ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 27 หลายปีมาแล้ว
รุ่งอรุณเวลายามห้า เฉินฉางเซิงลืมตาทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตื่นนอน แต่คือการตื่นมาจากสภาวะการใคร่ครวญอย่างหนัก ยืนยันว่าร่างกายของตนเองยังคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาส่ายศีรษะ เดินกลับไปยังอาคารหลังเล็กๆ เริ่มอาบน้ำ พิงขอบถังไม้ ให้ความร้อนของน้ำชำระความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจ เสียงหลังจากทอดถอนลมหายใจทะลุผ่านผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงพึมพำกับตนเอง “เมื่อไหร่ถึงจะสามารถหาวิธีได้เล่า”
ถังไม้ใบนี้สูงประมาณครึ่งกายของคน วางอยู่ด้านหลังอาคารด้านล่างกำแพงของสำนัก ใกล้ๆ กับกำแพง เวลาต่อมาชั่วครู่ ได้ยินเสียงทอดถอนหายใจลึกลับออกมาจากกำแพงอีกฝั่งพร้อมกับประโยคหนึ่งที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ “เมื่อไหร่ถึงจะสามารถตามหาคนนั้นพบเล่า”
เฉินฉางเซิงนึกถึงเสียงทอดถอนหายใจที่ได้ยินเมื่อวานตอนเช้าตรู่ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากใบหน้า หมุนกายจ้องมองไปยังกำแพงทางด้านนั้น สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือผืนไม้เลื้อยสีเขียว กำแพงสูงอย่างยิ่ง มองไม่เห็นทิวทัศน์ทางด้านนั้น และก็ไม่รู้ว่าผู้ที่กล่าวประโยคนั้นคือใคร
เสียงนั้นอ่อนนุ่มเยาว์วัย คงจะเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ความเศร้าโศกเสียใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือความเศร้าโศกเสียใจ ทันใดนั้นเฉินฉางเซิงรู้สึกเห็นใจแม่นางที่อยู่หลังกำแพงทางด้านนั้น เพียงแค่คิดไปถึงสถานการณ์ไม่นานนี้ของตนเอง ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเห็นใจผู้ใด
หลายวันต่อมาผ่านพ้นไปด้วยคลื่นลมที่สงบเงียบ ทุกวันเขาอ่านตำราอยู่ในหอตำรา เวลาค่ำคืนมาถึงก็จะดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก ตั้งแต่ต้นจนจบของขั้นตอนการชำระล้างกระดูกเขาหลับตาคิดใคร่ครวญอย่างหนัก เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่าแสงดวงดาวเหล่านั้นได้ซึมเข้าไปในร่างกายของตนเอง เพียงมองจากภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ผลสุดท้ายเป็นเช่นนี้ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผิดหวัง แต่เขายังคงขยันฝึกฝนไม่หยุดพัก ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับที่เขาฝึกบำเพ็ญเพียร คนงานที่บูรณะซ่อมแซมสำนักฝึกหลวงก็ทำงานด้วยความเป็นระเบียบต่อไป อาจารย์ซินของสำนักการศึกษากลางไม่ได้ยืนจัดการอยู่หน้าแท่น แต่คงจะจัดสรรเบี้ยหวัดมาไม่ขาด และทั้งเวลาที่เร่งรีบ บรรดาช่างฝีมือและคนงานต่างไม่กล้าเกียจคร้านเป็นธรรมดา
กำแพงไม่ได้ซ่อมแซมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แม้แต่เสียงก็ไม่อาจขวางกั้น ลมจึงสามารถเล็ดลอดมาได้เป็นธรรมดา
