ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 264 เส้นทางที่เรียกว่าความกล้าหาญ
“นั่นคือกระดุมพันลี้รึ?” หลิวเสี่ยวหวั่นมองร่มในมือซ้ายของเฉินฉางเซิง เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “หรือว่านี่ก็เป็นร่มที่ซูหลีไม่มีปัญญาซื้อ?”
การต่อสู้ระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่ามารโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ เส้นกั้นพรมแดนของทุ่งหิมะ เรื่องการซุ่มโจมตีเดิมทีดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เพียงเพราะว่าเอาชนะการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์สนามนี้ ใช้กลวิธีทุกอย่าง เพียงแค่มีโอกาส ยอมที่จะเสียสละสิ่งแลกเปลี่ยนทุกอย่าง เพื่อใช้กลอุบายในการสังหารฝ่ายตรงข้าม เหล่าผู้มีพรสวรรค์ได้มีโอกาสเติบโตขึ้นมา เมื่อเจ๋อซิ่วจะมีอายุเยาว์วัยก็อยู่ขั้นถอดจิต มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนต้าลู่ ก็เป็นเพราะเขาโดดเดี่ยวลำพัง กลับสามารถมีชีวิตอยู่ในสถานที่โหดร้ายและอันตรายที่สุดได้
เพราะว่าต้องการปกป้องคนหนุ่มของตน ทำให้พวกเขามีเวลามากพอ สำนักพรรคของโลกมนุษย์บรรดาลูกศิษย์ที่ให้ความสำคัญที่สุดก่อนจะเติบใหญ่ขึ้นมา ได้ส่งผู้แข็งแกร่งมาแอบคุ้มครองอยู่ก่อนแล้ว บางทีอาจจะมีศาสตราวิเศษในการปกป้องชีวิต ดังเช่นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยครั้นต่อสู้ที่ด่านยงเสวี่ย ขุนพลเทพเฟ่ยเตี่ยนมักจะซ่อนตัวอยู่ข้างๆ เหมือนกับบรรดาคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ของเจ็ดคำโคลงแดนเทพ จวงห้วนอวี่ ซูม่ออวี๋และจงฮุ่ยล้วนแต่ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เผ่ามารจึงเลือกซุ่มโจมตีที่สวนโจว ก็เพราะว่าสวนโจวมีลักษณะพิเศษ ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ไม่อาจเข้ามาได้ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จึงทำได้เพียงช่วยปกป้องกันและกัน
แน่นอนว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนหนุ่มเหล่านั้นจะต้องมีศาสตราวิเศษป้องกันตัวเป็นแน่ เหมือนเฉินฉางเซิงที่ได้รับความรักใคร่จากใต้เท้าสังฆราช เพียงแค่…ศาสตราวิเศษของเฉินฉางเซิงมีมากมายไปสักหน่อย อีกทั้งล้วนแต่เป็นของที่แข็งแกร่งหายาก ไม่ว่าจะเป็นร่มกระดาษทองในตำนาน หรือว่าจะเป็นกระดุมพันลี้ที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรให้ความสำคัญดุจดังชีวิต อยู่ในดินแดนต้าลู่ ล้วนแต่เป็นศาสตราวิเศษที่สูงที่สุด!
