ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 45 ลมพายุที่มากับย่างก้าวของพยัคฆ์
ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้า และยังมีผู้มีฝีมือของหอจงซื่อ ยืนรอบบริเวณเวที ล้อมรอบลั่วลั่วไว้ตรงกลาง ใครก็สามารถปราบนางได้อย่างง่ายดาย ปัญหาอยู่ที่ นางยืนอยู่ด้านหน้าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ มีระยะห่างไม่กี่ฉื่อ หมัดเล็กๆ กำแน่น มีสายลมสายฟ้าแลบซุกซ่อนอยู่
เพียงแค่นางชกลงไป เทียนไห่หยาเอ๋อร์ก็จะเสียชีวิต หรืออาจจะพิการ
ใบหน้าของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้ากับผู้มีฝีมือสูงส่งหอจงซื่อถมึงทึง ไม่กล้าเดินมาข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว แต่กลับไม่ถอยห่าง รักษาสภาพการณ์ของก่อนหน้านี้เอาไว้ หวังว่าจะสามารถทำให้นางหวั่นไหว พวกเขาคิดว่าหากเวลาผ่านไป หลังจากการต่อสู้ ลั่วลั่วจะต้องเยือกเย็นขึ้นมาก
ทั่วทั้งผืนเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดอยากจะเอ่ยวาจายั่วยุหญิงสาวผู้นี้ ไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นภาพนองโลหิตปรากฏ
แต่เทียนไห่หยาเอ๋อร์กลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น เขาจ้องมองลั่วลั่ว ไอเป็นโลหิต น้ำเสียงสั่นเทา สะอื้นไห้พลางกล่าว “อย่าฆ่าข้า…ขอร้องเจ้า…อย่าฆ่าข้า ข้ากลัวจริงๆ กลัว…ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ร้องไห้สะอื้นร้องขอด้วยความเวทนาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเย่อหยิ่ง!
เด็กชายใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิต ท่าทางที่ดุร้ายผิดปกติ คล้ายกับว่าอัปลักษณ์กว่าเดิม เขาจ้องมองลั่วลั่วด้วยความโหดเหี้ยม ตะโกนก้อง “เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงรึ ข้าเพียงแค่ล้อเล่นกับเจ้า! สำนักฝึกหลวงก็จบแล้ว! มองดูคนแก่ที่น่าอับอายเหล่านี้ ท้องของพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำสกปรก ไม่ว่าข้าจะจัดการจนเจ้าเปลี่ยนเป็นพิการ หรือว่าจะเป็นเหมือนตอนนี้ พวกเจ้าก็จบแล้ว! เพราะว่าไม่ผู้ใดสามารถทำเช่นนี้กับข้าได้!”
ใบหน้าอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
ลั่วลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ชูหมัดให้สูงขึ้นกว่าเดิม มีแสงสว่างล้อมรอบนิ้วมือ งดงามอย่างยิ่ง และก็น่ากลัวอย่างยิ่ง
ท่าทางของเทียนไห่หยาเอ๋อร์แปรเปลี่ยนฉับพลัน เสียงแหลมเล็กร้องตะโกนลั่น ขาทั้งสอง ถีบสะเปะสะปะ ท่าทางวิกลจริตถึงขีดสุด เหมือนกับเด็กชายที่ถูกแย่งนมไป!
“เจ้าอยากจะทำสิ่งใด! เจ้ากล้าลงมือจริงรึ! จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นท่านอาของข้า! ดินแดนต้าลู่นี้ใครบ้างกล้าลงมือกับข้า!”
ทั่วทั้งผืนสงบนิ่ง ผู้คนล้วนแต่ทราบดีว่าสิ่งที่เด็กประหลาดหอจงซื่อเอ่ยเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าสังฆราชตามเรื่องเล่าขานนั่น เพียงแค่มีท่านอาเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกลั่นแกล้งเขาได้ คิดแล้วหลังจากเรื่องจบคงจะรีบไปรายงานด้วยความบ้าคลั่ง ผู้คนมองไปยังดวงตาของลั่วลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเวทนาสงสารและเห็นอกเห็นใจ
ถูกบรรดาผู้อาวุโสล้อมรอบ ถูกเด็กชายที่น่าเกลียดผู้นี้ข่มขู่ ลั่วลั่วจะทำอย่างไรต่อไป…
นางมองไปยังมุมด้านล่างของเวที มองไปยังหนุ่มน้อยผู้นั้น
นี่เป็นจิตใต้สำนึกหรือเป็นการกระทำที่เคยชินของนาง นางอาจจะไม่ต้องการความคิดเห็นของเฉินฉางเซิง แต่นางคิดว่าตนควรจะรับฟังความคิดเห็นของเฉินฉางเซิง
สายตาของผู้คนทั้งหมดก็มองไปยังมุมนั้นตามไปด้วย จ้องมองเฉินฉางเซิง
เวลานี้ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงสับสนอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้ประหลาดใจ และก็กล่าวไม่ได้ว่าเป็นเรื่องยินดีหรือแปลกใจ ไม่กี่วันที่อยู่สำนักฝึกหลวงชี้แนะการฝึกบำเพ็ญเพียรของลั่วลั่ว ถึงแม้เด็กประหลาดหอจงซื่อผู้นี้จะแข็งแกร่ง แต่เขาชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลั่วลั่ว มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้เขาคงจะยับยั้งไม่ให้ลั่วลั่วขึ้นบนเวที แต่เขาไม่คิดว่าเด็กประหลาดหอจงซื่อจะโง่เขลาปานนี้ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าวัดความแข็งแกร่งพลังปราณแท้กับลั่วลั่ว สุดท้ายจึงพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา จนถึงตอนนี้ยังต้องการให้ลั่วลั่วเลือกสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
เขารู้ว่าลั่วลั่วอยากจะเลือกสิ่งใด เพราะเมื่อวันก่อนอยู่ริมทะเลสาบ หลังจากมีเม็ดทรายเข้าดวงตาของลั่วลั่ว หญิงสาวใช้เวลาครึ่งค่อนวัน จะต้องเอาเม็ดทรายออกจากดวงตาถึงจะไปอ่านตำรากับเขาต่อ ท้ายที่สุดเมื่อทำสำเร็จ ดวงตาของนางเป็นสีแดงกระโดดโลดเต้นดีใจอยู่ข้างทะเลสาบ
เขารู้เพราะเหตุใดลั่วลั่วลังเล เพราะอะไรถึงมองมายังตน เพราะว่านางกังวลว่าจะทำให้เขากับสำนักฝึกหลวงเกิดความยุ่งยาก และนางยังเคยชินกับการเข้ามาปรึกษาความคิดเห็นของเขาก่อนที่จะทำสิ่งใด ไม่ว่าเขาจะเลือกอย่างไรนางก็จะทำตาม
เด็กประหลาดหอจงซื่อเป็นคนที่ลั่วลั่วโจมตีจนพ่ายแพ้ ลั่วลั่วกำลังร้องขอความคิดเห็นจากเขา หลังจากเฉินฉางเซิงมั่นใจในสองเรื่องนี้แล้ว จึงรู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร เขาตัดสินใจออกความคิดเห็นของตนโดยตรง ทำตามความต้องการก่อนนั้นของลั่วลั่วจึงเลือกช่องทางนี้