ข่าวคราวการบูรณะซ่อมแซมสำนักฝึกหลวง แพร่กระจายไปยังเมืองจิงตูอย่างรวดเร็ว เรื่องที่สำนักฝึกหลวงมีนักเรียนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ผู้คนค่อยๆ รับรู้อย่างช้าๆ เพราะว่าสำนักฝึกหลวงตกอับอย่างแท้จริง ผู้คนจึงกล้าที่จะแอบวิพากษ์วิจารณ์ แต่กล้าสืบสวนความจริงกันที่ไหน สุดท้ายแล้วเป็นเพียงแค่เพิ่มบทสนทนาระหว่างโต๊ะอาหารและโต๊ะน้ำชา
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าโลกภายนอกกำลังเก็บสะสมเรื่องราว เขาอยู่ในสำนักส่วนลึกที่สุดของตรอกไป๋ฮวาศึกษาตำราฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตเหมือนเดิมซ้ำๆ เดิมทีไม่รู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านไปจืดชืดไม่มีรสชาติ
ดูจากภายนอก เขาคล้ายกับว่าไม่ได้ใส่ใจว่าจะชำระล้างกระดูกสำเร็จหรือไม่ ในความเป็นจริงจิตใจของเขาทั้งหมดผูกติดกับเรื่องนี้ พื้นของหอตำราไม่ได้ถูกเช็ดทำความสะอาดมาหลายวันแล้ว สำหรับคนรักสะอาดเช่นเขาเรื่องนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น นี่ก็ถือเป็นหลักฐานอย่างหนึ่ง
ชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่ศึกษาเล่าเรียนของเขาเวลานี้จะไม่ได้รับสิ่งใด
เขาได้อ่านตำรามากมายในหอตำรา ตำราส่วนใหญ่ล้วนแต่เคยอ่านที่ซีหนิงมาแล้ว มีบางตำราที่เกี่ยวข้องกับการชำระล้างกระดูกจึงเป็นครั้งแรกที่เคยเห็น เปรียบเทียบสองสิ่งนี้ เขาตกใจที่พบว่าแต่ไหนแต่ไรมาตัวอักษรเหล่านั้นตนเองเคยอ่านมาตั้งแต่เยาว์วัย มีความเกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญเพียรมากมาย
เมื่อตอนที่เขาเยาว์วัยได้ท่องตำราเหล่านั้น ไม่รู้ว่าตัวอักษรที่เข้าใจยากยิ่งเหล่านั้นแท้จริงแล้วมีความหมายว่าอะไร เขากับศิษย์พี่ถามอาจารย์ก็ไม่ได้คำตอบที่เป็นรูปธรรม จึงคิดว่าเป็นสิ่งที่มีความรู้ประเสริฐยิ่งใหญ่ ไม่ได้ใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบ จนกระทั่งตอนนี้เขามาถึงจิงตู อยู่สำนักฝึกหลวงได้เห็นตำราการฝึกบำเพ็ญเพียรของการชำระล้างกระดูกเบื้องต้น เขาถึงได้รู้ เดิมทีโลกใบนี้มีวิชาการฝึกบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ผู้แกร่งกล้าสมัยก่อนได้ทิ้งประสบการณ์ที่ล้ำค่า บรรดาพรรคที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่ถ่ายทอดวิธีการฝึกฝนให้คนภายนอก แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าของเผ่ามารก็ไม่ถ่ายทอดความลับเหล่านี้ ล้วนแต่อยู่ในตำรามหามรรคสามพันเล่มที่วัดเก่าในเมืองซีหนิง!
เช่นนี้หมายถึงอะไร
ผู้ใดกล่าวว่าเขาฝึกบำเพ็ญเพียรไม่เป็น เขาเพียงแค่ยังไม่เคยเริ่มฝึก นี่คือความคิดของเขาเมื่อก่อน ตอนนี้ เขารู้ว่าประโยคนี้ก็ผิดพลาด ผู้ใดกล่าวว่าเขายังไม่เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่ เมื่อเวลาที่เขาเริ่มฝึกพูด ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว!
ตำราสามพันธรรมะของวัดเก่าที่ซีหนิง เป็นความรู้ที่แตกแยกออกมาเกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญเพียร พลังจิตในโลกของเขาเมื่อก่อน คือหมอกผืนใหญ่ แต่ตอนนี้วิชาการฝึกบำเพ็ญเพียรที่เขาเข้าใจ คือฝุ่นละอองเม็ดเล็ก กลายเป็นจุดศูนย์กลางท่ามกลางม่านหมอก ด้วยเหตุนี้ไอน้ำจึงเริ่มเกาะตัว เป็นฝนห่าใหญ่ที่โหมตกหนัก!