สำหรับกระบี่สั้นที่คล้ายกับธรรมดาในมือของเขา ก็ยังมีระดับความแหลมคมจนยากจะจินตนาการได้ ยิ่งทำให้หลิวเสี่ยวหวั่นรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ตามแผนการตั้งแต่แรกเริ่มของพวกเขา ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารแอบซุ่มเข้ามาในสวนโจว ตามเรื่องเล่าขานของสระกระบี่ จึงดึงดูดพวกเขาให้มารวมอยู่ริมทะเลสาบ บวกกับหนอนบ่อนไส้เผ่ามนุษย์ที่แฝงตัวคนนั้น จู่ๆ ก็ลอบโจมตี คงจะสามารถสังหารเฉินฉางเซิง เจ๋อซิ่ว และชีเจียนได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นก็สามารถบรรลุภารกิจไปแล้วสามในสี่ จากนั้นก็ไปรวมกลุ่มใหญ่ เพื่อสังหารสวีโหย่วหรง
ผู้ใดจะคาดคิด แผนการที่รัดกุมเช่นนี้ สุดท้ายแล้วถูกเฉินฉางเซิงทำลายเพียงคนเดียว
เจ๋อซิ่วได้รับพิษของหางนกยูง หน้าท้องของชีเจียนถูกกระบี่แทงทะลุ คิดดูแล้วเส้นลมปราณและอวัยวะภายในก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ในที่สุดก็สามารถออกไปจากริมทะเลสาบได้ ชั่วขณะหนึ่งก็ยังไม่เสียชีวิต
หลิวเสี่ยวหวั่นมองไปทางเหลียงเสี้ยวเซียว สายตาร่วงหล่นอยู่บนสายเข็มขัดปักลายก้อนเมฆในมือซ้ายของเขา พยักหน้า
นางไม่รู้จักลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นเจ็ดคำโคลงแดนเทพลำดับที่สาม ก่อนเข้ามาในสวนโจวท่านกุนซือได้ย้ำว่าจะมีเผ่ามนุษย์คอยช่วยพวกเขา
สีหน้าของเหลียงเสี้ยวเซียวยังคงขาวซีด เสียงก็สั่นเทาเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงมีความมั่นคงอย่างยิ่ง “จะต้องมั่นใจว่าชีเจียนต้องเสียชีวิต…คนที่มายังที่นี่ทุกคนจะต้องเสียชีวิต”
เฉินฉางเซิงใช้กระดุมล้ำค่าส่งเจ๋อซิ่วกับชีเจียนออกไป ถ้าหากเป็นโลกจริงๆ ไม่ว่าผู้มีฝีมือเผ่ามารจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจไล่ตามพวกเขาทัน สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ที่นี่คือสวนโจว มีป้อมปราการระหว่างธรรมชาติอยู่ เจ๋อซิ่วกับชีเจียนสามารถไปไกลพันลี้ได้จริง แต่ก็ยังอยู่ในสวนโจว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลิวเสี่ยวหวั่นสามารถเห็นตำแหน่งพวกเขาในระหว่างเดินทางได้
“ไม่ต้องสังหารเจ้า ข้าก็พึงพอใจอย่างยิ่ง เพราะว่าข้าชื่นชอบเจ้ายิ่งนัก”
นางมองเฉินฉางเซิงด้วยท่าทางที่อบอุ่นพลางเอ่ยว่า “เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ข้าจะชื่นชอบเผ่ามนุษย์ เพราะว่าเมื่อครู่เจ้าพูดเกลี้ยกล่อมให้ข้าไม่กินเนื้อมนุษย์ มนุษย์คนอื่นรวมถึงผู้คนเผ่าพันธุ์ของข้า หลังจากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกข้า ก็จะรังเกียจหรือไม่ก็เกรงกลัว ไม่มีผู้ใดคิดจะชักชวนด้วยความจริงจังดังเช่นเจ้า เจ้าเป็นเด็กที่ไม่เหมือนผู้อื่น”
“สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เจ้าไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ เพราะว่านี่เป็นความต้องการของท่านกุนซือ”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ นางยกกระทะใบใหญ่ที่เป็นรูขึ้น ร่างกายพลันเลือนราง ทะยานไปยังพื้นผิวทะเลสาบ เถิงเสี่ยวหมิงนำตะกร้ามัดไว้บนหาบอีกครา แล้วก็ตามออกไป
ริมทะเลสาบจึงมีเพียงหญิงงามเผ่ามาร หญิงสาวที่สง่าผ่าเผย รวมถึงเหลียงเสี้ยวเซียว
เฉินฉางเซิงจ้องมองเหลียงเสี้ยวเซียวเอ่ยคำถามขึ้น “เพราะเหตุใด?”