เช่นนี้ดีอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงคิดในใจ ความรับผิดชอบควรจะเป็นตนแบกรับไว้ เขายืนขึ้นมองอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าบนเวทีและมองผู้คนบริเวณรอบๆ ที่กลั้นใจรอคอย เงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวว่า “เมื่อกี้เขาเอ่ยว่าจะจัดการถังซานสือลิ่ว”
เสียงของเขาฝืดแห้ง น้ำเสียงตะกุกตะกัก คล้ายกับว่างุ่มง่ามอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเกรงกลัว แต่เพราะเขาไม่คุ้นเคยกล่าวต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก กล่าวจริงๆ แล้ว การชุมนุมไม้เลื้อยวันนี้ พบผู้คนมากมายเช่นนี้ ล้วนเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
อีกทั้งเวลาเขาทำสิ่งใดเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ชำนาญเอ่ยประโยคที่เด็ดเดี่ยว
เขาคิดไตร่ตรอง เหตุผลนี้คงจะมากพอ จึงเอ่ยขึ้นมา “ถังซานสือลิ่วเป็นสหายของข้า ดังนั้น…”
ลั่วลั่วเข้าใจความหมายของเขา หลังจากนั้นพลันคิดว่าตนได้ทำพลาดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ตนไม่ควรจะมองอาจารย์ สายตานั่นคือความเคยชิน เป็นความเคารพ แต่ก็เท่ากับว่าเอาอำนาจการเลือกรวมถึงสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ล้วนแต่โยนไปให้อาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
นางหันสายตากลับมา จ้องมองไปยังเทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่ล้มอยู่ด้านหน้า
เวลานี้ เฉินฉางเซิงกำลังกล่าวประโยคนั้น ถังซานสือลิ่วคือสหายของข้า
เทียนไห่หยาเอ๋อร์มองเห็นแววตาของนาง อ่านความหมายของนางออก ทันใดนั้นใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด แววตาเปลี่ยนเป็นผิดหวังอย่างสูงสุด ไม่เข้าใจเพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นร้องเสียงแหลมหวาดกลัวกระวนกระวายขึ้นมา “รีบมาช่วยข้า!”
เสียงร้องแหลมของเขาดังอย่างยิ่ง ปิดคำว่าดังนั้นของเฉินฉางเซิงรวมถึงประโยคหลังจากนั้นด้วย
แต่ไม่สามารถปิดบังหมัดพายุที่น่ากลัวรวมถึงเสียงสายฟ้าแลบที่ดังเปรี้ยงปร้าง
สายเลือดที่สูงศักดิ์และกล้าหาญของลั่วลั่ว ทำให้นางไม่ชอบชีวิตที่ขี้ขลาด
ได้ยินเสียงร้องที่หวาดกลัวลนลานของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ คิ้วทั้งสองของนางขมวดขึ้น นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสุกสว่างยิ่งขึ้น
มีเพียงภาพเลือนราง ราวกับลูกพยัคฆ์ข้ามแอ่งน้ำตามเทือกเขา!
หมัดของนางร่วงหล่นตรงหน้าท้องของเทียนไห่หยาเอ๋อร์!
เสียงตูมดังขึ้น เสียงแหลมก้องกังวานของเทียนไห่หยาเอ๋อร์พลันหยุดลง!
เพียงชั่วครู่ ทันใดนั้นความเงียบสงัดถูกทำลาย มีเสียงร้องตกใจและเสียงตะโกนดังขึ้นนับไม่ถ้วน
เทียนไห่หยาเอ๋อร์สลบลงในกองโลหิต กระดูกซี่โครงแตก ชีพจรทั้งหมดขาดจากกัน ใช้การไม่ได้เสียแล้ว
ลั่วลั่วชักหมัดกลับคืน ลมบ้าระห่ำที่อยู่รอบๆ ร่างกายเล็กกะทัดรัดแผดคำรามเสียงดังกึกก้อง
เสียง ฟ้าว ดังขึ้น!
