ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 277 หงส์ร้อง
เงาสะท้อนปกคลุมนอกในสวนโจว
ที่ราบหิมะในกลางดึก ท่ามกลางท้องฟ้าค่ำคืนมีเพียงเกล็ดหิมะจำนวนมาก มองไม่เห็นดวงดาว กลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มองเงาสะท้อนยื่นออกมาจากเมืองเสวี่ยเหล่า
เงาสะท้อนแห่งนั้นดำยิ่งกว่าห้วงอนธการ เยือกเย็นยิ่งกว่าความตาย แทนความแน่วแน่ของราชามาร ไม่ว่าแสงกระบี่เส้นนั้นที่ทะลุอยู่ข้างในจะสว่างตาอย่างไร ก็ไม่อาจทะลวงผ่านได้ในระยะเวลาอันสั้น
แต่ว่าแสงกระบี่เส้นนั้นยิ่งใหญ่มากพอแล้ว ยิ่งใหญ่จนกระทั่งต่อสู้กับเงาสะท้อนแห่งนั้นได้ แสงกระบี่ไม่สามารถตัดเงาสะท้อนขาด กลับตัดสิ่งของอื่นขาดได้อย่างง่ายดาย
อย่างเช่นไหล่ที่น่ากลัวของขุนพลมารลำดับที่สาม รวมถึงลำคอของขุนพลมารลำดับที่เจ็ด ขุนพลมารลำดับที่เจ็ดปิดลำคอ ราวกับภูเขาลูกหนึ่ง ค่อยๆ ถล่มทลาย
แสงกระบี่เส้นนั้นกลับมาอีกครั้ง เข้าไปในปลอกกระบี่ เก็บไอพลังปราณ
แต่แล้วไม่ว่าจะเป็นขุนพลมารลำดับที่เจ็ดผู้กำลังจะตาย หรือว่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามารคนอื่น ล้วนไม่ได้เปลี่ยนแปลงสีหน้าใดๆ เมื่อเห็นภาพนี้ ตัวหมากล้างเลือดผู้จำต้องเสียชีวิตลงในสนามนี้เต็มไปด้วยความไม่แยแสจนทำให้คนหวาดผวา
ซูหลีก้มหัว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ มือขวาจับด้ามกระบี่ ผมสีดำพัดตกกระจายอยู่ที่ไหล่ ตามลมหนาวในค่ำคืน เต้นรำเบาๆ คล้ายมารคล้ายเทพ
สายตาของชุดดำทะลุผ่านทะเลที่ล้ำลึกอึมครึม ตกลงบนตัวของเขา พูดอย่างไม่แยแสว่า “บุตรสาวของเจ้ากำลังจะตายแล้ว เจ้าก็ใกล้ตายแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างไร?”
ประโยคนี้เป็นการโจมตีทางจิตใจอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งพูดได้ว่าเป็นการโจมตีทางจิตใจที่หยาบช้าและเรียบง่ายมาก แต่ความง่ายดายก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพลัง ชุดดำต้องการที่จะใช้ประโยคนี้โจมตีสภาพจิตใจของเขาให้ได้
ซูหลีเงยหน้าขึ้นมา มองชุดดำพลางพูดอย่างสงบว่า “ในเมื่อจะฆ่าข้า ทำไมต้องจงใจให้พวกคนเหล่านี้มาผลัดกันต่อสู้? โยนฟืนเข้าไปในกองไฟไม่หยุดหย่อน ทำได้เพียงถูกแผดเผาจนเป็นขี้เถ้าอย่างต่อเนื่อง”
“เพียงแค่ฟืนที่เติมเต็มนั้นเพียงพอ จะมีสักเค่อที่กลบไฟให้ดับได้” ชุดดำพูดอย่างไม่แยแสว่า “วิธีการต่อสู้ชนิดนี้ทำให้ต้องจ่ายแพงขึ้น แต่ก็สามารถรับรองได้ว่าเจ้าต้องตายแน่ๆ”
ซูหลีเงียบขรึม เพราะว่าเขารู้ว่าสิ่งที่ชุดดำพูดนั้นถูกต้อง
