุ่ม
……
……
ดำเนินการเสาะหาและรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรรวบตัวอยู่ด้วยกันยิ่งนานยิ่งมีจำนวนมากขึ้น แบ่งเป็นสามแห่งอยู่ในป่า อีกทั้งยังได้รับการติดต่อระหว่างกันและกันแล้ว ทว่าปัญหาอยู่ที่เพียงหนึ่งวันสวนโจวไม่อาจเปิดได้ ไม่ว่ากลุ่มผู้คนจะหยุดอยู่ในสถานที่ที่คล้ายว่าจะงดงาม แต่ในส่วนป่ากลับมิได้มีสิ่งของล้ำค่าซ่อนอยู่เช่นนั้นรึ?
ในสองวันต่อมา เรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าได้เกิดขึ้น มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทยอยเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาด ยังคงเป็นพิษ แต่ไม่ว่าจะเป็นคนที่ร่วมเดินทางด้วยกัน หรือว่าเป็นคนตรวจสอบหลังจากนี้ ล้วนแต่ไม่อาจหาสาเหตุได้ ตามกาลเวลาที่หมุนวนผ่านไป ผู้คนแบกรับความกดดันยิ่งนานยิ่งมากขึ้น มีบางคนที่หมดอาลัยตายอยาก มีบางคนที่มึนชา เป็นไปได้ว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนมากอาจจะออกจากสวนป่าทั้งสามแห่งนี้อีกครา เข้าไปในโลกของสวนโจวส่วนลึกเสาะแสวงหาศาสตราวุธและของสืบทอดที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา เพราะว่าอยู่กับคนทั่วไปนั้นยิ่งเพิ่มความอันตราย
ใช่แล้ว มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนมากเริ่มสงสัยว่าเป็นอุบายของเผ่ามาร แต่จนถึงเวลานี้ ยังคงมีคนไม่เชื่อว่าเผ่ามารจะแทรกซึมเข้ามาในสวนโจวได้ จะต้องทราบว่ามีจูลั่วนั่งเป็นผู้ควบคุมอยู่ ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลีซายังนำนักบวชของนิกายหลวงมาตรวจสอบ ถึงแม้จะเป็นกุนซือเผ่ามารที่ลึกลับ ก็ไม่อาจแทรกซึมเข้ามาได้
ในเมื่อสวนโจวไม่มีเผ่ามาร เช่นนี้แล้วอันตรายก็มาจากเผ่ามนุษย์ในกันเอง
……
……
เฉินฉางเซิงนำเท้าจุ่มลงไปในน้ำแม่น้ำที่เย็นเฉียบ เปล่งเสียงถึงความสบายออกมา
ภายในระยะเวลาสองวันวิ่งไปมาราวจะหนึ่งพันลี้ สำหรับเขาแล้ว เป็นเรื่องที่ลำบากอย่างยิ่ง เสื้อผ้าล้วนแต่เป็นฝุ่นละออง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
หากเปรียบกับเขา เจ๋อซิ่วดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่ามาก ราวกับว่าหนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าผู้นี้ไม่รู้จักว่าความเหนื่อยล้าคือสิ่งใด
เฉินฉางเซิงจ้องมองปลาสีขาวไม่กี่ตัวที่อยู่ในแม่น้ำส่วนลึก เอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจะมีหนอนบ่อนไส้”
เจ๋อซิ่วกล่าวว่า “มีคนถูกยาพิษเสียชีวิตสี่คนแล้ว ในเมื่อพวกเรามั่นใจว่าว่าสวนโจวมิได้มีเผ่ามาร เช่นนั้นแล้วคนที่ลงมือวางยาพิษจะต้องเป็นหนอนบ่อนไส้เป็นแน่”
เป็นข้อสรุปที่ง่ายดายและชัดเจน
แต่ทว่าเฉินฉางเซิงยากที่จะยอมรับได้
พันธมิตรระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจเพื่อต่อต้านเผ่ามาร การต่อสู้สนามนี้เป็นการต่อสู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปรากฏผู้ที่จะหักหลังซึ่งกันและกันน้อยอย่างยิ่ง