นี่เป็นเรื่องที่เขาอยากจะรู้อย่างยิ่ง อีกทั้งเป็นเรื่องที่ชีเจียนอยากจะรู้ที่สุด หลายร้อยปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีเผ่ามนุษย์รับใช้เผ่ามารน้อยอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเหลียงเสี้ยวเซียวที่เป็นเจ็ดคำโคลงแดนเทพมีอนาคตสว่างรุ่งโรจน์ยาวไกล เดิมทีเผ่ามารก็ไม่อาจให้ผลประโยชน์และอนาคตที่มากกว่าได้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การหักหลังของเขาก็ไม่มีเหตุผลใดๆ
เหลียงเสี้ยวเซียวไม่ได้ตอบ ค่อยๆ ยกกระบี่ในมือขึ้น ระหว่างใบหน้าที่งดงามมีความรู้สึกเย็นเยียบ
“เหลือพวกเราทั้งสามคน เจ้าไม่คิดว่าประเมินค่าเจ้าต่ำไปรึ? ต้องรู้ว่าพวกเราล้วนแต่ประหลาดใจ ในตัวเจ้ายังจะมีสิ่งของล้ำค่าอื่นอีกหรือไม่”
หญิงงามเผ่ามารผู้นั้น จ้องมองใบหน้างดงามของเขา
คู่สามีภรรยาไล่บี้สังหารชีเจียนกับเจ๋อซิ่ว คล้ายกับว่าที่จริงแล้วเป็นการดูถูกอย่างหนึ่ง แต่ว่าเฉินฉางเซิงมิได้คิดเช่นนี้ คนที่อยู่หลังม่านแผนอุบายนี้ก็คือท่านกุนซือ เรื่องราวนับไม่ถ้วนที่หลายปีได้พิสูจน์นานมาแล้ว กุนซือเผ่ามารผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรมามิเคยคำนวณผิดพลาด เผ่ามารเหลือสามคนสังหารเขา เช่นนั้นอธิบายได้ว่า พวกเขาทั้งสามคนจะต้องสังหารเขาได้
“เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ เสียชีวิตอย่างไม่มีร่องรอยไร้สุ้มเสียง แม้แต่ข้ายังคงรู้สึกผิดหวัง” หญิงงามเผ่ามารผู้นั้นจ้องมองเขาพลางถอดทอนหายใจออกมา
หญิงงามที่มีท่าทางสง่าผ่าเผย ลมหายใจของนางตรงกันข้ามกับนางอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขายืนอยู่ด้วยกัน กลับเหมือนกันอย่างยิ่ง ราวกับว่าเป็นฝาแฝด
ในระหว่างที่เลือนราง เฉินฉางเซิงถึงขนาดเห็นข้างหลังของคนทั้งสองปรากฏปีกที่สว่างไสว ก็เหมือนกับภาพที่มือขาดงอกออกมาใหม่
พลังปราณที่เยือกเย็นและแข็งแกร่ง แผ่กระจายออกมาจากปีกสว่างไสวด้านหลังของหญิงสาวทั้งคู่
พลังจิตของเฉินฉางเซิงว่องไวและเฉียบแหลม เขามั่นใจอย่างยิ่ง ความแข็งแกร่งนี้ตนไม่อาจต้านทานไว้ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การกระทำต่ำช้าของเหลียงเสี้ยวเซียว แต่เป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งจริงๆ ซึ่งยังคงอยู่ข้างๆ
กระดูกซี่โครงของเขาหักออกเป็นท่อนๆ ไม่รู้ว่ากระดูกจะมีรอยแตกพร้อยไปมากเพียงใด ก่อนหน้านี้ก็เกือบจะกระอักโลหิตออกมา พลันถูกเขาสกัดเข้าไปตามเดิม ดวงจิตได้รับกระทบกระเทือนอย่างหนัก เดิมทีก็ไม่อาจขับพลังปราณให้ราบรื่น เวลานี้การขับเคลื่อนพลังปราณแท้ยิ่งแน่นิ่ง ถึงแม้ว่าภายนอกมองแล้วจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสยิ่งนัก
ชัดเจนยิ่งนักว่าศัตรูของเขาก็เข้าใจในจุดนี้อย่างยิ่ง
การต่อสู้สนามนี้มิได้มีสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าเขาจะมีศาสตราวิเศษที่แข็งแกร่งหรือว่ากระบี่สั้นที่คมกริบก็ตาม
ถ้าหากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป แม้แต่ยกร่มเขาก็ใกล้จะยกไม่ขึ้น แม้แต่กระบี่ก็คงจะกุมไว้ไม่ไหว นับประสาอะไรกับการต่อสู้เล่า?
แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกเช่นนี้
มือข้างหนึ่งของเขาถือร่ม อีกข้างถือกระบี่ ท่าทางยังคงตั้งมั่นแน่วแน่
หมดหวัง? ไม่ เพียงแค่จะต้องดำเนินต่อไป ก็จะมีความหวังเป็นแน่
ในป่าที่ห่างไกลออกไป เงาของคนนั้นราวกับว่าลังเลตัดสินใจไม่ได้
ถ้าหากเขาสามารถแสดงจิตใจกับความสามารถในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะช่วยให้คนผู้นั้นได้รับความกล้าหาญบ้าง
อีกทั้ง เขายังคงรอคอยข่าวคราวการกลับมาของมังกรดำ
……
……
ชุดนักบุญสีขาวยังคงสะบัดปลิวอยู่ในสายลมเทือกเขาเบาๆ หญิงสาวเดินทางเงียบๆ อยู่ตรงสันเขา โดดเดี่ยวลำพัง ด้วยเหตุนี้จึงเหนื่อยล้า ทว่าจิตใจยังคงสงบนิ่ง
มองหญิงสาวที่กำลังสะพายคันธนูอยู่ มังกรดำก่อเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ชัดเจนว่าตัวนางกำลังมาหานาง แต่ว่าทันใดนั้น ตัวนางไม่อยากเข้าใกล้นาง
สายตาของมังกรดำทอดยาวไปไกลตามหนทางการเดินของหญิงสาวชุดขาว มองเห็นเทือกเขาที่อยู่ในทุ่งหญ้าลึกเข้าไป
เวลานี้พระอาทิตย์ได้ตกลงในทิศตะวันตกอีกครา ทุ่งหญ้าลึกลับผืนนั้นก็เกิดการเผาไหม้อีกครา ยอดเขายอดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา
หลายวันก่อนเมื่อมองไปที่ยอดเทือกเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นมาในจิตสัมผัสของมังกรดำอีกครา
นางอยากไปดูที่นั่นเสียหน่อย ที่นั่นราวกับว่ามีสัตว์อะไรบางอย่าง กำลังร้องเรียกนางมาจากที่ไกลๆ
แต่ว่านางไม่กล้าไป
เพราะว่าเวลานี้ตอนนี้ ยอดเขาของหุบเขาอัสดง มีแสงอาทิตย์ทะลุผ่านกลุ่มเมฆยาวหมื่นจั้ง มีหญิงสาวที่อายุสิบกว่าปีกับผู้เฒ่าที่กำลังดีดพิณ
สายตาของมังกรดำนั้นดีอย่างยิ่ง จนถึงขนาดว่านางสามารถมองเห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของหญิงสาวผู้นั้นได้ชัดเจน
นางแจ่มแจ้งยิ่งนัก ก่อนหน้านี้จิตใจก่อเกิดความหวาดกลัวระแวง ครึ่งหนึ่งมาจากธนูของหญิงสาวชุดขาว อีกครึ่งหนึ่งมาจากใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้
เป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ภาคภูมิใจและมีสายเลือดที่สูงส่งที่สุดบนโลกใบนี้ ความหวาดกลัวไม่สงบนี้ทำให้นางอับอายเหลือเกิน
ถ้าหากเป็นร่างกายเดิมของนาง ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวชุดขาว หรือว่าหญิงสาวผู้นั้นกับผู้เฒ่าดีดพิณ นางสามารถกลืนพวกเข้าไปในปากได้อย่างง่ายดาย แม้แต่น้ำก็ไม่ต้องดื่มตามเข้าไปก็ได้
แต่ขณะนี้ นางเป็นดวงจิตมังกรที่อยู่ในหยกหรูอี้
นางไม่อาจเข้าไปช่วยเฉินฉางเซิงต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารได้
สำหรับตอนนี้ ถึงแม้การต่อสู้สนามนี้ใกล้จะเริ่มขึ้น แม้แต่เข้าใกล้นางก็ไม่อาจทำได้
