ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 272 เศษหญ้า
หน้าผาที่มืดมิด ทางเดินที่อ้างว้าง หุบเหวที่ยื่นมือออกไปแล้วมองไม่เห็นมือทั้งห้านิ้ว มีเพียงแค่สายลมที่พัดมาด้านหน้า ทำให้เส้นผมสีดำข้างแก้มและเสื้อผ้าปลิวไสว
ท้องฟ้าสีดำที่ยิ่งมืดมิด ชุดนักบุญแบบพิธีการใช้สำหรับเข้าพิธีบูชาสีขาวยิ่งสะดุดตา ปลายยอดของหุบเขาอัสดง ผู้เฒ่าดีดพิณค่อยๆ ลูบคลำขุยผงที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาใหม่เหนือสายพิณ ครุ่นคิดเมินเฉย เพลงแรกเศร้าโศกเสียใจ เพลงที่สองวิญญาณแตกดับ เพลงที่สามสิ้นสุด หรือว่าดินแดนมายาจะกักขังเจ้ามิได้? หรือว่าจะมีเผ่ามนุษย์ที่มีจิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินจริงๆ?
เขาเป็นผู้อาวุโสเผ่าพ่อมดทางทิศใต้ที่หายไปอยู่ข้างนอก เขาชำนาญในเรื่องโจมตีทางด้านจิตใจเป็นที่สุด เสียงพิณของเขาสามารถสร้างโลกมายาที่ยากจะแยกแยะระหว่างจริงกับเท็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่ำคืนนี้ เขาอาศัยพลังของหุบเขาอัสดง สร้างโลกเสมือนจริงแห่งนั้นขึ้น ให้สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเข้าไปหวนรำลึกถึงช่วงเวลาบนลำธารสายเล็กๆ ที่ยาวไกลที่สุด ที่เลือนรางที่สุด และก็ยากลืมเลือนที่สุดเหล่านั้น จนไม่อยากกลับมา จนค่อยๆ เคลิบเคลิ้มหรือกระทั่งอาจจะถลำเข้าไปในนั้น สุดท้ายก็จะหลับสนิทไปเป็นเวลานาน ไม่อาจออกไปได้…
ผู้เฒ่าดีดพิณไม่รู้ว่าข้างบนท้องฟ้าของหุบเขาอัสดง มีวิญญาณมังกรดำกำลังจ้องมองทุกสิ่งอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเสียงพิณของตนลากเข้าไปสู่โลกมายา
มังกรดำมองเห็นภาพจำนวนมากของเมื่อหลายร้อยปีก่อน โลหิตของนางรับรู้ถึงกลิ่นอายที่ยังหลงเหลืออยู่ของเผ่ามังกร นางถึงแยกแยะได้ว่าที่แท้ตนเองก็ถูกโจมตีทางจิตใจจากหุบเขาอัสดง ในตอนแรกเริ่มที่ยืนอยู่ในป่ากับเฉินฉางเซิงแล้วมองมายังหุบเขาอัสดง จิตใจของนางรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่าง รู้สึกว่ากำลังมีใครเรียกร้องตน จนกระทั่งเวลานี้ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดโลกใบนี้ถึงให้นางเจ็บปวดเช่นนี้ ที่แท้แล้วสวนโจวมิใช่บ้านของเผ่ามนุษย์ผู้นั้น แต่เป็นบิดาของนาง เป็นสุสานของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่แข็งแกร่งมาแล้วกว่าพันปี
ผู้เฒ่าดีดพิณไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เสียงพิณโลกมายาของเขาปรารถนาที่จะกักขังหญิงสาวชุดขาวผู้นั้น แน่นอนว่าสิ่งที่เขาให้ความสนใจก็คือนาง หญิงสาวชุดขาวเห็นอะไรในโลกมายา เขาไม่อาจทราบได้ รู้เพียงแค่ว่านางมิได้สั่นคลอนแม้แต่น้อย ยิ่งมิได้เคลิบเคลิ้ม ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้โดดเดี่ยว มองออกว่าเป็นโลกมายา อีกทั้งยังทำลายได้อย่างง่ายดาย
นางกัดปลายนิ้วของตนเอง หยดโลหิตมุ่งไปทางเสียงพิณที่บรรเลงอยู่ในอากาศ แสงสีทองพลันกะพริบวาบ บริสุทธิ์น่าเกรงขามทั้งยังร้ายแรงไร้ที่เปรียบ ประหนึ่งซุกซ่อนพลังโลหิตไว้จำนวนไม่ถ้วน…แผดเผาหลอมรวมกับเมฆหมอกอย่างง่ายดาย ทำลายล้างโลกมายาจากเสียงพิณ โลหิตหยดนั้นเป็นเลือดหงส์สวรรค์ในตำนานหรือ?
