ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 4 สำนักเทียนเต้า
เหมือนทุกๆ เช้าตรู่ของสิบสี่ปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงตื่นเวลายามห้า เขาลืมตาขึ้นทันที ใช้เวลาที่พักผ่อนและเงียบสงบห้าอึดใจจึงพลิกตัวลุกจากเตียง ใส่รองเท้าและสวมเสื้อผ้า พับที่นอนให้เป็นระเบียบ จึงไปล้างหน้าล้างตา เขากินข้าวต้มเนื้อเป็ดถ้วยหนึ่งและซาลาเปาเนื้ออุ่นๆ ที่อยู่ในเข่งชั้นแรกสี่ลูกอยู่ที่ด้านหน้าของห้องโถงในโรงเตี๊ยม กลับมาถึงห้องพัก เขาใช้ชาเก่าของคืนเมื่อวานมาบ้วนปาก ส่องกระจกทองแดงเพื่อจัดระเบียบของเสื้อผ้า หลังจากนั้นเดินออกไปที่สวนหย่อม
ตอนนี้ไม่ได้อยู่วัดเล็กๆ ที่เมืองซีหนิง ไม่จำเป็นต้องหาบน้ำตัดฟืน เขาหันเข้าหาหมอกแรกอรุณและแสงท้องฟ้าจากที่ไกล หลับตาลงแล้วเริ่มใคร่ครวญอย่างสงบ ในสมองนั้นอ่านอาขยานคัมภีร์เต๋าอย่างเงียบๆ จนกระทั่งจิตใจผ่อนคลาย ถึงจะนับว่าการเรียนนี้บรรลุผล จากประตูด้านข้างคือถนนที่ค่อยๆ คึกคักมุ่งไปสู่เมืองจิงตู ไปอยู่รวมกับฝูงชนได้อย่างไม่เตะตา ชีวิตวันหนึ่งของเขาจึงได้เริ่มขึ้น
ในมือของเขาคือใบรายชื่อใบหนึ่ง บนนั้นคือรายชื่อของสำนักศึกษาหลากหลายที่ในเมืองจิงตู มุ่งไปถามที่อยู่ของสำนักอันดับแรกจากผู้ดูแลเมือง เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่ได้ระแวดระวังว่าด้านหลังมีรถม้าได้ตามตนอยู่ ไม่ได้เห็นว่าม้าตัวนั้นเป็นม้าที่มีสายเลือดของอาชาเขาเดียว ยิ่งมิได้ระวังว่าแอกหน้ารถนั้นมีตราสัญลักษณ์ของสายเลือดหงส์อยู่
หลายปีที่ผ่านมาสุสานเทียนซูเปิดสอนเกี่ยวกับการเรียนรู้วัฒนธรรม พัฒนาลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วน แต่แม้มีหมื่นเปลี่ยนแปลงหลักการก็ยังคงเดิม การเสาะแสวงหาต้นตอของเรื่องราว ล้วนแต่ครอบคลุมอยู่ในตำราเต๋า ไม่ว่าจะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตร การก่อสร้าง และการค้าขาย ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ และมาตรฐานที่ใช้ในการตัดสินการดำเนินการเหล่านี้ ตอนนี้สิ่งที่เป็นที่ยอมรับสำหรับทุกคนมากที่สุดก็คือการสอบใหญ่ของราชวงศ์ต้าโจวปีละหนึ่งครั้ง
การสอบใหญ่ริเริ่มจากจักรพรรดิไท่จู่ราชวงศ์ต้าโจว ไม่ว่าจะเข้ามาสำนักเพื่อเป็นขุนนางหรือเข้ากองทหารเป็นขุนพล หรืออาจจะเข้านิกายหลวงเพื่อเป็นเทพผู้ดูแล ผลคะแนนของการสอบใหญ่เป็นมาตรฐานที่สำคัญที่สุด ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คือคำสั่งของจักรพรรดิไท่จู่ มีเพียงแค่ผู้ผ่านการสอบใหญ่สามคนแรก ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าสุสานเทียนซูเพื่อเยี่ยมชมสุสานเทียนซู