ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 47 ภาพเงากับผลส้ม
มีคนของจวนขุนพลเทพเข้ามาเชิญเขา อากัปกิริยาเฉยเมย เฉินฉางเซิงจึงให้ลั่วลั่วรออยู่ที่เดิม เดินเข้าไปด้านข้างของตัวรถม้าที่อยู่ตรงทางเข้าตรอก เมื่อเขาเดินไปถึงพบว่าบริเวณรอบๆ รถม้าเงียบเชียบไร้เสียง ไม่มีผู้ใดอยู่ คนของจวนขุนพลเทพที่มาเชิญเขาก่อนหน้านี้ก็มิรู้ว่าไปที่ใด
ม้าศึกที่อยู่ด้านหน้ารถม้าลักษณะสูงใหญ่ห้าวหาญ ขนตรงกลางศีรษะเมื่ออยู่ในความมืดยามราตรีเป็นสีแดงเข้ม ชัดเจนว่าเป็นพันธุ์ที่ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่ามีเลือดผสมของสัตว์วิเศษชนิดไหน ช่างดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่ได้มองไปทางมันเพราะว่าคนที่เขาต้องการจะพบ คือคนที่อยู่ในรถม้า
คนผู้นั้นไม่ได้ลงจากรถ ยังคงนั่งอยู่ในตู้รถ รถม้าทางด้านนั้นมีโคมไฟสีแดงหนึ่งดวง แสงไฟสาดส่องเข้ามายังด้านในหน้าต่าง ทะลุออกมาจากทางด้านนั้นทำให้ภาพด้านหลังของเขาสะท้อนอยู่บนผ้าม่าน เป็นภาพที่ชัดเจนราวกับใช้กระบี่สลักเอาไว้
เฉินฉางเซิงทำความเคารพต่อภาพที่อยู่บนหน้าต่าง ภาพนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง คนที่อยู่ในรถก็ชัดเจนอย่างยิ่ง พลังลมปราณที่ทรงอานุภาพและน่าหวาดกลัวยิ่งชัดเจน เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าความกดดันที่อยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อยทั้งสองครั้งมาจากที่ใด เหตุผลเดียวที่เขาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย ก็คือเพื่อที่จะพบฝ่ายตรงข้ามด้วยตาของตน เมื่ออยู่ในโต๊ะการประชุม สายตาของฝ่ายตรงข้างแทบจะไม่ได้หยุดอยู่ที่เขา ทั้งที่เดิมทีฝ่ายตรงข้ามจับตาดูเขามาตลอด
“เจ้าจากเมืองซีหนิงมาถึงจิงตูก็เป็นระยะเวลายาวนาน กระทั่งถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ยินข่าวคราวที่ข้ามิปรารถนาจะได้ยิน พิสูจน์ได้ว่าเจ้าก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ทำสิ่งใดเชื่อถือได้ ข้าชื่นชมเจ้าในจุดนี้”
เสียงของสวีซื่อจีออกมาจากหน้าต่างรถ สงบนิ่งและเฉยชา “หลังจากเข้าไปในสำนักฝึกหลวง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเรียนรู้การพึ่งพาอำนาจของผู้อื่น ข้าถึงพบว่าเดิมทีแล้วเจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมเจ้า”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่การเยาะหยันและก็ไม่ใช่การยั่วยุ เพราะว่าตนไม่ได้มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะให้ขุนพลเทพตงอวี้ผู้สง่าผ่าเผยเอ่ยเยาะหยันยั่วยุ ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดโกหก หากแต่เขาไม่ได้เกิดความยินดีเพราะเหตุนี้แม้แต่น้อย เพราะว่าเขาพบว่าตนยังคงไม่ชอบรสชาติของสวีซื่อจี
รสชาติไม่ใช่ขมเผ็ดเปรี้ยวหวานแต่อย่างใด เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้ น้ำเสียงที่สวีซื่อจีพูดคุยกับเขาเวลานี้ ก็นับเป็นรสชาติอย่างหนึ่ง
สงบนิ่งเย็นชาอย่างแปลกประหลาด ไม่ได้พยายามที่จะมองจากที่สูงมองคนที่ต่ำกว่าแต่เป็นไปเองตามธรรมชาติและยังเหมือนผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เฉินฉางเซิงไม่ชอบจุดนี้อย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีเรื่องพัวพันกับหนังสือสมรส ถ้าหากไม่มีการทำให้เสียเกียรติ ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามปฏิบัติต่อตนอย่างมีความเป็นผู้อาวุโส ก็มิได้เป็นไร ปัญหาอยู่ที่เรื่องเล่านั้นล้วนแต่มีคำว่าถ้าหากอยู่ด้านหน้า