“ถึงแม้การต่อสู้จะอยู่ขอบแดนตรงหิมะมาตลอด แต่สำหรับชีวิตส่วนใหญ่ของคนดินแดนต้าลู่แล้ว เป็นเวลานานหลายปีที่มิได้ต่อสู้ มีชีวิตจำนวนมากที่ได้ลืมเลือนความน่ากลัวของเผ่ามาร ลืมเลือนการต่อสู้เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์” ท่าทางของเจ๋อซิ่วเฉยเมยกล่าวต่อ “อยู่ที่ดินแดนหิมะ ข้าเคยเห็นกวางอสูรที่คอยนำทางให้กับเผ่ามารหลายครา บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในสวนโจวจะมีหนอนบ่อนไส้ที่เผ่าปีมารซื้อไว้ก็มิได้แปลกแต่อย่างใด”
เฉินฉางเซิงหลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากยอมรับว่ามีหนอนบ่อนไส้ เป็นเพราะว่าขณะนี้ทุกคนต่างก็เริ่มสงสัยซึ่งกันและกัน การที่ไม่ไว้วางใจกัน ข้าคิดว่ายิ่งอันตราย”
เจ๋อซิ่วยอมรับ แต่ไหนแต่ไรมาการเล่นกับจิตใจของผู้คนเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดของเผ่ามาร
เดิมทีเผ่ามารมิต้องการเข้ามาในสวนโจว เพียงแค่ต้องการตัดการติดต่อระหว่างข้างในกับข้างนอกสวน ให้หนอนบ่อนไส้ปลุกปั่นอยู่ข้างใน ทำเรื่องราวที่โหดเหี้ยม เช่นนั้นแล้วระหว่างผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรก็ยิ่งจะอลหม่านขึ้นมา
เรื่องราวทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาหลายต่อหลายครั้ง
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนนี้ เป็นอนาคตของเผ่ามนุษย์ ในนั้นมีคนที่ยอดเยี่ยมจำนวนมาก หากเผ่ามารสามารถซื้อหนอนบ่อนไส้ก็คงจะมีจำนวนไม่มาก ด้วยเหตุนี้เพียงแค่บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรไม่ได้ระแวง ระมัดระวัง จนถึงขนาดว่าคุมเชิงกัน เพียงแค่จิตใจของมนุษย์มิแตกแยก เผ่ามารก็ทำสิ่งใดไม่สำเร็จ”
ใบหน้าเจ๋อซิ่วไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “ถ้าหากสามารถทำเช่นนี้ได้ พวกเราเผ่ามนุษย์ก็คงจะเป็นหนึ่งเดียวในดินแดนต้าลู่ไปนานแล้ว”
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด
ในสองวันมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ จากที่เขาสังเกตเห็นในป่าวจีเขตบรรพต สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือจิตใจของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนได้แตกกระเจิงกันแล้ว
เขาได้รับการมอบหมายให้เป็นหัวหน้าจากพระราชวังหลี เช่นนั้นแล้วบรรดากลุ่มนิกายหลวงทางทิศเหนือเขาจะต้องรับผิดชอบและดูแล การชื่นชมของโก่วหานสือ ยิ่งทำให้เขารู้สึกเปลี่ยนเป็นหนักขึ้นไปอีก
แต่จิตใจของผู้คนได้แตกกระจัดกระเจิงไปแล้ว กองขบวนจะนำไปอย่างไร
“เพียงแค่อยู่ในสวน ก็คงไม่เกิดเรื่องอันใด คนที่ถูกพิษเสียชีวิต ล้วนแต่เสียชีวิตอยู่ในป่า ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจคนเหล่านี้ รีบใช้เวลาหาคนที่เหลือให้พบ”
เฉินฉางเซิงชักขึ้นเท้าจากในน้ำ เท้าเปียกชื้นยืนอยู่บนก้อนหิน จ้องมองไปยังเชิงเขาที่เห็นทางเดินสองเส้นรางๆ
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เวลานี้เพิ่งจะหาพบ จากนั้นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรก็ไปรวมตัวกันอยู่ในสวน ตามจำนวนคนรวมที่เข้ามาในสวน ยังขาดอีกร้อยกว่าคน
“มีบางคนที่ไม่อยากถูกเจ้าพบ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตามหาอย่างไร?”
เจ๋อซิ่วเอ่ยต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ดังเช่นเหลียงเสี้ยวเซียว ชีเจียน จวงห้วนอวี่ อีกทั้งยังมีบรรดาผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายล้วนแต่ไม่เจอแม้แต่สักคนเดียว”
เฉินฉางเซิงสะบัดเท้า จากนั้นสวมรองเท้า รวบผมขึ้นใหม่อีกครา จากนั้นกล่าวว่า “ถึงแม้เผ่ามารจะสามารถซื้อสายลับได้ ก็ไม่กล้าลงมือกับคนเหล่านี้”
เจ๋อซิ่วเอ่ยต่อ “แต่พวกเขาจะต้องแอบสังเกตอย่างลับๆ เป็นแน่”
เฉินฉางเซิงคิดไปถึงเรื่องที่โก่วหานสือขอร้องในสุสานเทียนซู เอ่ยว่า “พวกเราไปดูที่สระกระบี่หน่อยไหม”
ถึงแม้มิได้รวมตัวกับชีเจียนและเหลียงเสี้ยวเซียว ถ้าหากสามารถหาสระกระบี่พบ ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
หลังจากวิ่งวุ่นมาสองวันสองคืนด้วยความยากลำบาก เขารู้สึกว่าตนก็มีคุณสมบัติที่จะต้องพิจารณาตนเองเสียหน่อย
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วออกจากริมแม่น้ำ มุ่งไปยังด้านในป่า
พวกเขาคิดใคร่ครวญแทนบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรว่าอยู่ในป่าแล้วจะอันตราย คล้ายกับว่าลืมห่วงใยความปลอดภัยของตนเอง
เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่ม ถึงแม้ภายนอกมองไม่เห็นความเร่าร้อน แต่ไหนแต่ไรมิได้ขาดความมั่นใจ เหยียบย่ำไปบนหนทางไกลพร้อมกัน แน่นอนว่ามิได้หวาดกลัว
ขณะพวกเขาขึ้นเขาลงห้วยไปอีกทาง หญิงสาวที่สวมชุดนักบุญก็เดินทางอยู่เช่นกัน
นางเดินทางเพียงลำพัง ยังคงมิได้หวาดกลัวใดๆ จิตใจสงบนิ่ง แต่ไม่รู้ว่าบนบ่ามีธนูคล้องไว้ตั้งแต่เมื่อใด
……
……
เดินทางมาถึงยังแม่น้ำสายนั้นเป็นอันดับแรก ยังคงเดินเส้นทางสายเก่า ทวนกระแสน้ำขึ้นไป ผ่านสถานที่ที่เจ้าอารามชิงซวีกับศิษย์พี่ถงแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันวันก่อน เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วมิได้มองคราบโลหิตที่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย เดินทางเงียบนิ่งอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลายาวนานต่างมิได้เอ่ยสิ่งใด
พวกเขาทั้งสองต่างก็มิได้ถนัดในเรื่องการสนทนา และก็มิได้ชื่นชอบพูดคุย ในสวนโจวสองวันมานี้ก็นับว่าพูดคุยกันหลายครั้งแล้ว
ในป่าที่เงียบสงบ บางครั้งบางครามีเสียงนกร้อง นั่นเป็นเพราะว่าถูกเสียงเท้าของพวกเขาปลุกตื่น
เฉินฉางเซิงเคยอ่านเจอในบันทึกหลายปีก่อนมาแล้ว มีคนหนึ่งเคยเจอด้ามของกระบี่โบราณเล่มหนึ่งในป่าผืนนี้
เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียน และยังมีจวงห้วนอวี่ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยทางต้นแม่น้ำ ยิ่งทำให้มั่นคงในการตัดสินใจของเขา
ถ้าหากในสวนโจวมีสระกระบี่จริง ก็ควรจะอยู่ทิศทางนี้