ผู้เฒ่าดีดพิณมองไปยังทางเดินมืดมิดยามราตรีด้วยใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่ากลับมิได้เอ่ยสิ่งใด ทั่วทั้งเมืองเสวี่ยเหล่าต่างรู้ข้อห้ามเพียงหนึ่งเดียวนั้นดี เมื่ออยู่ต่อหน้าขององค์หญิงหนานเค่อมิอาจกล่าวคำว่าหงส์คำนั้นได้
“เอกลักษณ์ของชีวิตก็คือความปรารถนาที่จะไปถึงยังจุดมุ่งหมายและความสับสนวุ่นวาย ไม่มีจิตวิญญาณที่โปร่งใสสมบูรณ์แบบ ไม่อาจฝึกฝนจิตใจเปี่ยมคุณธรรมจนถึงขั้นสูงส่งและบริสุทธิ์ได้ ในทางกลับกัน จิตใจของนางสับสนวุ่นวายมากกว่าที่เจ้าคาดคิดไว้ ภายนอกจิตใจเปี่ยมคุณธรรมของนางมีสิ่งแปลกปลอมจำนวนมาก เสียงพิณของเจ้าสัมผัสได้เพียงแค่ไม่กี่ชั้น แล้วจะจูงใจนางได้อย่างไร? แม้แต่จูงใจยังทำมิได้ แล้วจะสามารถทำให้นางสับสนได้อย่างไร?”
หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเฉยเมย “ที่จริงแล้วแปลกอย่างยิ่ง หากนางปลอมตัวเช่นนี้ต่อไป บางเวลาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์บางเวลาเป็นคนธรรมดา ในภายภาคหน้าสุดท้ายแล้วจะลืมเลือนหรือไม่ว่าตนเองแท้จริงแล้วคือผู้ใด”
“หากเป็นเช่นนี้จริง ภายภาคหน้านางจะต้องประสบกับปัญหาอันยิ่งใหญ่”
ผู้เฒ่าดีดพิณราวกับว่ากำลังครุ่นคิด ดีดสายพิณแผ่วเบา พลังปราณที่เกาะรวมกันตามเสียงพิณไป ทำให้สันเขาแห่งนี้กับสวนโจวที่แท้จริงแยกออกจากกัน
เดิมทีหญิงสาวไม่คิดว่าเพียงแค่เสียงพิณจะสามารถกักขังฝ่ายตรงข้ามได้ หญิงสาวชุดขาวผู้นั้นใช้เพียงหยาดโลหิตก็ทำลายได้ง่ายๆ ทว่าโลกมายายังคงอยู่ หากอยากออกไปจะต้องพบเจอกัน
มาพบเจอกัน
การพบกันโดยบังเอิญของโชคชะตาก็คือค่ำคืนนี้
นางจ้องมองเส้นทางบนเทือกเขาใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “สัตว์วิกลจริตดังเช่นหงส์ไฟ แต่ไหนแต่ไรล้วนแต่จะแผดเผาตัวตาย ทว่าก่อนที่นางจะแผดเผาตัวตาย ก่อนหน้านั้นจะต้องเสียชีวิตในมือข้า”
……
……
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านทางเดินที่เงียบเหงา ชุดบูชาปลิวสะบัดดุจดังเสื้อคลุมตัวใหญ่ หญิงสาวชุดขาวคล้ายกับว่าเชื่องช้ายิ่งนัก แต่ในความจริงแล้วรวดเร็วอย่างยิ่ง ประหนึ่งนกกระเรียนกระพือปีกบินมายังยอดหุบเขาอัสดง
ยามค่ำคืนของสวนโจวไร้ดวงดาว ทุ่งหญ้าเบื้องล่างเทือกเขากลับมีกลุ่มแสงสลัวด้านใน นั่นคือสิ่งใด? นางครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ขณะมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมหน้าผา
หญิงสาวยืดตัวลุกขึ้น จากนั้นหันกาย พลางเอ่ยว่า “เจ้ามาแล้ว”
หญิงสาวชุดขาวตะลึงงัน วินาทีแรกที่มองเห็นหญิงสาวผู้นั้น นางคาดเดาและมั่นใจว่าคู่ต่อสู้คือผู้ใด อายุเยาว์วัยทว่ากลับแข็งแกร่งเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นหนานเค่อองค์หญิงเผ่ามารที่ในคำเล่าขานผู้นั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงตกตะลึง เป็นเพราะว่านางคิดไม่ถึงว่าหนานเค่อจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้