กฎระเบียบข้อนี้เป็นเพราะผู้แกร่งกล้าบนโลกนี้มีจำนวนไม่รู้เท่าไหร่ ทุกต้นปีจะเดินมายังจิงตู ในปีที่จัดการสอบใหญ่เป็นครั้งแรกนั้น จักรพรรดิไท่จู่ยืนอยู่บนกำแพง จ้องมองมายังผู้มีพรสวรรค์ของทุกสำนักในแผ่นดินราวกับฝูงปลาจำนวนมากมายที่กำลังแหวกว่ายเข้ามา หัวเราะพลางกล่าวประโยคที่ขึ้นชื่อประโยคนั้น และได้วางรากฐานของการสอบใหญ่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
บรรดาอาณาจักรในแดนใต้มีพรรคฉางเซิงและพรรคแห่งอื่น เป็นธรรมดาที่จะไม่พอใจกับกฎระเบียบข้อนี้ จากมุมมองของพวกเขา ถึงแม้เทียนซูจะอยู่ที่จิงตูในต้าโจว แต่เทียนซูยังเป็นสิ่งของที่ประทานมาจากสรวงสวรรค์ แน่นอนว่าเป็นทรัพย์สินของทุกคน เพราะเหตุนี้ ทิศใต้ได้ต่อต้านการสอบใหญ่หลายครา ความสัมพันธ์ของทั้งสองปะทุขึ้นเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
เพียงแค่สุสานเทียนซูมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บำเพ็ญเพียร ถึงแม้ราชวงศ์ต้าโจวมีอำนาจแข็งแกร่ง ก็ไม่มีหนทางที่จะไม่สนใจคนรอบข้างโดยยึดใช้แต่เพียงผู้เดียว อำนาจของทางทิศใต้ เดิมทีก็ไม่มีหนทางที่จะต่อต้านหรือคัดค้านความยั่วยวนใจที่จะมาเข้าชมสุสานเทียนซูได้ ถึงแม้เผ่ามารหลังจากถูกตีถอยไปทั้งสองฝั่งค่อยๆ ห่างไกลกันตามกาลเวลา ทิศใต้ภายนอกกำลังต่อต้าน แต่ยังมีสำนักมากมายที่ยังคงส่งผู้แกร่งกล้าเข้าร่วมการสอบใหญ่เป็นการส่วนตัว
จนกระทั่งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ดูแลบริหารแคว้น ในที่สุดราชวงศ์ต้าโจวและผู้ครองแคว้นทางใต้ทำข้อตกลงมีอำนาจร่วมกัน บรรดาผู้ครองแคว้นและบรรดาพรรคต่างๆ ของทิศใต้ ได้แต่งตั้งคณะทูตที่สมัครใจเข้าร่วมการสอบใหญ่ของราชวงศ์ต้าโจว พิจารณาให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นผู้ตั้งข้อกำหนดการตัดสิน ดังนั้นลูกศิษย์ของทิศใต้สามารถไม่รับตำแหน่งขุนนางของต้าโจวได้ นอกจากนี้ยังให้ความเสมอภาค ก็คือในข้อตกลงการสอบใหญ่มีรายชื่อใหม่ทั้งหมด
หลายปีมานี้ การสอบใหญ่คัดเลือกผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วน กล่าวกันว่าขณะนี้ผู้แกร่งกล้าที่เป็นเลิศของแผ่นดิน ล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านการสอบใหญ่ทั้งสิ้น เป็นเรื่องจริงที่ชาวต้าโจวล้วนรับรู้ ส่วนนิกายหลวงในปัจจุบัน ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเทพธิดาทางทิศใต้ เป็นผู้ที่เคยผ่านการสอบใหญ่มาอย่างงดงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้มีความสามารถของเผ่าปีศาจเหล่านั้นล้วนแต่เคยแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ แม้แต่องค์ชายน้อยของเผ่ามารองค์หนึ่งก็ยังเคยผจญภัยมาที่จิงตู ทว่ากลับถูกศิษย์รุ่นพี่ของสำนักฝึกหลวงจับได้ เนื่องจากความสามารถของมหาเทพถูกกดไว้ในควันดำ
นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ผู้คนต่างให้ความสนใจก็คือการสอบใหญ่ของปีหน้า ชิวซานจวินแห่งสำนักฉางเซิงจะเข้าร่วมหรือไม่ กฎแดนสวรรค์เจ็ดประการจะมีกี่คนที่สามารถฝ่าทะลวงเข้าไปได้สักด่าน สวีโหยว่หรงสามารถตีทะลวงได้ก่อนกำหนดหรือไม่ ลงจากยอดเขาเทพธิดากลับมาจิงตู ผู้มีพรสวรรค์แกร่งกล้าสงบเยือกเย็นลึกลับผู้มีชื่อเสียงของเผ่ามารที่อยู่ในทุ่งป่ารกร้างคนนั้นจะปรากฏตัวต่อหน้าโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก หรือว่าจะตามรบราฆ่าฟันกับผู้แกร่งกล้าเผ่ามารคนอื่นต่อไปหรือไม่ นอกจากเรื่องพวกนี้ พวกเราชาวจิงตูที่เป็นห่วงก็คือในสำนักศึกษาของจิงตูจะปรากฏผู้มีพรสวรรค์อย่างไรบ้างต่อหน้าผู้คน
ถูกต้อง จิงตูมีสำนักมากมาย การบริหารบ้านเมืองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำให้รู้สึกว่าอยู่ภายใต้ความเข้มงวด แต่การปฏิบัติงานมีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ความเป็นอยู่ของประชาราษฎร์ค่อยๆ ดีขึ้น หลายสิบปีมานี้มีแต่ความสงบสุข เรียกได้ว่าเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรือง หลากหลายสำนักก่อตั้งขึ้นประหนึ่งหน่อไม้หลังฝน จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ยังมีหลายสำนักที่ก่อตั้งมาเพื่อการสอบใหญ่โดยเฉพาะ มีผู้แข็งแกร่งของนิกายหลวงเปิดสอนอยู่ในสำนักส่วนตัวอย่างลับๆ สถาบันที่มีชื่อเสียงย่อมเป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และยังมีประวัติที่ยาวนานมาหลายช่วงอายุคน ในจำนวนนั้นมีสองสถาบันที่มีประวัติยาวนาน ขนาดว่ามีประวัติยาวนานมากกว่าราชวงศ์ต้าโจว
ใบรายชื่อของเฉินฉางเซิงมีทั้งหมดหกสำนัก ในเวลานี้เขาไปที่สำนักเทียนเต้าซึ่งเป็นอันดับแรกในการจัดอันดับ ตามความเป็นจริง ทั่วทั้งผืนแผ่นดินต้าลู่ สำนักเทียนเต้ามีชื่อผู้คุณสมบัติเรียงอยู่ลำดับแรกสุด ในการสอบใหญ่สองร้อยปีมานี้ ลูกศิษย์สำนักเทียนเต้าได้รับการประกาศรายชื่อเป็นอันดับแรกรวมทั้งสิ้นยี่สิบสี่ครั้ง ลูกศิษย์ที่ต้องการจะมาศึกษาที่นี่ล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์และเป็นคนธรรมดา เพื่อนิกายหลวง สำนักแห่งนี้ได้สร้างผู้มีตำแหน่งที่สำคัญเกี่ยวข้องกับขุนนางมากมาย เพื่อให้สำนักศึกษาทุกแห่งได้ฝึกฝนผู้มีพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ยุคปัจจุบันนี้ปรมาจารย์นักพรตของนิกายหลวง เคยเป็นนักเรียนของสำนักแห่งนี้