เฉินฉางเซิงเข้าไปอยู่ในดินแดนที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ หรือกล่าวได้ว่าท่องเที่ยวกำลังท่องเที่ยวอยู่ กล่าวได้ว่าคล้ายจะเข้าใจ และก็กล่าวได้ว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้ คล้ายกับถูกค้อนทุบลงหน้าผาก แต่ที่จริงแล้วการอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุดยังคงเป็นประโยคที่ว่า เก็บสะสมแล้วปะทุออกมา
ตั้งแต่ที่นักพรตจี้เก็บเขามาจากแม่น้ำเล็กๆ จนถึงตอนนี้ก็สิบสี่ปีกว่าแล้ว ทุกวันทุกคืนเขาอ่านตำราไม่หยุดพักมาเป็นเวลาสิบสี่ปี ชีวิตที่ผ่านมาในการอ่านตำราทั้งสิบสี่ปีก็คือขั้นตอนการเก็บสะสม เขาได้ตระเตรียมรากฐานที่เพียบพร้อมอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วต้องการเพียงแค่ช่วงจังหวะหนึ่งเท่านั้น ก็จะสามารถเข้าใจความรู้ทั้งสิบสี่ปี เปลี่ยนแปลงทั้งหมดเป็นความรู้ของโลกใบนี้ต่อตนเอง ต่อจากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นพลังของตนเอง
ก็เหมือนกับดินปืนที่ถูกประกายไฟจุดให้ลุกไหม้
พลังจิตในโลกของเฉินฉางเซิงปรากฏการณ์ระเบิดครั้งใหญ่มาแล้วหนึ่งครั้ง เขาละโมบที่จะอ่านตำราทั้งหมดที่มีของหอตำรา เข้าใจหลักเกณฑ์การบำเพ็ญเพียร ด้วยเหตุนี้จึงนำเรื่องราวบนคัมภีร์เต๋าที่แตกแยกในซีหนิงออกมารวบรวมใหม่อีกครั้ง ทบทวนใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเข้าใจอย่างแท้จริง เข้าใจความลับในการบำเพ็ญเพียรของโลกใบนี้ด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง เข้าใจรายละเอียดวิชาการบำเพ็ญเพียรเหล่านั้น เพียงแค่ทฤษฎีหรือความรู้ทางด้านการบำเพ็ญเพียรบนโลกนี้ ตอนนี้คนที่รอบรู้มากกว่าเขาเกรงว่ามีน้อยอย่างยิ่ง!
แม้ยังไม่สามารถชำระล้างกระดูกสำเร็จ ไม่คาดคิดว่าจะมีความคิดยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ สำหรับเฉินฉางเซิง นี่คือความแปลกใจและดีใจ ทั้งยังเป็นการปลอบประโลมใจ หลังจากอารมณ์เขาสงบลง พลันเกิดสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายและไม่สงบขึ้นมากมาย เขาเดินไปยังริมหน้าต่างของหอตำรา มองไปยังทิศทางของเมืองซีหนิง คิดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ คัมภีร์ในวัดเก่าแห่งนั้นไม่ใช่สิ่งธรรมดา อาจารย์ก็ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เขาเตรียมรากฐานการบำเพ็ญเพียรอย่างเหนียวแน่นแข็งแกร่งเช่นนี้ เพราะเหตุใดถึงไม่ยินยอมสอนการบำเพ็ญเพียรให้ตนเองโดยตรง ต้องรอให้ตนเองมาจิงตูถึงจะเริ่มน่ะหรือ คงจะเพราะโรคของตนเองรักษาไม่ได้ง่ายๆ จึงอยากให้ตนมาที่นี่เพื่อจะดูว่ามีโอกาสอะไรบ้าง
เวลาผ่านไปดั่งสายน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปสิบกว่าวัน คนของจวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่ได้ปรากฏตัวอีก แม่นางที่นามว่าซวงเอ๋อร์ก็ไม่ได้มาอีก ชีวิตที่สงบเงียบไม่ถูกรบกวน เช่นนี้ทำให้เขามีความสุข แต่ถังซานสือลิ่วตลอดมานี้ก็ไม่ได้ปรากฏตัว เช่นนี้ทำให้เขาไม่ค่อยมีความสุข เขาทิ้งที่อยู่ไว้ที่โรงเตี๊ยม คิดว่าฝ่ายตรงข้ามคงจะสามารถหาตนพบ ดีแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นอาจจะกำลังฝึกฝนอย่างหนักที่สำนักเทียนเต้า
สำนักฝึกหลวงมีเพียงเฉินฉางเซิงเพียงผู้เดียว ที่นี่คือสำนักของเขาผู้เดียว
เขาอ่านตำราอย่างสงบ บำเพ็ญเพียรเงียบๆ ค่อยๆ ลืมโลกภายนอก เขาถูกโลกภายนอกลืมเลือน บางคราคิดไปถึงเมื่อตอนอยู่ที่สำนักการศึกษากลาง ได้ยินเสียงพูดคุยเรื่อยเปื่อยเหล่านั้น คิดไปถึงกิจกรรมต้อนรับศิษย์ใหม่ที่ครื้นเครงของสำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารา เขารู้สึกอิจฉา แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเคยชินกับชีวิตที่จืดชืดไร้รสชาติมานานแล้ว เขากับศิษย์พี่อ่านตำราอยู่ที่วัดเก่าในซีหนิง ได้ยินเพียงเสียงของเขาเอง
เพียงแค่การชำระล้างกระดูกแต่ก็ผ่านมาหลายวัน ร่างกายของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มองไม่เห็นความหวังที่จะสำเร็จ เขาจะไม่ละทิ้ง ที่จริงแล้วอาจจะเปลี่ยนเป็นไม่ใส่ใจเล็กน้อย เขาตัดสินใจแล้วหากไม่กี่วันนี้ยังไม่สำเร็จ ก็จะไปหาวิธีการอื่นในตำรา
บางครั้งการไม่ใส่ใจก็ทำให้ผู้คนสูญเสียความฮึกเหิม แต่ก็ทำให้ผู้คนเยือกเย็นยิ่งขึ้น สภาพจิตใจของเฉินฉางเซิงตอนนี้ไม่สามารถกล่าวได้ว่าฟื้นคืนเจตนาเดิม ก็นับได้ว่ากลับไปยังจุดเริ่มต้น เวลานี้จ้องมองบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองบางๆ ผู้ชื่นชอบความสะอาดเช่นเขาขมวดหัวคิ้วขึ้นมา ไม่ยินดีอย่างยิ่ง
ความไม่ยินดีต่อตนเองเช่นนี้ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาคิดว่าตนเองเปลี่ยนเป็นเกียจคร้านขึ้นมาก
เขาตักน้ำที่ใสสะอาดมาจากบ่อ เริ่มเช็ดทำความสะอาดพื้น ฝุ่นละอองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความสะอาดสะอ้าน หลังจากบนพื้นเปียกน้ำเช็ดทำความสะอาดจนสะอาด พลันมีกลิ่นบางอย่างแผ่กระจายอ่อนๆ ออกมา เขาลืมไปแล้วว่านี่คือเหงื่อที่หลั่งออกมาในวันนั้น วันที่จุดแสงสว่างให้ดาวโชคชะตา รู้สึกงุนงง กลิ่นนั้นเบาบางอย่างยิ่ง ถูกลมยามค่ำคืนพัดผ่านคงจะสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาจึงนั่งลงอย่างสบาย เริ่มดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกต่อไป
ทั่วทั้งผืนของสำนักฝึกหลวงเงียบเชียบ เขาหลับตาใคร่ครวญ ลืมสรรพสิ่งและตนเองไปสิ้น จึงไม่ได้ยินเสียงในป่าไม้ภายนอกหน้าต่าง เดิมควรจะเป็นเวลาที่นกพักผ่อน แต่จู่ๆ พลันส่งเสียงดังลอดมา เสียงช่างไพเราะประทับใจ เงียบไปชั่วครู่ กบจึงได้ส่งเสียงร้องกังวานอีกครา น้ำเสียงยินดีอย่างยิ่ง
ผีเสื้อตัวหนึ่งโบยบินมาจากด้านนอกหน้าต่าง ร่อนลงอยู่บนพื้นข้างกายของเขา ไม่ยินยอมที่จะจากไปอีก
เป็นพื้นที่เขาเพิ่งจะเช็ดให้สะอาดสะอ้านตรงนั้น
ตรอกไป๋ฮวาเป็นตรอกธรรมดาที่อยู่ในจิงตู แน่นอน มันเคยมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง เพราะว่าสำนักฝึกหลวงที่อยู่ลึกเข้าไปของตรอกแห่งนี้เคยมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง เวลาเดียวกัน สวนร้อยหญ้าที่อยู่ในตรอกแห่งนั้นก็เคยมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง ที่นั่นเคยเป็นสวนป่าของทางราชวงศ์มาก่อน
การก่อกบฏที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าโจวในครานั้น ก็เกิดที่สวนร้อยหญ้าพอดี ปีนั้นจักรพรรดิไท่ซงเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่ง หวังรีบร้อนประทับบนอาชามุ่งจากจวนไปยังพระราชวัง และพบกับพวกซุ่มโจมตีจักรพรรดิที่ยังหลงเหลืออยู่ที่นี่ ตอนนั้นจักรพรรดิไท่จงยังคงสวมฉลองพระองค์เมื่อตอนยังบรรทม
บทสรุปของกบฏครั้งนั้น ผู้คนทั่วดินแดนต้าลู่ล้วนแต่ทราบดี องค์จักรพรรดิไท่ซงสุดท้ายได้รับชัยชนะอย่างหวุดหวิด ศิษย์พี่ศิษย์น้องของพระองค์ในครานั้นถูกสังหารไปหลายคน เวลาเดียวกันบรรดาผู้ติดตามถูกฟันคออีกหลายร้อยคน
เพราะเหตุนองโลหิตในครานั้น จึงกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์อันไร้เกียรติยศ สวนร้อยหญ้าถูกยกเลิกให้อยู่ในฐานะสวนป่าของราชวงศ์ มอบให้ตำหนักเทียนเต้าดูแล ใช้ในการปลูกพืชสมุนไพรและผลวิญญาณ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนั้นดินของสวนร้อยหญ้ารับเอาโลหิตจำนวนมากมายเพื่อไปบำรุงหรือไม่ อาจจะเป็นเพราะมีศพฝังอยู่ใต้ดินจำนวนมาก พืชสมุนไพรของที่นี่จึงเจริญเติบโตดีงามอย่างยิ่ง จึงถูกราชสำนักให้ความสำคัญอีกครั้ง เฝ้าดูแลอย่างเข้มงวด
ในความเป็นจริง มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ล่วงรู้ สวนร้อยหญ้าถูกดูแลอย่างเข้มงวด นอกจากพืชสมุนไพรและผลวิญญาณเหล่านั้นจะล้ำค่าและหายากแล้ว ยังเป็นเพราะว่ามักจะมีผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่สะดวกจะปรากฏตัวมาพัก เช่นปีนั้นที่องค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกขับไล่ออกจากพระราชวังครั้งแรก จึงได้มาบำเพ็ญเพียรในวัดแห่งนี้ และก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ หลังจากนั้นตำหนักเทียนเต้าจึงได้รับผลประโยชน์มหาศาล
ตอนนี้สวนร้อยหญ้าก็มีผู้มีฐานะสูงส่งกำลังพักอยู่
กำลังปีนป่ายอยู่ด้านล่างของกำแพงเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย มีโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำมาจากหิน บนโต๊ะมีถ้วยน้ำชา ในถ้วยน้ำชามีชาฉงอวี่ซินอันล้ำค่าและพบเห็นได้ยากอย่างยิ่ง มีแม่นางคนหนึ่งกำลังดื่มน้ำชา
ใบหน้าของนางอ่อนเยาว์ นัยน์ตาดำเป็นประกายสีดำ ริมฝีปากราวกับดอกเหมยแดง ขนตาเรียวยาว มีสีแดงระเรื่ออยู่บนพวงแก้มที่ขาวนวลทั้งสองข้าง มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก
นั่นคือความงดงามที่สมบูรณ์ดีอย่างยิ่ง มองดูแล้วทำให้ผู้คนมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ และไม่มีเจตนาร้ายใดๆ อย่างสิ้นเชิง
แต่แม่นางผู้นั้นกลับไม่รู้สึกมีความสุขสักเท่าไหร่ ลักษณะท่าทางเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะว่านางยังหาคนผู้นั้นไม่พบ