อายุของหนานเค่อประมาณสิบปี หน้าตาสวยสดงดงาม ความอ่อนเยาว์มิได้หายไป กล่าวได้ว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง ทว่าระยะห่างระหว่างดวงตาของนางกว้างเล็กน้อย นัยน์ตาที่ดำสนิทและเย็นชาคู่นั้นเอียงไปทางหว่างคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาแข็งทื่อไร้ความรู้สึก ด้วยเหตุนี้…มองแล้วจึงรู้สึกเลื่อนลอย
นางคล้ายกับเด็กหญิงที่เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้าน เรื่องที่ต้องทำทุกวันก็คือไปตัดหญ้าให้หมูตะกร้าใหญ่ที่หลังเขาทุกวัน จากนั้นก็กินข้าว นอนหลับรอคอยให้วันพรุ่งนี้ฟ้าสางแล้วไปตัดหญ้าใหม่
ใช่แล้ว นางเป็นเด็กหญิงชาวบ้าน ชีวิตทุกวันของนางก็คือตัดหญ้าให้หมู
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หญิงสาวชุดขาวถึงคิดเช่นนี้ ถึงแม้นางจะมิได้เติบโตในหมู่บ้าน และมิได้ตัดหญ้าให้หมูมาก่อน จนถึงขนาดไม่รู้ว่าหญ้าที่นำมาให้หมูกินมีลักษณะอย่างไร แต่ว่านางก็คิดเช่นนี้
ถ้าหากนี่คือการพบกันโดยบังเอิญของโชคชะตา หนานเค่อก็คงจะคิดมาแล้วหลายคราเป็นแน่ นางก็คิดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
นางคิดว่าตนจะได้เห็นหนานเค่อที่เป็นนกยูงโอหังและถือดีตัวหนึ่ง ในเรื่องเล่าขานนั้น หงส์สวรรค์สามารถบัญชาวิหคนานาชนิด มีเพียงแค่นกยูงที่เยือกเย็นหยิ่งยโส บินไปยังสถานที่พระอาทิตย์ส่องไม่ถึงเพียงลำพัง
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนานเค่อจะเป็นดังเช่นหญิงสาวตัดหญ้าให้หมู มองแล้วเลื่อนลอย ไม่ค่อยพูด น่าเวทนา มิได้ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวด ทุกวันตัดหญ้าให้หมูอย่างต่อเนื่อง
นี่ทำให้นางนึกไม่ถึงว่าจะคล้ายกับการเหม่อลอย
สายลมยามค่ำคืนของหุบเขาอัสดงค่อยๆ พัดล่องลอย เวลาหมุนเวียนผ่านไปเชื่องช้า
นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร รู้สึกไม่เข้าใจความตื่นเต้นทั้งหมด นางไม่รู้ว่าตนจะเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่นามว่าหนานเค่ออย่างไรดี ด้วยเหตุนี้จึงมองไปยังผู้เฒ่าดีดพิณ
นางเป็นหงส์ที่สวรรค์เป็นผู้ลิขิตให้อย่างแท้จริง เพียงแค่ปรายตามองก็เห็นความจริงทะลุปรุโปร่ง
นางมองออกว่าผู้เฒ่าดีดพิณเป็นผู้อาวุโสของเผ่าพ่อมด วิทยายุทธ์อยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย แต่พละกำลังทางด้านจิตใจได้เหนือไปไกลกว่ามาก เหมาะสมกับการสังหารผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในสวนโจวอย่างยิ่ง กุนซือชุดดำเผ่ามารคาดไม่ถึงว่าจะไม่พลาดรายละเอียดเหล่านี้
เพียงแต่ มีบางอย่างที่น่าเสียดาย
นางจ้องมองพิณโบราณบนเข่าของผู้เฒ่า เห็นสายพิณที่ประหนึ่งเส้นใยฝ้าย สั่นศีรษะด้วยความเสียดาย
นั่นเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษเผ่าพ่อมดที่หายสาบสูญไปหลายปี พิณวิราม
ถ้าหากมิได้นำพิณวิรามมาสร้างดินแดนมายา แต่ผนึกกำลังโจมตีกับหนานเค่อ ไม่แน่ว่านางอาจจะได้รับอันตรายอย่างยิ่ง จนขนาดว่าเสียชีวิตไป
หนานเค่อ เอ่ยออกมา “ข้าต้องการสังหารเจ้า ผู้ใดก็ไม่อาจยุ่งได้”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ เส้นผมสีดำขลับของหญิงสาวก็ปลิวสยายในสายลมยามค่ำคืน ประหนึ่งเศษหญ้ากำลังร่วงหล่นลงมา