เงาสะท้อนที่มาจากเมืองเสวี่ยเหล่าตัดการเชื่อมต่อระหว่างเขาและโลกเผ่ามนุษย์ อีกทั้งเผ่ามารยังมีผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจำนวนมากที่ยังไม่ได้ลงมือ อย่างเช่นผู้คุมกฎเผ่ามารผู้มหัศจรรย์ท่านนั้น อย่างเช่นชุดดำที่ตั้งแต่ต้นจนจบนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อที่จะฆ่าอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน เผ่ามารทำการวางแผนอย่างรอบคอบ
การวางแผนนี้กระทบไปถึงนอกในสวนโจวรวมถึงต้าลู่ทางใต้ที่ห่างไกล
จักรพรรดิขาวหรือว่าผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์มีแผนตอบโต้อะไรก็ล้วนทำอะไรไม่ทันแล้ว การรุกรานของราชามารกำลังเตรียมพร้อมอยู่ ขุนนางผู้บุกเบิกของเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่าก็รออยู่
วิธีฆ่าเช่นนี้คือการสังหารลบล้าง ชุดดำต้องการจะใช้จำนวนผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่เพียงพอ ลบล้างเจตจำนงกระบี่และพลังใจของซูหลีอย่างสดๆ ก็ฆ่าฝั่งตรงข้ามด้วยวิธีง่ายเช่นนี้กระทั่งมีความน่าเบื่อเล็กน้อย
เพราะว่ามีเพียงวิธีนี้ถึงจะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
“เจ้าเป็นดาวดวงหนึ่งที่สะดุดตามากที่สุดของเผ่ามนุษย์หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ เจ้านำมาซึ่งความไม่คาดคิดจำนวนมากให้กับดินแดนต้าลู่แล้ว และเจ้ารู้ว่าข้าไม่ชอบความไม่คาดคิดมากที่สุด”
ชุดดำมองเขาพลางพูด
ซูหลีเงียบขรึมไปเป็นเวลานานมาก พูดว่า “ไม่ ฆ่าจะไม่ตาย”
เสียงของชุดดำค่อยๆ ดังขึ้น ราวกับแสดงออกถึงมีความน่าสนใจเล็กน้อย ถามว่า “เอ๋? เพราะอะไรหรือ?”
ซูหลีมองเขาพลางพูดอย่างสงบว่า “ไม่มีเหตุผล และก็ไม่มีสาเหตุ ข้าก็แค่คิดว่าตัวเองจะไม่ตาย ในทำนองเดียวกัน ข้าเชื่อนังหนู รวมถึงเด็กเหล่านั้นที่เป็นตัวแทนอนาคตของเผ่ามนุษย์ก็ล้วนไม่ตาย”
ชุดดำพูดว่า “ข้าชื่นชมเจ้ามากที่ก่อนตายยังรักษาความมั่นใจในตัวเองที่ไม่มีเหตุผลขนาดนี้”
ซูหลีหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาสะท้อนปุยหิมะกลางอากาศ ราวกับใกล้ที่จะแผดเผา
……
……
กลัวเจ็บได้ แต่ห้ามกลัวตาย โดยเฉพาะตัวเจ้า… เพราะอะไร? การตายไม่ใช่ว่ามันอึมครึมน่ากลัวกว่าความเจ็บหรือ? อีกทั้งทำไมถึงต้องพูดคำว่าโดยเฉพาะ? ทำไมตัวเองถึงห้ามกลัวตาย?
ขณะตกลงสู่เหวลึกแห่งความตาย สวีโหย่วหรงคิดถึงประโยคนี้ และด้วยเหตุนี้เรื่องราวมากมายพลันแผ่กระจายออกมา จู่ๆ ก็เข้าใจเหตุผลบางอย่าง ฉะนั้นนางจึงลืมตาขึ้น
ทำไมนางถึงห้ามกลัวตายมากที่สุด? เพราะว่านางคือหงส์สวรรค์ โชคชะตาของนางได้ถูกกำหนดไว้แล้ว นางจะต้องยกระดับดวงวิญญาณของตัวเองด้วยความตายและความเจ็บปวดอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งวันหนึ่งช่วงเวลาหนึ่ง นางต้องน้อมรับความตายได้อย่างสงบ อย่างนี้ถึงจะต้อนรับชีวิตใหม่ที่แท้จริงได้!