พรรคกระบี่หลีปรารถนาจะตามหาสระกระบี่ในตำนาน นี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วขณะนี้ไม่อาจทราบได้ สิ่งที่กล่าวกันว่าแต่ไหนแต่ไรมิเคยมีผู้ใดเจอกระบี่แม้แต่เล่มเดียว ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผิดถนัด
หลายปีก่อน อาจารย์ปู่เล็กแซ่ซูของเขาหลีซาน เคยเจอกระบี่เล่มหนึ่งที่นี่ อีกทั้งยังนำออกจากสวนโจว
เพียงแค่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอันใด เรื่องนี้ถึงมิได้แพร่งพรายออกมา
ปริมาณน้ำของแม่น้ำแห่งนี้ก็มิได้เต็มแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขึ้นไปบนต้นน้ำ หลังจากผ่านแม่น้ำสายย่อยหลายสาย แรงของแม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลง น้ำใสราวกับกระจก
แต่ว่าแม่น้ำสายนี้ยาวอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งสองเริ่มเดินตั้งแต่เช้าตรู่ จนกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยบ่าย ถึงจะเดินมายังสุดสาย
เหมือนกับแม่น้ำหลายๆ สาย ต้นสายของแม่น้ำเส้นนี้ก็เป็นหน้าผา บนหน้าผามีน้ำตกที่ไหลรินลงมาระยิบระยับ
ด้านล่างน้ำตกเป็นสระน้ำที่เงียบกริบ สายน้ำร่วงหล่นลงสู่สระ เกิดเสียงดังกระเซ็นต่อเนื่อง
เจ๋อซิ่วแหงนหน้าหรี่ตา มองไปยังข้างบนของน้ำตก เห็นเพียงแค่สายน้ำเป็นชั้นเบาบางข้างใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ คล้ายกับว่าเป็นแก้วที่ใสแวววาวก็มิปาน ยืนยันได้ว่านี่เป็นยอดเขาแล้ว
“ข้าขึ้นไปดูหน่อย”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ มิได้รั้งรอให้เฉินฉางเซิงตอบโต้แต่อย่างใด เขาก็วิ่งขึ้นไปบนหน้าผา เมื่อไปได้กลางทาง ร่างกายของเขาจู่ๆ ก็ก้มลง มีเสียงฟิ้วดังขึ้น เปลี่ยนเป็นเงาสีเทา กระโดดไปยังบนหน้าผาสูงชันเป็นระยะทางหลายสิบจั้ง ฉึบฉับๆ วิ่งขึ้นไปบนหน้าผาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ก็ขึ้นไปถึงยังยอดผา
เฉินฉางเซิงมองดูจากข้างล่าง คล้ายกับว่ามองเห็นเขาเดินจ้ำอ้าว มือทั้งคู่ราวกับว่ามีแสงเย็นยะเยือกเปล่งประกายออกมา
ร่างกายของเจ๋อซิ่วหายลับไปบนน้ำตก คงจะไปตรวจสอบดูเทือกเขาและลำน้ำจริงๆ
เฉินฉางเซิงชักสายตากลับ มองไปยังน้ำในสระใต้น้ำตก จิตใจสั่นไหวเล็กน้อย
ที่นี่เป็นยอดเขา บนเขาสีเขียวขจีมีน้ำพุ ทว่าปริมาณน้ำก็มิได้มากมาย เขากับเจ๋อซิ่วมองเห็นเป็นภาพเช่นนี้
น้ำตกละเอียดเล็กยิ่ง ปริมาณน้ำก็น้อยยิ่ง เพราะเหตุใดน้ำในสระเบื้องล่างถึงได้ลึกถึงเพียงนี้เล่า
เขาเดินไปที่ริมสระน้ำ จ้องมองไปในน้ำ เห็นเพียงแค่ผืนน้ำที่เงียบสงัด เดิมทีก็ไม่อาจมองเห็นก้นสระได้
เขาทำจิตใจให้สงบนิ่ง ค่อยๆ ปล่อยจิตวิญญาณ ลงไปสัมผัสใต้สระน้ำ
จิตสัมผัสเข้าไปจนไม่อาจทราบได้ว่าไกลเพียงใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าดวงตาเจ็บปวดขึ้นมา คล้ายกับว่ามีใบไม้ที่บางละเอียดได้บาดลง
เขายังคงปิดตา เริ่มมีน้ำตารินไหลออกมา
นั่นเป็นพลังกระบี่
ถึงแม้ว่าจะกวัดแกว่งไปมายากคาดคะเน แต่เขามั่นใจอย่างยิ่ง นั่นคือพลังของกระบี่เล่มหนึ่ง