ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 278 หมาป่าหอน
ปีกไฟคู่หนึ่งกางสยายออกมาท่ามกลางท้องฟ้าราตรีกาล โบยบินไปยังบริเวณห่างไกลดุจดาริกาดาวดวงหนึ่งที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ส่องสว่างสะท้อนสายตาทั่วทุกสารทิศ สะดุดตาเป็นอย่างมาก
หนานเค่อยืนอยู่ข้างหน้าผา มองภาพฉากนี้อย่างเงียบขรึม ดวงหน้าเล็กๆ ขาวซีดผิดปกติ ร่องรอยบาดแผลที่ขนหงส์หมื่นเส้นเหลือไว้บนตัวนาง ถูกนางใช้พลังปิดทับแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่สามารถปิดทับโทสะและอารมณ์ในใจของนางได้
เสียงนกยูงร้องไพเราะชัดเจนแต่เต็มไปด้วยโทสะอย่างผิดปกติ เปล่งออกมาจากระหว่างริมฝีปากของนาง ส่งไปยังบริเวณห่างไกล ราวกับกำลังเรียกร้องบางสิ่ง ผู้เฒ่าดีดพิณได้ยินเสียงสีหน้าก็แปรเปลี่ยนกะทันหัน ยื่นมือหมายเหนี่ยวรั้ง กลับเป็นเพราะสภาพร่างที่บาดเจ็บจึงไม่สามารถลุกได้ ทำได้เพียงมอง ในเค่อต่อไป หนานเค่อกระโดดลงไปที่นอกหน้าผาต่อหน้าต่อตา!
……
……
ลูกหงส์น้อยเสียงร้องชัดดังถ้วนทั่ว สวนสามแห่งในบริเวณเขตสวนโจว มีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จำนวนมากรวบรวมตัวกันตรงนี้ ปรากฏการณ์ฟ้าดินวิปริตแปรปรวนที่เกิดจากสนามเลือดแห่งการต่อสู้บนยอดเทือกเขาอัสดงก่อนหน้านี้ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมาก แน่นอน พวกเขาเองก็ไม่ได้พลาดเสียงหงส์ร้องเสียงนั้นเช่นกัน
ในภูเขาป่าที่เงียบอึมครึมยิ่งกว่า ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายจำนวนหนึ่งที่ยังคงแอบผจญภัยค้นหาขุมทรัพย์ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงใช้เวลาสองวันสองคืนก็หาไม่เจอ สัญญาณดอกไม้ไฟของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าก็ไม่สามารถทำให้คนเหล่านี้ปรากฏร่องรอยการเดินทางออกมาได้ ในนั้นมีผู้บำเพ็ญไร้สำนักอายุสามร้อยทางใต้ท่านหนึ่ง เวลานี้อยู่ที่ข้างต้นไหวแก่ต้นหนึ่ง ตามย่อหน้าหนึ่งของการบรรยายในสมุดบันทึกของคนเก่าแก่ พยายามหาศาสตราที่พลังยิ่งใหญ่อย่างยิ่งชิ้นหนึ่งที่เผ่าพ่อมดทางใต้ทำตกหล่นในสวนโจว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหงส์ร้องนี้ หันศีรษะมองไปอย่างกะทันหัน สีหน้าที่ซีดชราถูกส่องสว่างด้วยคู่ปีกไฟในท้องฟ้าค่ำคืน ดวงตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยแสดงสีหน้าอารมณ์สะเทือนใจ จากนั้นเปลี่ยนเป็นความโลภอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนเดินอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า ดวงตาของเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้แล้ว แต่ความสามารถในการฟังยังคงปราดเปรียว ตอนที่เสียงหงส์เสียงนั้นดังขึ้น เขาหยุดการก้าวเท้าลง ชีเจียนลืมตาด้วยความยากลำบาก มองไปยังท้องฟ้าค่ำคืนทางด้านตะวันตก พูดด้วยความอ้างว้างเล็กน้อยว่า “ใช่ศิษย์พี่สวีหรือไม่? นางก็เข้าสวนโจวเช่นกันหรือ?”
“น่าจะเป็นนาง” เจ๋อซิ่วฟังเสียงหงส์ร้องที่ข้างหูเสียงนั้นซึ่งสะท้อนไปมาในท้องฟ้าบนที่ราบทุ่งหญ้า พูดยืนยัน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังการเปิดสวนโจวในปีนี้ล้วนเป็นกลลวงของเผ่ามาร ในรายนามบุคคลที่เผ่ามารจรดรายชื่อไว้ว่าต้องสังหาร แน่นอนว่ามีชื่อของสวีโหย่วหรง ชีเจียนพูดอย่างเหนื่อยล้าหมดแรงว่า “ไม่รู้ว่าเผ่ามารจะส่งใครไปสู้กับนาง แต่ว่า…น่าจะไม่เป็นไร”
สวีโหย่วหรงและชิวซานจวินไม่ใช่คนเก่งเยาว์วัยธรรมดา สายเลือดพรสวรรค์ของพวกเขาอุดมไปด้วยข้อได้เปรียบที่เข้มข้น ในโลกใบเล็กที่มีข้อจำกัดอย่างสวนโจวนี้ ตามหลักแล้ว เผ่ามารน่าจะทำอะไรสวีโหย่วหรงไม่ได้ถึงจะถูก แต่นึกถึงหมากล้างเลือดกระดานนั้นที่ข้างทะเลสาบและการก่อกบฏอย่างกะทันหันของศิษย์พี่สามคน ชีเจียนยังคงมีความกังวลมาก
เจ๋อซิ่วนึกถึงโฉมสะคราญสองคนนั้นที่บุคลิกไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ทว่ารูปร่างหน้าตาราวกับเป็นฝาแฝด สาวสวยสองคนนั้นที่ปลายนิ้วปล่อยสิ่งเรียวยาวเขียวอึมครึม หรือก็คือพิษร้ายที่บิดตัวขยับเขยื้อนเอื่อยเฉื่อยที่บริเวณไกลจากลูกตาตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน ใจรู้ว่าสาวสองคนนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นสองปีกของหนานเค่อ พลางพูดว่า “หนานเค่อมาแล้ว คนที่ต่อสู้กับสวีโหย่วหรงแน่นอนว่าต้องเป็นนาง เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครชนะใครแพ้”
ทั้งดินแดนต้าลู่ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่ามาร ท่ามกลางขั้นทะลวงอเวจีทั้งหมด ผู้ที่คุกคามสวีโหย่วหรงได้ กลับมีแค่หนานเค่อเพียงผู้เดียว
ได้ยินชื่อของหนานเค่อ สีหน้าของชีเจียนขาวซีดยิ่งกว่าเดิม เงียบขรึมสักพักแล้วพูดต่อว่า “ต่อไปพวกเราจะไปที่ไหน?”
เวลาเข้ากลางคืนแล้ว ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลกลับไม่ได้ลาลับฟ้า ถ้าพูดว่ากลุ่มก้อนที่มหัศจรรย์…กลุ่มก้อนแสงที่เลือนรางซึ่งลอยแขวนอยู่บนเส้นแนวราบนั่นก็คือพระอาทิตย์ สามีภรรยาขุนพลมารที่แข็งแกร่งคู่นั้นเฝ้าอยู่นอกที่ราบทุ่งหญ้า พวกเขาออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงเดินอยู่บนที่ราบทุ่งหญ้า ฉะนั้น ควรไปตรงไหน? ว่ากันว่าในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลซ่อนสิ่งอันตรายที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คนทำได้แค่เข้ามา แต่ไม่สามารถออกไปได้ แล้วอันตรายอยู่ที่ไหน? เจ๋อซิ่วพูดว่า “หยิบกุณฑีชลธารเคลื่อน”
ชีเจียนหยิบกุณฑีชลธารเคลื่อนออกมาตามที่ว่า มีความไม่เชื่อตาของตัวเองเล็กน้อย พูดว่า “พวกเราเข้ามาสามชั่วยามแล้ว?”
พระอาทิตย์สีแดงฉานอบอุ่นแต่มองเห็นไม่ชัด ห้อยอยู่เส้นขอบข้างที่ราบทุ่งหญ้าและเส้นแบ่งเขตฟ้าและดิน หมุนอย่างไม่หยุดหย่อน เส้นแสงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ รู้สึกว่าจะเกิดปัญหาเรื่องเวลาได้ง่ายดายยิ่ง แต่สาเหตุที่ทำให้ชีเจียนตกใจขนาดนี้ไม่ใช่แค่นี้ เจ๋อซิ่วได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ความเร็วในการขยับไม่เคยลดลง สามชั่วยาม อย่างน้อยต้องเดินไปได้ร้อยกว่าลี้ แต่ไฟที่ยอดเทือกเขาอัสดงในก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เห็นอย่างชัดเจนเช่นนี้ เสียงหงส์ร้องเสียงนั้นราวกับอยู่ข้างหู เวลานี้เมื่อหันศีรษะมองไป ภูเขา…ยังอยู่ตรงนั้น
เดินอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าเป็นเวลาสามชั่วยามแล้ว พวกเขากลับเหมือนกับเพิ่งจะเข้ามา
ได้ยินชีเจียนบรรยาย เจ๋อซิ่วก้มหัวเงียบขรึมเป็นเวลานาน
ที่ราบทุ่งหญ้าในตำนานแห่งนี้ ในที่สุดก็เริ่มแสดงด้านมืดที่แปลกประหลาดต่อผู้เยาว์วัยสองคนนี้
จู่ๆ ในส่วนลึกของหญ้าที่ข้างหน้าก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับมีอสูรป่ากำลังเดินทะลุผ่าน
เค่อต่อไป เสียงเหล่านั้นก็หายไปเกือบหมด แต่นั่นไม่ได้แปลว่าสิ่งอันตรายอันตรธานจากไป
ชีเจียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย รู้สึกอยู่เสมอว่าในพงหญ้ามีสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังแอบมองตัวเองอยู่
เจ๋อซิ่วก้มหัว เอียงศีรษะ ฟังเสียงที่ส่งออกมาจากในหญ้าป่าข้างหน้า สีหน้ายิ่งมายิ่งเคร่งขรึม ยิ่งมายิ่งดูไม่ได้
ตั้งแต่เด็กเขาใช้ชีวิตอยู่บนที่ราบหิมะ อาศัยการล่าสัตว์อสูรเป็นชีวิต แน่นอนว่าได้ยินอย่างชัดเจน เสียงเหล่านั้นล้วนเป็นเสียงเดิน บินต่ำ และเสียงเสียดสีของเขี้ยวสัตว์อสูร กระทั่งยังมีเสียงหยดลงของของเหลว และที่น่ากลัวที่สุดคือ เพียงแค่ระยะเวลาอันสั้น เขาก็ได้ยินเสียงของสัตว์อสูรอย่างน้อยเจ็ดประเภท อีกทั้งสัตว์อสูรเหล่านั้นล้วนเป็นสัตว์อสูรแข็งแกร่งที่พบยากมากบนที่ราบหิมะ
บนที่ราบหิมะเขาเป็นผู้ล่า แต่ในที่ราบทุ่งหญ้าของสวนโจวแห่งนี้ สัตว์อสูรเหล่านั้นคล้ายกับมองว่าเขาและชีเจียนเป็นเหยื่อ นี่ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่คุ้นชินและเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง อีกทั้งเขาเข้าใจชัดเจนมาก ถ้าหยุดลงเช่นนี้ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก
เขาเงยหัวขึ้นมา มองไปยังส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า
ตาของเขามองไม่เห็น นัยน์ตาไม่รวมศูนย์ได้ กลับแสดงออกคล้ายไม่แยแส อีกทั้งสิ่งประหลาดมารสีเขียวยังได้ครองรูม่านตาไปหมดแล้ว มองดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง
ชีเจียนซบอยู่บนไหล่เขา มองหน้าด้านข้างของเขา จิตใต้สำนึกรู้สึกมีความหนาวเย็นน่าหวาดกลัวเล็กน้อย ร่างกายสั่นสะท้าน
“ไม่ต้องกลัว” เจ๋อซิ่วพูดอย่างไร้สีหน้า
เพิ่งพูดจบ เสียงเสียดสีที่แน่นขนัดในร่างกายของเขาก็ดังขึ้นมาเป็นชุด นั่นเป็นเสียงเสียดสีของกระดูกและกล้ามเนื้อ กระทั่งเป็นการรวมตัวใหม่ ขนหมาป่าที่แข็งทื่อจำนวนมากงอกออกมาจากโหนกแก้มของเขา เข่าสองข้างของเขาพับลงไปที่ด้านหลังอีกครั้งอย่างประหลาด ฟันของเขาค่อยๆ ยาวขึ้น จนกลายเป็นเขี้ยวแหลมคมไร้ใดเปรียบ ยื่นออกมาจากริมฝีปาก…การแปลงร่างของเผ่าปีศาจ!
ตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเจ๋อซิ่ว ลมหายใจก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลิ่นอายที่เยือกเย็นแต่อำมหิตสายหนึ่งแพร่กระจายข้ามผ่านไปในหญ้าป่าที่อยู่บนทางเดินข้างหน้า
ส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ จู่ๆ ก็เกิดเสียงสวบสาบอีกครั้ง ต่อจากนั้น เสียงย่างเท้าพลันดังขึ้น ยังมีเสียงขู่คำรามทุ้มต่ำที่เย่อหยิ่งระคนยั่วยุ
สำหรับการแปลงร่างของเผ่าหมาป่าเยาว์วัย สัตว์อสูรบนที่ราบทุ่งหญ้าเหล่านี้ต่างอ่อนไหวอย่างยิ่ง ทำการตอบสนองอย่างทันทีทันใด
หลังจากที่เจ๋อซิ่วแปลงร่าง นัยน์ตาทั้งดวงแดงก่ำ ขณะพิษร้ายของขนนกยูงปนเปื้อนอยู่ ทำให้เปลี่ยนกลับไปเป็นสีเหลืองมะนาวอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่เขามองไม่เห็นสิ่งใด กลับมองตรงๆ ไปยังข้างหน้าอย่างเงียบๆ ราวกับกำลังจ้องมองตาของสัตว์อสูรเหล่านั้น
โบร๋ววว! เสียงหมาป่าหอนที่เยือกเย็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งทรงพลานุภาพอย่างยิ่ง รุนแรงอย่างยิ่งเสียงหนึ่ง ลอดมาจากริมฝีปากของเขา แพร่สะพัดกระจัดกระจายในที่ราบทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว!
สายลมเย็นพัดลู่ใบหญ้าป่า กิ่งไม้เศษหญ้าจำนวนมากล้มลง สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของสัตว์อสูรจำนวนมากได้บ้าง
สัตว์อสูรเหล่านั้นฟังออกถึงความยิ่งใหญ่และความแน่วแน่สู้ไม่ถอยจากเสียงหมาป่าหอนนี้ คล้อยตามเสียงเสียดสีที่ดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็กระจายหายไปจากทั้งสี่ทิศ
ชีเจียนซบอยู่ที่หัวไหล่ของเจ๋อซิ่ว หวั่นกลัวรูปร่างของเขาในตอนนี้ขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ แม้เขาจะบอกไว้ก่อนหน้าแล้วว่าไม่ต้องกลัว
ฉะนั้น เขากอดเจ๋อซิ่วแน่นกว่าเดิม แก้มแนบชิดกว่าเดิม เขาพูดกับตัวเองว่า มองไม่เห็นอย่างนี้ ก็จะไม่กลัว
ไม่รู้เป็นเพราะท่าทีของเขา หรือว่าสายตาอันกระหายเลือดที่มองย้อนกลับมาของเหล่าสัตว์อสูรซึ่งกำลังจากไปเหล่านั้น ร่างกายของเจ๋อซิ่วแข็งค้างเล็กน้อย เสียงพูดก็ไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “พวกเรา…จำเป็นต้องหาวิธีหลบหนีออก มิฉะนั้นหากพวกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่แท้จริงเหล่านั้นได้ยินเสียง ก็จะมาเดินตระเวน”
ชีเจียนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ใจคิดว่าเจ้าพูดอย่างไรก็ว่าตามนั้นเถอะ
……
……
เสียงหอนอันคลุ้มคลั่งของเผ่าหมาป่าวัยเยาว์ สะท้อนไปมาบนที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล กลับไม่ได้ส่งไปนอกที่ราบทุ่งหญ้า ในสวนโจวซึ่งเป็นโลกใบเล็กนี้ แต่เดิมก็มีจุดที่มหัศจรรย์ยากที่จะเข้าใจจำนวนมาก ก็เหมือนกับด้านล่างเทือกเขาอัสดงก่อนหน้า เสียงหงส์ร้องที่ดังลั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ก็ไม่ได้ส่งไปในทุกที่ทุกมุมของสวนโจวอย่างแท้จริง เพราะมีบางสถานที่ซึ่งราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่งในอีกโลกหนึ่ง
ด้านล่างน้ำตกที่ปลายธารน้ำแห่งนั้นมีสระเยือกเย็นสระหนึ่ง อีกฝั่งของสระมีทะเลสาบ ข้างทะเลสาบก็คืออีกโลกหนึ่ง
คนเหล่านั้นในโลกใบนั้นไม่ได้ยินเสียงหงส์ร้อง เหลียงเสี้ยวเซียวและจวงห้วนอวี่ไม่ได้อยู่ในป่าไม้แล้ว ไม่รู้ไปที่ไหนแล้ว ส่วนลึกของน้ำทะเลสาบที่มองผิวเผินแล้วเหมือนสงบนิ่งยังคงราวกับว่าคึกคัก ฟองน้ำแน่นขนัดจำนวนมาก ยิงออกมาจากระหว่างสองปีกแสงนั้น จากนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยความเร็วสูง
เฉินฉางเซิงถูกหญิงสาวที่งดงามแต่น่ากลัวสองคนใช้ปีกแสงห่อหุ้มไว้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยินเสียงหงส์ร้องเสียงนั้น อีกทั้งแม้เสียงหงส์ร้องจะส่งเข้าไปในหูของเขาก็ไม่ทำให้เขาเกิดการตอบสนองใดๆ เพราะว่าเวลานี้เขาใกล้ที่จะถูกปีกแสงสองปีกทำให้กลายเป็นไข่มุกที่สว่างไสวแต่อารมณ์ตายด้านเม็ดหนึ่ง ราวกับแมลงที่ถูกใยแมงมุมยึดไว้ มีโอกาสตายทุกชั่วขณะ สมาธิทั้งหมดของเขาล้วนอยู่กับการหาเส้นทางรอดชีวิต
เส้นทางรอดชีวิตอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่มีทางจริง ฉะนั้นก็ต้องใช้กระบี่เปิดเส้นทางออกมา ปัญหาคือ เขาตอนนี้ไม่มีกำลังที่จะจับกระบี่สั้นของตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตัดปีกแสงคู่นี้ หรือเส้นทางรอดชีวิตจะเป็นเจตจำนงกระบี่ที่เท็จปลอมแต่เที่ยงแท้ไร้ใดเปรียบในทะเลสาบสายนั้น? แม้ว่าเขาจะอยากตามเจตจำนงกระบี่นั้นไป แต่จะทำได้อย่างไร?
ก่อนที่จะถูกห่อหุ้มด้วยปีกแสง เขาพยายามจุดไฟเผาน้ำทะเลสาบนอกส่วนลึก กลับไม่มีความหมายใดๆ ก็เหมือนกับที่เขาดิ้นรนและขยับดีดตัวในตอนแรกสุดเช่นนั้น แสดงออกได้เพียงความน่าขันเล็กน้อย ลำคอของเขาถูกสาวสวยเผ่ามารคนนั้นบีบไว้ ร่างกายของเขาถูกสตรีร่างเปลือยคนนั้นควบคุมไว้ แสงปีกสองสายนั้นนำมาซึ่งความกดดันน่ากลัวไร้ที่สิ้นสุด กดทับปราณแท้หยดสุดท้ายและทุกอิริยาบถของเขา เขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วมือเดียว กระทั่งกะพริบตาก็ยังไม่ได้ ทำได้เพียงรับรู้ถึงแรงกระเพื่อมบนลูกตาจากน้ำทะเลสาบอันเยือกเย็น ลมหายใจของเขายิ่งมายิ่งอ่อนแรง ความคิดยิ่งมายิ่งอลหม่าน มองดวงหน้าที่ชดช้อยสวยงามสองใบที่ถูกสะท้อนด้วยปีกแสงบนน้ำทะเลสาบ รู้ว่าอึมครึมอย่างมาก ใจคิดว่าหรือนี่คือรูปลักษณ์ของยมทูต?
ตอนนี้ ขนาดเขาผู้ซึ่งการขับเคลื่อนปราณแท้ยังถูกพลังของปีกแสงกดทับไว้ สิ่งเดียวที่ยังขยับได้ก็คือจิตสัมผัส ก่อนที่ความตายที่แท้จริงจะมาถึง เฉินฉางเซิงผู้ชั่วกาลไม่มีวันยอมแพ้ แน่นอนว่าเขาต้องลองใช้จิตสัมผัสหนีภัย ปัญหาอยู่ที่เขาไม่ได้บำเพ็ญถึงระดับขั้นที่เพียงคิดก็สังหารคนได้ ไม่ว่าจิตสัมผัสจะสงบนิ่งและยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่อาจนำมาใช้การในการต่อสู้ได้
จิตสัมผัสทำอะไรได้บ้าง? ก่อนที่เขายังไม่ได้ขบคิดเรื่องนี้ให้ชัดเจน จิตสัมผัสก็ได้ตกลงบนกระบี่สั้นแล้ว
โดยไร้สุ้มเสียง กล่องจำนวนหนึ่งปรากฏออกมาในโลกที่ตัดขาดจากปีกแสงคู่นั้น