สวีซื่อจีเงียบนิ่งชั่วครู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฉินฉางเซิงเงียบนิ่งเพื่อรอสถานการณ์พลิกผันของเขา หรือเพราะว่าเขาต้องการไตร่ตรองเรื่องราวบางอย่าง สายลมยามค่ำคืนพัดแสงสลัวของโคมไฟปลิวไสว เขาเอ่ยถาม “นางเป็นใคร”
ใช่แล้ว นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่เขาให้ความสนใจอย่างแท้จริง แน่นอนว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนังสือสมรสที่อยู่บนตัวเฉินฉางเซิง เขาไม่ได้สนใจว่าเฉินฉางเซิงจะคบค้าสมาคมกับสหายต่างเพศใดๆ เพราะว่าเดิมทีเขาไม่ได้ให้เฉินฉางเซิงเป็นว่าที่สามีอย่างแท้จริงของบุตรสาวตน
ในตอนที่ลั่วลั่วได้เริ่มต่อสู้อยู่บนเวทีของการชุมนุมไม้เลื้อย คนของสวีซื่อจีก็เริ่มตรวจสอบความเป็นมาของนางอย่างลับๆ ทว่าเมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยสิ้นสุดลง เมื่อสวีซื่อจีนั่งอยู่บนรถม้าออกมาจากสำนักเทียนเต้า ก็ยังคงตรวจสอบข่าวคราวใดๆ ไม่พบ
สวีซื่อจีรู้ความสามารถของทหารของตนอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงทำให้เขาตกตะลึง
หญิงสาวที่มากับเฉินฉางเซิงผู้นั้น เป็นเรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงโดยมิได้คาดหมาย จึงเริ่มระมัดระวังตัว
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา เพราะว่าเขาคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องตอบคำถามใดๆ ของฝ่ายตรงข้าม
ภาพบนหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นชัดเจนยิ่งขึ้น ลายเส้นเปลี่ยนเป็นดุเดือดรุนแรง คงจะเป็นเพราะสวีซื่อจีพิงหน้าต่างรถม้า
พลังอำนาจเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวกลัว ความกดดันราวกับแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าหน้าอกมีสิ่งที่น่ารังเกียจ ราวกับว่ามีเทือกเขาทับอยู่ด้านบน
“ที่จริงแล้วข้ารู้สึกเสียใจ” ด้านในรถม้ามีเสียงที่ไร้ความรู้สึกของสวีซื่อจีดังเล็ดลอดออกมา
“เมื่อตอนเจ้าเข้ามาที่จิงตู เป็นเวลาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ข้าควรที่จะสังหารเจ้าเสีย ด้วยเหตุผลที่ว่าจิตใจอ่อนแอย่อมมิสามารถเป็นขุนพลได้ ข้าเข้าใจอย่างยิ่ง หากแต่อาจารย์ของเจ้าถึงอย่างไรก็คบค้าสมาคมกันมานาน มีคนอยากให้เจ้ามีชีวิต ดังนั้นข้าจึงให้เจ้ามีชีวิตอยู่”
เฉินฉางเซิงก้มศีรษะลง
“หน้าร้อนที่อบอ้าวของจิงตู เป็นสถานที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตได้ง่ายอย่างยิ่ง…ช่วงเวลาที่น้ำขึ้นไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ แม่น้ำในเมืองจิงตูจะเพิ่มขึ้น กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ไม่ว่าจะเป็นศพที่ลอยอยู่บนน้ำหรือว่าเถ้ากระดูก ก็จะถูกพัดไปได้ง่าย”
สวีซื่อจีที่อยู่ห่างจากหน้าต่างรถม้า น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยว่า
“ดังเช่นท่านเฉาผู้ดูแลสำนักเทียนเต้า หลังจากคืนนี้ เขาอาจจะเปลี่ยนเป็นศพที่เกยตื้นอยู่บนฝั่งหลายพันลี้หรือเปลี่ยนเป็นอาหารของปลาไนที่แหวกว่ายในแม่น้ำ หากกล่าวอย่างสรุป คงจะไม่มีผู้ใดพบเขาอีก”
เมื่อฟังประโยคนี้ เฉินฉางเซิงเงยหน้ามองไปยังหน้าต่างรถม้าด้วยความแปลกประหลาดใจ ในใจคิดว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจะต้องเสียชีวิต