ในประวัติการสอบใหญ่สำนักเทียนเต้าได้คะแนนดีเลิศที่สุด เป็นธรรมดาที่จะสมัครเข้าศึกษาที่นี่ยาก แต่ผู้คนก็ยังสมัครที่นี่จำนวนมากที่สุด เฉินฉางเซิงเดินไปถึงประตูของสำนักเทียนเต้า มองไปยังประตูหยกสีดำใหญ่ตั้งตระหง่านบานนั้น มองไปข้างบนชื่อของสำนักที่ปฐมจักรพรรดิเป็นผู้เขียนด้วยตนเอง เป็นธรรมดาที่จะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาออกมา แต่ว่าหลังจากนี้ก็ถูกความรู้สึกคล้ายกับความคึกคักในตลาดสดและกลิ่นเหงื่อที่เหม็นคลุ้งแทงเข้าจมูกส่งออกมาจากประตูสำนัก กลิ่นเหม็นน้ำหมึกที่คละคลุ้ง พลันทำให้ความรู้สึกทั้งหมดนี้อันตรธานหายไป เขาจึงก้มหัวต่ำลงด้วยความเคยชิน
เมื่อออกจากซีหนิง เขาคิดคำนวณเวลาได้เหมาะเจาะ เมื่อมาถึงเมืองจิงตูจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงที่ทุกสำนักต้องการนักเรียน เขาคาดคิดไว้แล้วว่า สำนักเทียนเต้าผู้คนต้องสมัครเยอะแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่า จะมากมายจนอยู่ในระดับที่น่ากลัวอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้คนที่ท่าทางอ่อนแรงอยู่หน้าประตู ยืนพิงที่ประตู คอยชี้นำกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มา ทำให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูก
คนหนุ่มสาวเหล่านั้นสวมใส่เสื้อผ้าลักษณะคล้ายกัน โดยรวมแล้วเป็นสีดำ ที่คาดเอวเป็นทอง คงจะเป็นชุดของสำนักเทียนเต้ากระมัง เฉินฉางเซิงรู้ว่าพวกเขาคงจะเป็นนักเรียนที่สอบไม่ผ่านการสอบใหญ่ของต้นปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้จิตใจสูงส่งหยิ่งทะนงตน แต่คงจะยังไม่คลายโกรธเพราะสอบการคัดเลือกไม่ผ่าน จึงมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักกับนักเรียนใหม่ที่จะสมัครสำนักเทียนเต้าในวันนี้ ฟังคำพูดที่ใจดำเจ็บแสบเหล่านั้น จ้องมองสายตาของคนหนุ่มสาวที่เผยให้เห็นว่าหยอกล้อเหล่านั้น เขาจึงก้มหัวลงด้วยความเคยชิน
ก้มหัวไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอะไร ทว่าเพราะเขามีนิสัยรักความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายภายนอกหรือว่าภายในจิตใจ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากดมกลิ่นของเหงื่อที่เหม็นโชยของกลุ่มผู้คน และก็ไม่อยากได้ยินคำพูดของคนเหล่านั้น
“มองคนเขลาปัญญาคนนั้น คล้ายกับสุกรตัวหนึ่ง ใบหน้ามีรอยแผลเป็นหลายแห่ง จงใจเอาพัดเสียบไว้ที่คอ คิดว่าจะเปลี่ยนตนเองเป็นองค์ชายขนนกรึ เหตุใดไม่คิดสักนิด บนลำคอมีเนื้อเป็นชั้นๆ แทบจะทำให้พัดหักแตกเสียแล้ว!”
“ไม่ผิด มองดูเท้าที่ลอยขึ้นของเขา เพิ่งจะสำเร็จการชำระล้างกระดูกมากที่สุดก็คงแค่สองเดือนกระมัง เกรงว่าเส้นเอ็นและกระดูกก็ยังไม่เคยฝึกฝน นึกไม่ถึงจะกล้ามาสมัครสอบสำนักเทียนเต้า คิดว่าจิตญาณที่น่าเวทนาและอ่อนแรงจะสามารถศึกษาตำราเต๋าจนจบเชียวรึ”
“ศึกษาตำราเต๋าจบทั้งสิ้นแล้วรึ หากได้อ่านตำราประหนึ่งคนโง่เขลาที่ยากจนข้นแค้นก็คงไม่กล้าพูดประโยคนี้ พวกเจ้าเข้าใจคนโง่เขลาที่พบเจอมาแค่ระยะหนึ่ง แต่ทางกลับกันข้ากลับเข้าใจบิดามารดาเขาที่ถูกเหยียดหยามรองลงมา เงินที่จ่ายเป็นค่านายหน้าก่อนหน้านั้นคงจะไม่มีวิธีนำกลับคืนมา ถ้าหากข้าเป็นบิดามารของเจ้าอ้วนโง่เขลาคนนั้น สู้เปลี่ยนเงินเหล่านั้นเป็นกระปุกแล้วขอยาเม็ดไม่ดีกว่าหรือ ลดความอ้วนสักหน่อย อย่างน้อยก็แต่งภรรยาได้คนหนึ่ง”
“แต่งภรรยาแล้วเป็นอย่างไร เกรงว่ายาบ๊วยหน้าหนาวเม็ดนั้นจะควบคุมแค่ตัวมันเอง ในอนาคตหากเขามีบุตรชายหญิงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดคน คงจะมีรูปร่างอ้วนท้วนและโง่เง่าเช่นเขาก็ไม่ปาน เลี้ยงหมูคอกหนึ่ง มิใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกรึ”
นักเรียนเหล่านั้นหัวเราะเฮฮา วิพากษ์วิจารณ์คนที่มาสมัครสอบอย่างกำเริบเสิบสาน ภาษาที่เปล่งออกมาช่างไม่ไพเราะ และยังไม่สามารถควบคุมระดับเสียงได้ จนกระทั่งพยายามอยากให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยินสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างสุดความสามารถ ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก หนุ่มน้อยอ้วนท้วนที่โดนวิพากษ์วิจารณ์คนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีแดง แต่กลับไม่กล้าต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่านักเรียนเหล่านั้นพูดเรื่องจริง แท้จริงแล้วเขาเพิ่งผ่านการชำระล้างกระดูกมาสิบกว่าวัน การปรารถนาที่จะสอบเข้าสำนักเทียนเต้าแท้จริงแล้วคงจะเป็นไปไม่ได้ จุดสำคัญที่สุดคงเป็นเพราะอยากจะอาศัยโชคเพื่อให้ได้เข้าเรียนที่สำนัก แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดกับผู้อาวุโสเหล่านี้ได้
เฉินฉางเซิงเดินฝ่าทะลุมาจากกลุ่มผู้คน ฟังคำพูดที่สกปรกโสโครกเหล่านั้น หัวคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่าถ้าคนที่ถูกวิจารณ์คือตน ไม่รู้ว่าตนจะสามารถอดทนได้หรือไม่ โชคดีที่เขาก้มหัว อีกทั้งลมปราณยังธรรมดา อยู่ในกลุ่มผู้คนจึงไม่สะดุดตา ยากเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนจะให้ความสนใจ จึงทำให้เขาสามารถหลบหลีกสภาพการณ์หยอกล้อ ทะลุผ่านประตูหยกสีดำไปอย่างราบรื่น เดินเข้าไปข้างใน