เส้นผมดำขลับปลิวผ่านใบหน้าเล็กงดงามของนาง ราวกับกิ่งไผ่หลิวที่อยู่กลางลม
ไม่ใช่กิ่งไผ่หลิว แต่เป็นรอยของหญ้า
นางจ้องมองไปยังกลุ่มผู้คนที่อยู่รอบๆ ท่าทางนิ่งเงียบเคร่งขรึม
ราวกับว่ายืนอยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำในดินแดนทิศเหนือ หยุดชะงักอยู่ในหญ้าป่า รอคอยจังหวะที่จะจู่โจมสังหาร
เป็นพลังอำนาจที่อยากจะเอ่ย เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เงียบเชียบไม่มีเสียงใดๆ ผู้คนตระหนกตกใจยิ่งกว่าจ้องมองเวทีเสียอีก
หญิงสาวผู้นั้น…คาดไม่ถึงจัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์จริงๆ! นางรู้ว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์คือผู้ใดหรือไม่ นางรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดหรือไม่
เฉินฉางเซิงอยากจะบอกให้ทั่วโลกรับรู้ เป็นเขาที่ให้นางลงมือ แต่เวลานี้สายตาของทั้งโลก กำลังจ้องเขม็งที่ลั่วลั่ว ไม่มีผู้ใดมองเขา ดังเช่นจวงห้วนอวี่ในสายตาของเขาตอนนี้มีเพียงเงาด้านหลังของลั่วลั่ว เขาแสดงความชื่นชมและทุ่มเทความรักให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เส้นแสงส่ายไปมาเล็กน้อย อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้ากับผู้แกร่งกล้าหอจงซื่อ พัดผ่านด้านหน้าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว สำรวจลมหายใจ มั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่…ชีพจรทั้งหมดแตกละเอียด ใช้การไม่ได้จนไม่รู้จะใช้ไม่ได้อย่างไรแล้ว ในชีวิตนี้คงหมดหนทางที่จะฝึกบำเพ็ญเพียร คนของหอจงซื่อมาถึงเร็วที่สุดอุ้มเทียนไห่หยาเอ๋อร์ลงจากเวที หลังจากนั้นส่งเข้าราชวัง หวังว่าผู้มีฝีมือและแพทย์หลวงในราชวังจะสามารถรักษาความหวังสุดท้ายไว้ได้ หากไม่ได้จริงๆ ไม่แน่อาจจะต้องรบกวนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
หัวหน้าหอจงซื่อกับอาจารย์ฝึกสอนก็ออกไปด้วย ก่อนจะจากไปได้มองอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าแวบหนึ่ง แสดงความหมายอย่างชัดเจน เรื่องนี้เป็นเจ้าที่ปิดบังสิ่งที่หอจงซื่อทำ เป็นเจ้าที่ใช้ประโยชน์เทียนไห่หยาเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับมือกับเรื่องนี้
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจ้องมองลั่วลั่ว ใบหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง น้ำเสียงราวกับคมมีดที่ทิ่มแทงผู้คน “ลงมือโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างนี้ เจ้าเป็นหญิงสาวที่เลือดเย็นที่สุด”
ลั่วลั่วในใจคิดก่อนหน้านี้เมื่อเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำร้ายเซวียนหยวนผ้อจนบาดเจ็บสาหัส เขากับอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าผู้นี้จะกล่าวอย่างไร นางจำได้แล้ว เวลานั้นอาจารย์สำนักเทียนเต้ากล่าวว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์ลงมือหนักเสียจริง เทียนไห่หยาเอ๋อร์กล่าวว่าตนได้รับปากว่าจะไม่สังหารเซวียนหยวนผ้อ แต่ไม่ได้กล่าวว่าจะไม่ทำร้ายเซวียนหยวนผ้อ
“ข้าไม่ได้รับปากเจ้าว่าจะไม่สังหารเขา ไม่ต้องพูดถึงเพียงแค่ทำร้ายเขา”
ลั่วลั่วคิดว่าตนเองมีเหตุผลอย่างยิ่ง พลันหันหลังกลับเดินลงเวที