หญิงสาวที่สวมชุดนักบุญสีขาว เดินข้ามน้ำข้ามเขาด้วยความเงียบนิ่ง
หญิงสาวที่ใบหน้าเมินเฉย กำลังรอคอยอยู่ตรงปลายเทือกเขา
ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด พวกนางก็จะต้องเจอกัน
……
……
ทุ่งหญ้ารายล้อมอยู่เต็มเทือกเขา ทันใดนั้นปรากฏสิ่งของร่วงหล่น มุ่งไปยังตีนเขา คล้ายกับว่าเป็นหินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาก็มิปาน
ทว่าสิ่งที่กลิ้งลงมาจากเทือกเขามิใช่ก้อนหิน แต่เป็นเจ๋อซิ่วกับชีเจียน
ใบไม้ที่แหลมคมกับก้อนหินที่แข็งแกร่ง มิได้มีบาดแผลใดๆ ทิ้งร่องรอยอยู่บนใบหน้าของเจ๋อซิ่ว
ชีเจียนไร้เรี่ยวแรงและกำลังใจมุดหน้าลงตรงไหล่ของเขา เส้นผมสีดำสยาย ใบหน้าเรียวเล็กซีดขาว
เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนไว้ วิ่งไปยังทิศทางที่พระอาทิตย์ตกลงมา มีโลหิตสดรินไหลไม่ขาดสาย
เวลานี้ พวกเขาได้ผ่านทะลุขอบฟ้าของทะเลสาบ มาถึงยังโลกของหน้าผา
เขาไม่รู้ว่าคู่สามีภรรยาเผ่ามารกำลังไล่ตามมา ยิ่งไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ตำแหน่งของตน แต่ประสาทสัมผัสการได้กลิ่นอันตรายที่ว่องไว ทำให้เขาระมัดระวังเป็นพิเศษ ราวกับว่าได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากข้างหลัง จนถึงขนาดว่าได้ยินเสียงแปลกประหลาดของกระทะใบใหญ่
เขาจะต้องเร็วขึ้นไปอีก
ทว่าเวลาต่อมา จู่ๆ เขาก็หยุดย่างก้าวลง
ชีเจียนยากที่จะลืมตาขึ้น มองไปยังภาพหนทางที่อยู่เบื้องหน้า เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง “เกิดอะไรขึ้น?”
เจ๋อซิ่วมองทางข้างหน้าอย่างเมินเฉย เอ่ยถาม “ต่อไป ไปทางไหน?”
น้ำเสียงของชีเจียนอ่อนล้าตอบ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
เพราะว่าเหตุการณ์บางอย่างในการสอบใหญ่ เขาไม่ชื่นชอบหนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าผู้นี้มาตลอด เดิมทีก็ไม่อยากคบค้าใดๆ กับฝ่ายตรงข้าม ทว่าเขากลับถูกฝ่ายตรงข้ามแบกไว้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจอย่างยิ่ง ผู้ใดจะรู้ หนุ่มน้อยผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะถามทางกับคนที่ได้รับบาดเจ็บดังเช่นตน ช่างใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
“ข้ามองไม่เห็นแล้ว ดังนั้นตั้งแต่นี้ เจ้าเป็นคนบอกทาง”
น้ำเสียงของเจ๋อซิ่วสงบนิ่ง มิได้มีความรู้สึกใดๆ
แสงสุริยันกระทบบนดวงตาของเขา ไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีเขียวเข้ม
พิษของนกยูงได้แพร่กระจายแล้ว
แสงสุริยันก็ได้สะท้อนไปยังหนทางของเทือกเขาเช่นกัน ยิ่งทำให้สงบเงียบและยิ่งทำให้ยาวนาน