เพราะว่าคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาได้แต่ก้มหัวลงไปอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจถนนสองข้างที่เข้าไปยังสำนักเทียนเต้า ทั้งสองฝั่งมีกำแพงหินสูงใหญ่ บนนั้นสลักเป็นรูปดอกไม้เทพพิสดาร ภายในอัดแน่นไปด้วยรายชื่อ คล้ายกับใบรายชื่อที่ติดประกาศอะไรสักอย่าง มีสายตามากมายที่หยุดอยู่บนรายชื่อเหล่านั้น มีความเลื่อมใสยกย่องและรู้สึกร้อนดั่งนั่งบนกองไฟ
คนรับใช้ที่คอยติดตามมากับนักเรียนใหม่ที่มาสมัครสอบจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสำนักเทียนเต้า ดังนั้นเมื่อเข้าไปอยู่ในสำนัก ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ เฉินฉางเซิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดสะอ้านออกมา นำมาเช็ดเม็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก ถอนลมหายใจออกมา รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เข้าแถวข้างหลังขบวนที่ยาวเหยียดตามนักเรียนคนข้างหน้า
ผู้คนที่มาสมัครเข้าสำนักเทียนเต้ามีมากมาย ขบวนแถวยาวเหยียด มองดูแล้วเหมือนตำนานที่กล่าวขานเกี่ยวกับงูที่ยาวคดเคี้ยวร้อยจั้งของดินแดนปีศาจฝั่งตะวันตก สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ห่างไกลขยายมาจนถึงพื้นหญ้าด้านนี้ จนกระทั่งทอดผ่านแม่น้ำสายหนึ่ง มีนักเรียนใหม่ที่มาสมัครยืนอยู่บนสะพานไม้มากมาย ถูกลมที่หนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน สีหน้าหนาวเย็นจนบางส่วนมีสีเขียว
อย่างรวดเร็ว มีคนเดินออกมาจากสิ่งปลูกสร้างแห่งนั้น ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว สีหน้าของพวกเขาเป็นสีเขียวเหมือนเพื่อนที่อยู่บนสะพาน น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อมิใช่หนาวเหน็บ คงเป็นเพราะการสอบไม่ราบรื่นเป็นแน่ ยังมีกลุ่มผู้คนที่เข้าแถวจ้องมองท่าทางขวัญหายของพวกเขา ทันใดนั้นพลันตื่นตกใจขึ้นมา ไม่มีจิตใจที่จะคุยเล่นใดๆ ทั้งสิ้น
เฉินฉางเซิงไม่มีผู้ใดรู้จัก เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้พูดคุยหยอกล้อกับใคร เขามองไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ไกลออกไป ดูเหมือนมีบางส่วนแปลกประหลาด ตอนนี้ที่เขาเป็นกังวลก็คือการรับสมัครสอบของสำนักเทียนเต้าจะเหมือนที่ได้กล่าวไว้ในตำราหรือไม่ ยังคงใช้วิธีเหล่านั้นหรือไม่ ผู้คนที่ไม่ผ่านการทดสอบเหล่านี้เพราะเหตุใดถึงพ่ายแพ้ออกมาอย่างรวดเร็วปานนี้ หรือว่าการสอบของสำนักเทียนเต้าจะเปลี่ยนไปแล้ว
กลุ่มผู้คนไม่หยุดที่ขยับไปข้างหน้า ผ่านทุ่งหญ้าผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ ยังไม่เข้าไปใกล้สิ่งปลูกสร้างแห่งนั้น มาถึงด้านล่างเพิงไม้ไผ่แถวหนึ่ง มองไปยังอาจารย์ของสำนักเทียนเต้าที่มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ด้านหลังโต๊ะหินท่านนั้น มองไปยังหินภูเขาไฟเหมือนหินที่เป็นสีดำก้อนหนึ่ง เฉินฉางเซิงรู้ว่านั้นคือสิ่งใด พลันนึกออกเกี่ยวกับเรื่องในคัมภีร์เต๋าที่เกิดคดีขึ้นเมื่อปีกลาย เขาถึงได้ตกตะลึงเล็กน้อย