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าตะลึงงัน คิดถึงประโยคก่อนหน้าของตนกับเทียนไห่หยาเอ๋อร์ คิดว่าลั่วลั่วพยายามที่จะถากถางตน ทนไม่ได้ที่จะเพิ่มความโกรธแค้น หนวดยาวของเขาปลิวสะบัดในสายลมยามค่ำคืน ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดที่สุด เปล่งเสียงแสบแก้วหู “เจ้าคิดว่าจะไปอย่างนี้หรือ”
ลั่วลั่วหยุดก้าวเดิน
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจ้องมองภาพด้านหลัง กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าไม่สนว่าเจ้ามีความเป็นมาอย่างไร เจ้าร่ำเรียนกับอาจารย์ท่านไหน แต่เจ้าต้องเข้าใจอย่างชัดเจน ที่นี่คือเมืองจิงตูดินแดนต้าโจว ที่นี่คือสำนักเทียนเต้า เจ้าทำร้ายร่างกายต่อหน้าสาธารณชน แล้วยังสามารถจากไปได้อย่างนั้นรึ”
กล่าวอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ความหมายที่แท้จริงทุกคนต่างเข้าใจ ไม่ว่าลั่วลั่วจะลึกลับซับซ้อนอย่างไร แต่นางทำให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัสซึ่งเขาเป็นศิษย์ของใต้เท้าสังฆราช เป็นหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นเผ่ามนุษย์บนโลกใบนี้ คงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าปกป้องนาง
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าราวกับว่าหัวเราะราวกับว่าไม่หัวเราะ พลางเอ่ยออกมา “แม่นาง เจ้าช่าง…ใจกล้าอย่างยิ่ง”
ลั่วลั่วกล่าวด้วยความไม่ยินดี พลางถามออกไป “เจ้าเป็นใคร คิดไม่ถึงจะกล้ามากล่าวกับข้าเช่นนี้”
ทั่วทั้งอาคารเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หญิงสาวผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว แต่กลับมีพลังอำนาจแข็งแกร่งเช่นนี้
มีเพียงคนจำนวนน้อยที่รู้สึกไม่เหมือนปกติ เพราะลมปราณที่พรั่งพรูออกมาของหญิงสาวผู้นี้ แข็งแกร่งจริงๆ
เผชิญหน้ากับอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า นางเหมือนกับราชินีที่เผชิญหน้ากับขุนนางมิปาน
ต้องมีครอบครัวหรือว่าอาจารย์เช่นไร ถึงจะสามารถอบรมสั่งสอนนักเรียนสตรีให้เป็นเช่นนี้ได้
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า โกรธจนกลับกลายเป็นหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่หนาวเหน็บอย่างยิ่ง
ตอนนี้เขามั่นใจอย่างยิ่ง ความเป็นมาของหญิงสาวผู้นี้คงไม่ธรรมดา แต่ก็เหมือนประโยคที่เขาเอ่ยก่อนหน้านี้ นางทำให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัส…นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่า คนบนโลกนี้ มีไม่กี่คนที่จะสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตนางได้
เสียงกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้น ลั่วลั่วใช้มือขวากวัดแกว่งตามสบาย
ไม่มีสายลมไม่มีสายฝน มีเพียงพลังที่แปรเปลี่ยนเป็นเส้นตรงดิ่ง ถึงแม้จะเป็นเหล็กหินอุกกาบาต ก็คงต้านทานพลังนี้ไม่ได้!
นี่คือฝีมือของผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาว!
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเป็นคนระดับไหน!
ลั่วลั่วถึงแม้จะแกร่งกล้าเพิ่มอีก แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง
ผู้คนราวกับว่าได้ยินเสียงแห่งความตาย ราวกับมีคนเอ่ยว่าหญิงสาวผู้นั้นจะต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน
ผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้
มีคนมองไปยังตำแหน่งของสำนักฝึกหลวงมุมนั้น อยากจะมองสหายของหญิงสาวผู้นั้น
ตรงโต๊ะที่นั่งยาวตัวนั้น มีอาหารมีสุรา
ไม่มีคน