“เจ้าเด็กประหลาดนั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นคนของเทียนไห่…ไม่ว่าเรื่องราวสุดท้ายจะเป็นไปทิศทางไหน หากแต่อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเขาทำสิ่งใดโดยมิได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะต้องไม่ยินดี หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ยินดี ใต้เท้าโจวทงก็คงโกรธแค้นอย่างยิ่ง ใต้เท้าโจวทงโกรธแค้นอย่างยิ่ง…เขาคงจะโหดร้ายยิ่งกว่าการเสียชีวิต”
“ดังนั้น ค่ำคืนนี้อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจะต้องสังหารตนเองเป็นแน่”
“ข้าเสียใจอย่างแท้จริงที่ตอนแรกไม่ได้สังหารเจ้า ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะลงมือด้วยตนเอง แต่ข้าอยากจะเตือนเจ้า บนโลกใบนี้ยังมีวิธีที่โหดร้ายกว่าการเสียชีวิตอยู่มากมาย ผู้ดูแลเข้าใจในหลักการนี้ หวังว่าเจ้าก็สามารถเข้าใจ”
โคมไฟกวัดแกว่งเล็กน้อย แสงไฟเลือนราง มีพลทหารสิบกว่าคนปรากฏกายออกมาจากความมืดยามราตรี ล้อมรอบพิทักษ์รถม้าที่ขับออกห่างจากตรอกไปช้าๆ มุ่งไปยังจวนตงอวี้ ม้าศึกที่องอาจสูงใหญ่ตัวนั้นก่อนจากไปได้มองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง เป็นสายตาที่เย็นชาที่สุด
สวีซื่อจีอยู่ในตู้รถม้าเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด นัยน์ตามีเปลวเพลิงนับไม่ถ้วน ไม่ได้รุนแรง เพียงแค่ทำให้รู้สึกเหน็บหนาว เพราะเขาพบว่ามีเรื่องบางอย่างหลุดพ้นจากขอบเขตการควบคุมของตน ถึงแม้เป็นเพราะจดหมายที่มาจากเทือกเขาเทพธิดาฉบับนั้น เขาไม่ได้ควบคุมเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ตอนนี้สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นยิ่งแปลกประหลาด
เขาชัดเจนในสาเหตุก่อนและหลังที่เฉินฉางเซิงเข้ามาในสำนักฝึกหลวงอย่างยิ่ง เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีความลึกซึ้งแต่อย่างใด ตอนนี้มองแล้ว ถึงแม้จะเริ่มต้นเช่นนี้ กลับมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก่อลมก่อฝน คนที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เฉินในนิกายหลวง หลังจากนิ่งเงียบมาเป็นระยะเวลานานหลายปี ราวกับว่าสุดท้ายแล้วพบโอกาสที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ เตรียมที่จะค่อยๆ ลอยมาจากพื้นผิวน้ำ เช่นนั้นเรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบกับจวนขุนพลเทพตงอวี้อย่างไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่ง ถึงแม้เขาจะเป็นขุนพลที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้วางใจที่สุด ก็ไม่กล้าเข้ายุ่งมากเกินไป ตอนนี้เขาเพียงแน่ใจเรื่องราวอย่างหนึ่ง ถ้าหากเฉินฉางเซิงถูกลากเข้าไปในน้ำที่สกปรก เช่นนั้นเรื่องหนังสือสมรสยิ่งไม่สามารถทำให้ผู้ใดล่วงรู้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องปิดบังให้ได้ในไม่กี่วันนี้
เมื่อผ่านไปไม่กี่วัน คณะเจรจาความร่วมมือจากบรรดาผู้มีอำนาจทางทิศใต้ก็จะมาถึงจิงตู นักเรียนสิบกว่าคนเข้าร่วมการสอบใหญ่ของปีหน้าก็อยู่ในคณะเจราจานี้ด้วย เพราะเหตุนี้ การชุมนุมไม้เลื้อยสองคืนหลังจากนี้อาจจะต้องถูกเลื่อนออกไป
ระยะเวลาการสอบใหญ่ยังมีเวลาอีกยาวนาน ผู้คนทางทิศใต้ได้เดินทางมาจิงตูก่อนเป็นระยะเวลาหลายเดือนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เรื่องนี้จึงก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และสงสัยมากมาย แต่ว่าเขาชัดเจนยิ่งนัก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยินดีต้อนรับคณะเจรจามาอย่างยิ่ง
ทั่วทั้งต้าลู่มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ ปีนี้คณะเจรจาทิศใต้ได้เดินทางมาก่อน เป็นเพราะว่าพวกเขาเตรียมที่จะมาสู่ขอในคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด
สวีซื่อจีรู้เรื่องราวนี้ เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามที่คณะเจรจาจะมาสู่ขอก็คือบุตรสาวของเขา
เขาจะไม่ยินยอมให้ผู้คนใดๆ เรื่องราวใดๆ มาทำลายการสมรสครั้งนี้
เฉินฉางเซิงก็ไม่สามารถ หญิงสาวที่มีความเป็นมาลึกลับผู้นั้นก็ไม่สามารถ ใครก็ไม่สามารถ
สำหรับสำนักฝึกหลวง สำนักเทียนเต้า และยังมีเชื้อพระวงศ์เก่าหรือว่าคลื่นใต้น้ำของจิงตู แผนการร้ายอะไร สถานการณ์อะไร เขาล้วนแต่ไม่อยากสนใจ ถ้าหากมีคนใช้อำนาจคุกคามการสมรสครั้งนี้ เขาไม่กลัวที่จะต้องสังหารคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไม่สามารถสังหารได้ก็ตาม
เพราะว่าเขามีบุตรสาวที่ดีคนหนึ่ง เพียงแค่ไม่ทรยศหักหลังองค์จักรพรรดินี ทำการสิ่งใดก็มิเป็นไร
แน่นอน ถ้าหากสามารถมีวิธีแก้ปัญหาปัจจัยที่ไม่แน่นอนเหล่านั้นได้ย่อมดีกว่า ดังเช่นเฉินฉางเซิงกับหญิงสาวผู้นั้น นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เช่นนั้นอันดับแรกเขาจะต้องมั่นใจบางเรื่อง หลังจากนั้นให้บางคนจัดเตรียมเรื่องบางอย่าง
“ไปสวนส้มจี๊ด” เขาเอ่ยออกมา
รถม้าจวนขุนพลเทพตงอวี้ค่อยๆ เปลี่ยนทิศทาง ตามทางเงียบสงัด มองข้ามการห้ามออกไปข้างนอกยามราตรีที่เข้มงวดของเมืองจิงตู ขับมุ่งไปยังทิศทางของพระราชวัง
สวนส้มจี๊ดเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ไกลจากพระราชวัง พื้นที่ไม่ใหญ่ ปลูกต้นส้มจี๊ดจำนวนมากมาย ราวกับอยู่ในชนบท
เป็นสวนหย่อมที่ไม่ไกลจากราชวัง ปลูกต้นส้มจี๊ดที่ไม่มีราคา คงจะไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่
ที่นั่นคือที่พักของแม่นางม่ออวี่
กลับมาถึงสำนักฝึกหลวง ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบ คิดถึงภาพที่อยู่บนหน้าต่างรถม้าก่อนหน้านี้ จิตใจของเฉินฉางเซิงย่ำแย่เล็กน้อย อยากจะกระโจนลงทะเลสาบตะโกนดังๆ สักสองที แต่ก็กลัวจะทำให้ผู้คนที่อยู่กำแพงด้านในสวนร้อยหญ้าตื่นตกใจ อยากจะด่าทอด้วยประโยคที่หยาบคาย กลับพบว่าตั้งแต่เยาว์วัยอาจารย์กับศิษย์พี่ไม่เคยสอนมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอย่างไร
เขาจึงหันกายเดินไปยังหอตำราด้วยความแค้นใจ เมื่อเดินผ่านป่าริมทะเลสาบ มองเห็นต้นส้มต้นหนึ่ง บนกิ่งไม้ที่เขียวชอุ่มมีผลส้มลูกเล็กๆ เพิ่งออกผล เขาจึงยื่นมือไปเด็ดเข้าปากด้วยความเคยชิน พลันถูกความเปรี้ยวทำให้คิ้วขมวดติดกัน
“แม้แต่เจ้าก็รังแกข้ารึ” เขาถีบต้นส้มต้นนั้นหนึ่งที ลมหายใจหนักหน่วง
ผลส้มเล็กๆ สีเขียวกระหน่ำร่วงหล่นลงมาราวกับฝนตก ด้านหลังต้นไม้มีเสียงโอ๊ยลั่นออกมา
ลั่วลั่วลูบศีรษะน้อยๆ แล้วเดินออกมา มือขวาถือกล่องอาหาร มือซ้ายกำลังปิดปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ราวกับว่าเห็นสิ่งที่แปลกประหลาด
เฉินฉางเซิงก็รู้สึกตกใจ กล่าวถาม “ไม่ใช่ว่ากลับไปนอนแล้วรึ”
ลั่วลั่วเอ่ย “แม่หลี่เตรียมอาหารว่างตอนกลางคืนไว้ ข้าจึงมากินกับอาจารย์”
เฉินฉางเซิงมองท่าทางของนาง จึงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ตกใจอะไรรึ”
ลั่วลั่วเบิกตาโต กล่าวอย่างจริงจัง “คิดไม่ถึง บุคคลดังเช่นอาจารย์จะมีด้านที่เยาว์วัยเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงรู้สึกเก้อเขิน จึงมุ่งไปยังหอตำรา
มีเสียงที่ต่ำแทบจะไม่ได้ยินพัดผ่านจากป่า ถูกคราบความเปรี้ยวและความเสียใจของส้ม
“ยังเหลืออีกไม่กี่เดือนถึงจะอายุครบสิบห้าปี ข้าเยาว์วัยเสียหน่อยจะเป็นไรเล่า…”