นี่หมายความว่าต้องมุ่งไปยังความตายเพื่อเกิดใหม่หรือ? เหนียงเหนียง ที่แท้ท่านจะบอกเรื่องนี้กับข้าหรือ? เพียงแต่ในชั่วขณะหนึ่ง สวีโหย่วหรงรู้สึกว่าเหวลึกไม่มีจุดสิ้นสุดที่อยู่ข้างหน้าจู่ๆ ก็สว่างขึ้นมา
นางในตอนนี้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ปราณแท้แห้งเหือด พิษร้ายกำลังแทรกซึมเข้าไปในร่างกายและสติของนาง แต่แล้วเมื่อนางเข้าใจถึงเหตุผล กลับทำให้นางสงบลงมาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สงบคืออารมณ์ที่ไม่หวาดกลัวอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ไม่รู้ นางรู้สึกถึงความอึมครึมเยือกเย็นของความตาย และเมื่อประสบกับความหมายที่แท้จริงของความตาย จากนั้นก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
ความหวาดกลัวนี้ไม่ได้หมายความว่านางจากไปจากสภาพจิตใจที่ไร้ความกลัว ยังคงเป็นการรับรู้ชนิดหนึ่ง การรับรู้ที่แจ่มแจ้งและแน่นอนชนิดหนึ่งที่สลักเข้าไปในห้วงสติอย่างล้ำลึก
มีเพียงความตายเช่นนี้ที่นำมาซึ่งความหวาดกลัวที่ยิ่งใหญ่ ถึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ยากที่จะจินตนาการจากโลกสติที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของนาง พลังเหล่านั้นที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดของนาง!
พลังพลานุภาพเช่นนั้นเริ่มเผาขึ้นมา เริ่มทำให้นางเข้าสู่สถานการณ์แปลกประหลาดที่ผสมผสานความปลอดโปร่งและสับสนมึนงงชนิดหนึ่งเอาไว้ด้วยกัน คล้อยตามการใกล้เข้ามาของความตาย ดวงวิญญาณดวงหนึ่งของนางตื่นขึ้นมาจากส่วนลึกในร่างกาย
นั่นเป็นวิญญาณของหงส์สวรรค์ และก็เป็นวิญญาณของตัวนางเองด้วย
นั่นเป็นตัวเองที่นางไม่เคยเห็น กระทั่งไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
นางลืมตาอยู่ มองเหวลึกที่ดำมืดชนิดมองไม่เห็นห้านิ้ว สายลมราตรีที่ช่างจริงแท้เช่นนี้แม้มองไม่เห็นแต่กลับเยือกเย็น เข้าใจในโชคชะตาของลมหายใจอย่างแท้จริง
โชคชะตาทำให้นางออกจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มาถึงสวนโจว
แต่โชคชะตานั้นไม่ใช่การพบเจอระหว่างนางและหนานเค่อ แต่เป็นการพบเจอตัวนางเอง
พบเจอกับตัวเองอีกคนหนึ่ง ตัวเองที่มีความสมจริงมากที่สุดคนนั้น
การเดินทางครั้งนี้ไม่สูญเปล่า!
ขณะตกหล่นลงสู่ความตาย นางแสดงความทอดถอนใจออกมาจำนวนมาก
ในเหวลึกที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงา ในหน้าผาที่เงียบสงบ บนเขาอัสดงที่สูงยิ่ง ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลในสวนโจว จู่ๆ ก็มีเสียงร้องชัดเจนดังขึ้นมา
เสียงนั้นไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความเป็นเด็กอยู่เล็กน้อย กลับชัดเจนอย่างไร้ที่เทียบ
เทียบกับเสียงร้องที่ดังชัดเจนนี้ เสียงร้องของหนานเค่อก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใจกว้างพอ
เสียงร้องที่ชัดเจนนี้ เป็นเสียงร้องของลูกหงส์
กลิ่นอายของผู้เป็นราชินีแสดงออกอย่างชัดแจ้งในเสียงร้องนี้
……
……
หนานเค่อยืนตรงอย่างเงียบๆ ที่ข้างหน้าผา ไม่รู้ว่ากำลังไว้อาลัยคู่แข่งแห่งชะตากรรมที่ตายไปคนนั้น หรือกำลังทอดถอนใจว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปชีวิตของตัวเองก็จะเข้าสู่ความเงียบเหงา
ผ่านไปสักพัก นางหันหลังเดินไปยังที่ราบหินที่อยู่บนหน้าผา
คนผู้นั้นตายแล้ว แม้จะมีความไม่สบอารมณ์และว่างเปล่าเพราะเป็นไปตามที่คาดไว้เล็กน้อย แต่สิ่งที่มากกว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นความพอใจ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครบินเทียบกับนางในท้องฟ้าแห่งนี้อีก นี่เป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การดีใจมาก
จากนั้น เสียงร้องของหงส์พลันดังสนั่นทั่วหน้าผาภูเขา
นางหยุดการก้าวเท้าลง หันหลังมองไปยังท้องฟ้าค่ำคืนที่นอกหน้าผา บนในหน้าแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ
ปีกไฟคู่หนึ่งสยายออกมาท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ส่องสว่างกำแพงหน้าผา นำพาสวีโหย่วหรงโบยบินไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล