ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 60 ผลักประตูตำหนักเข้าไป
ตำหนักแสงจันทร์อยู่ทางทิศตะวันตก ห่างจากประตูทักษิณสุริยะของพระราชวังหนึ่งพันสี่ร้อยเก้าสิบสี่จ้าง จากประตูทักษิณสุริยะถึงด้านนอกตำหนักเว่ยหยางอีกเจ็ดร้อยกว่าจ้าง ตามความเร็วของนาง หากไม่รบกวนผู้มีฝีมือในพระราชวัง จากตรงนี้ถึงวังเว่ยหยางใช้เวลาเท่าไหร่ เสียงดนตรีที่ดังมาจากความมืดยามราตรีถึงบทไหนแล้ว
คณะทูตจากทางใต้จะต้องมาถึง และคงนั่งเรียบร้อยแล้ว การชุมนุมไม้เลื้อยใกล้จะเริ่มขึ้น หากตนรีบไปน่าจะยังทันเวลา ก่อนอื่นข้าจะต้องรู้สาเหตุก่อน ลั่วลั่วกำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยแววเย็นชา ทั่วทั้งตำหนักราวกับว่าเย็นยะเยือกขึ้นมา
โชคดีที่ตอนนี้ในตำหนักนี้นอกจากหญิงสาวรับใช้ในวัง มีนางกับเจ้าของตำหนักเท่านั้น ไม่มีผู้ใดจะตำหนิว่านางไม่มีมารยาทได้
ตำหนักแสงจันทร์เป็นตำหนักที่เงียบสงบที่สุดในพระราชวังต้าโจว แต่กลับเป็นตำหนักที่ตกแต่งวิจิตรงดงามที่สุด เพราะว่าผู้ที่พำนักอยู่ที่นี่เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทรงรักใคร่ องค์หญิงผิงกั๋วนั่งอยู่ตรงที่นั่ง ดวงหน้างามวิจิตร อายุดูเหมือนจะไม่มากนัก กระนั้นรูปโฉมกลับงดงามเป็นธรรมชาติ
เมื่อเผชิญหน้ากับองค์หญิงผิงกั๋วที่เป็นศูนย์รวมความรักใคร่ของราชวงศ์ต้าโจว คนธรรมดาแม้แต่การหายใจก็ยังไม่กล้า แต่อากัปกิริยาของลั่วลั่วกลับไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย คำพูดยังแฝงไปด้วยแววตำหนิ “ผิงกั๋ว เจ้าหลอกข้ามาที่นี่ ไม่ให้ข้าเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย แล้วยังไม่คิดจะอธิบายสักหน่อยหรือ”
หญิงรับใช้ในวังคนนั้นก่อนหน้านี้เป็นตัวแทนขององค์หญิงผิงกั๋วเชิญนางมาที่ตำหนักแสงจันทร์ คิดไม่ถึงว่าหลังจากมาถึงตำหนักแสงจันทร์ หญิงรับใช้ผู้นั้นกลับเอาแต่ประวิงเวลา หลังจากนางโต้ตอบกลับไป องค์หญิงผิงกั๋วถึงได้ปรากฏตัวขึ้น แต่เวลาก็ได้ล่วงเลยไปนานแล้ว
นางเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งนัก องค์หญิงผิงกั๋วทำเรื่องนี้คงเพราะถูกคนไหว้วาน จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการชุมนุมไม้เลื้อยแน่นอน นางคิดออกแต่เพียงผู้ติดตามของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องเขมือบมาที่สำนักฝึกหลวง กลับมิคาดคิดว่า เป้าหมายของอีกฝ่ายตั้งแต่ต้นจนจบนั้นล้วนอยู่ที่เฉินฉางเซิง
องค์หญิงผิงกั๋วได้ยินคำถามของลั่วลั่วก็ไม่ได้โมโห ยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ย “เพียงแต่หลายเดือนมานี้ไม่ได้เจอกัน ได้ยินว่าเจ้าเป็นนักเรียนที่แสร้งทำเป็นว่านอนสอนง่ายในสำนักฝึกหลวง ข้าถึงได้แปลกใจอยู่บ้าง จริงสิ อาจารย์ท่านนั้นที่เจ้ากราบเป็นคนเช่นไรกันแน่”
ลั่วลั่วไม่สนใจนาง จ้องตานางเขม็ง ถามต่อว่า “เพราะเหตุใด”
“ม่ออวี่รู้ว่าเจ้ากับข้าใกล้ชิดสนิทสนมกัน ดังนั้นจึงให้ข้าประวิงเวลาให้เจ้าอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง ส่วนเพราะเหตุใดนั้น…นางไม่ได้บอกข้า”
องค์หญิงผิงกั๋วกล่าวออกมา สีหน้าท่าทางเยือกเย็นอย่างยิ่ง มิได้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนอะไร
ลั่วลั่วกลับมองเจตนาออกจากท่าทางที่นางพยายามแสดงออกมา คนจำนวนมากต่างรู้ว่าระหว่างองค์หญิงผิงกั๋วกับแม่นางม่ออวี่นั้นมิได้สนิทสนมกันปานนั้น สาเหตุคงเป็นเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ภายนอกถึงยังคงรักษาไมตรีจิตกับคำพูดพิธีรีตองไว้ แน่นอนว่านางไม่เชื่อในคำพูดของนางอยู่แล้ว
องค์หญิงผิงกั๋วกล่าวว่า “ไม่ต้องคิดมากหรอก ม่ออวี่ได้รับคำสั่งขององค์จักรพรรดินีในการจัดการการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนสุดท้าย สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือการหมั้นหมายระหว่างนกหงส์ตัวนั้นกับเด็กน้อยของตระกูลชิวซาน นางให้ข้าถ่วงเวลาไว้ให้เจ้าอยู่ตรงนี้ คงเกรงว่าเมื่อถึงเวลาเจ้าจะออกไปก่อเรื่องกระมัง”
นางมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์อย่างชัดเจน กลับเรียกชิวซานจวินว่าเด็กน้อย ช่างน่าประหลาดนัก
ลั่วลั่วไม่สามารถปรับตัวให้ชินกับลักษณะเช่นนี้ของนางได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยความระอา “พูดให้มันดีๆ หน่อย…ข้ามิใช่เจ้า ทำไมข้าต้องก่อเรื่องด้วย”
ดวงตาขององค์หญิงผิงกั๋วเป็นประกายเล็กน้อย รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง เอ่ยว่า “แล้วทำไมข้าต้องก่อเรื่องด้วยรึ ลั่วลั่วเจ้าชอบพูดเรื่องตลกเสียจริง”
ลั่วลั่วกล่าว “เจ้าไม่ชอบสวีโหย่วหรง…ขอเพียงเป็นคนที่เคยอยู่พระราชวังมาก่อน มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้”
องค์หญิงผิงกั๋วหุบยิ้มโดยพลัน เอ่ยเสียงเย็น “องค์จักรพรรดินีชื่นชอบนาง เพราะเหตุใดข้าจะต้องชื่นชอบนางด้วยเล่า หากเอ่ยอีก เด็กน้อยตระกูลชิวซานงดงามสมบูรณ์ไร้ที่ติ ดีเลิศเช่นนี้ ก็ควรจะเป็นราชบุตรเขยของราชวงศ์ต้าโจว เพราะเหตุใดจะต้องสมรสกับปลาตีนบ้านนอกอย่างนางด้วย!”
ลั่วลั่วเอ่ยถากถางเล็กน้อย “ถึงแม้เจ้าจะนำเรื่องทะเลาะวิวาทตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยมาเอ่ยนับครั้งไม่ถ้วน ก็ไม่อาจกระทบถึงตำแหน่งนางที่อยู่ในใจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับทุกคนได้ อย่าว่าแต่ชิวซานจวินเลย หากเป็นข้าก็เต็มใจจะแต่งกับนาง มิใช่แต่งกับเจ้า”
องค์หญิงผิงกั๋วโมโหอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “สุดท้ายแล้วเจ้าอยู่ข้างไหนกันแน่”
ลั่วลั่วกล่าวตอบ “เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ข้าชอบนางมาตลอด แน่นอน หากเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าย่อมยืนอยู่ข้างเจ้าได้”
องค์หญิงผิงกั๋วยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองนางเงียบนิ่ง ทันใดนั้นแสยะยิ้มออกมา พลางเอ่ยว่า “ครั้งแรกที่ม่ออวี่ของร้องให้ข้าทำเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะกระโจนเข้าไปเลยหรือ”
ลั่วลั่วยืดตัวลุกขึ้นมองนางเงียบๆ ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อตนเอง มิใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็ไม่เคยทำหรอกหรือ”
องค์หญิงผิงกั๋วทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “อย่างไรเสียข้าก็เป็นองค์หญิง ย่อมต้องทำบางอย่างเพื่อราชวงศ์ต้าโจวบ้าง”
ลั่วลั่วใคร่ครวญดูแล้วถึงจะเข้าใจความหมายของนาง น่าจะเกี่ยวข้องกับคณะทูตจากทางใต้ที่มาสู่ขอในคืนนี้ แต่กลับไม่เข้าใจว่า ตนจะต้องอยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อยหรือไม่ แล้วจะส่งผลกระทบต่อการสู่ขอครั้งนี้อย่างไร ถึงแม้ตนจะเลื่อมใสในตัวชิวซานจวิน แต่ก็ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ ต่อเขา
มือของนางยกขึ้น ไม่ห่างจากเข็มขัด เพียงแค่ต้องการการไตร่ตรอง ก็จะดึงแส้วิรุณโปรยออกมา
ฝ่ายตรงข้ามเป็นองค์หญิงผิงกั๋วแห่งราชวงศ์ต้าโจว ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นนางก็ไม่สามารถล่วงเกินได้ แต่ตอนนี้ จู่ๆ ลั่วลั่วก็นึกอยากจะสังหารนางขึ้นมา เพราะว่านางฉุกคิดขึ้นได้ว่า เมื่อฝ่ายตรงข้ามกล้าหลอกตนมาถึงตำหนักแสงจันทร์ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะลงมือกับอาจารย์ไปแล้ว!
องค์หญิงผิงกั๋วรู้อุปนิสัยของนาง แต่กลับมิได้หวาดกลัว อมยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “หลายวันก่อนได้ยินว่าเจ้าจัดการลูกพี่ลูกน้องข้าในการชุมนุมไม้เลื้อยจนพิการ สมกับเป็นลั่วลั่วเสียจริง ข้าคงต่อสู้เอาชนะเจ้าไม่ได้หรอก แต่…หากข้าเป็นอะไรขึ้นมา ครอบครัวของเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือ”
ลั่วลั่วจ้องมองนาง พลางเอ่ย “ตระกูลเทียนไห่ล้วนแต่ อันที่จริงพวกเรารับผิดชอบมิไหว…แต่เจ้าก็รู้ ตระกูลข้ามีคนแปลกๆ มากมาย ถ้าหากข้าเกิดเรื่องที่จิงตู ถึงแม้จะเป็นเจ้า รวมทั้งม่ออวี่ด้วยแล้ว จะรับผิดชอบไหวหรือ”
องค์หญิงผิงกั๋วกล่าวเหมือนคนไม่มีความผิด “ที่นี่คือพระราชวังต้าโจว เจ้าจะเกิดเรื่องได้อย่างไรกันเล่า”
ในความมืดยามราตรีด้านนอกตำหนักแสงจันทร์ ไม่ทราบว่ามีองครักษ์ของพระราชวังกับยอดฝีมือซุ่มซ่อนตัวมากน้อยเท่าใด
คนพวกนั้นแน่นอนว่าไม่กล้าทำร้ายลั่วลั่วจริงๆ แต่ปิดล้อมขังนางไว้ได้
ก็เหมือนเพราะสาเหตุเหล่านี้ ม่ออวี่เองก็หมดหนทางจะทำร้ายเฉินฉางเซิงจริงๆ ดังนั้นจะต้องหาวิธีปิดล้อมเขาไว้
ตอนนี้พวกเขาสองคนศิษย์อาจารย์ ต่างกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขันเช่นกัน
“ไม่ต้องแสแสร้งแกล้งทำเป็นโง่งมต่อหน้าข้า ข้าเองก็ชำนาญยิ่งนัก”
ลั่วลั่วสะบัดแส้วิรุณโปรยในมือเบาๆ จ้องมองนางพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าอยากมีเรื่องเอง ผู้ใดจะทัดทานได้”
ท่าทางของผิงกั๋วหวาดกลัวเล็กน้อย เพราะว่านางมองเห็นความเด็ดเดี่ยวของลั่วลั่ว ถ้าหากลั่วลั่วเกิดเรื่องที่พระราชวังต้าโจวจริง นางกับม่ออวี่รวมกันก็คงไม่มีทางรับผิดชอบไหว กุญแจที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องราวในคืนนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงไม่ทราบเป็นแน่ แม่น้ำแดงแปดร้อยลี้โกรธเคืองขึ้นมา จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไรกัน
“เด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงนั่นมีอะไรดีกันแน่ ถึงทำให้เจ้าหลงจนหมดหัวใจจนกลายเป็นเช่นนี้” นางจ้องมองลั่วลั่ว ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องงงสนใจ และก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าสนใจจริงๆ ด้วย”
มือขวาของลั่วลั่วขยับเบา ๆ แส้วิรุณโปรยขยับไหวอย่างเชื่องช้าอยู่บนอิฐทองคำ นางมองไปที่องค์หญิงผิงกั๋วพลางเอ่ย “ตอนนี้ข้าก็ไม่อยากจะสนใจว่าเป้าหมายของพวกเจ้าคือสิ่งใดกันแน่ แค่เพียงต้องการให้เจ้าออกคำสั่งให้ผู้คนที่อยู่ด้านนอกตำหนักหลีกทาง ข้าต้องไปเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยแล้ว” องค์หญิงผิงกั๋วนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด เหมือนกับกำลังลังเล หากแต่ในความเป็นจริงกลับกำลังคำนวณเวลาในใจเงียบๆ รอยืนยันว่าเป็นไปตามที่ม่ออวี่กล่าวไว้ เวลานี้หนุ่มน้อยผู้นั้นคงจะถูกล้อมไว้ในวังถงแล้ว จึงแหงนหน้าขึ้นมายิ้มน้อย ๆ
“เชิญ” นางจ้องมองลั่วลั่วกล่าวขึ้นมา “หวังว่าเจ้าจะมาทันนะ”
……
……
ราตรีอันมืดสนิท ทั้งตำหนักสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน ลั่วลั่วมาถึงด้านนอกของวังเว่ยหยาง เส้นผมข้างแก้มพลิ้วปลิวเล็กน้อย เม็ดเหงื่อผุดขึ้นระหว่างคิ้ว นางจ้องมองไปยังเงาด้านหลังตำหนัก เห็นภาพด้านหลังของผู้ช่วยจินกับผู้ดูแลหลี่ เอียงศีรษะฟังเงียบ ๆ ชั่วครู่ คิ้วงามทั้งคู่ขมวดเล็กน้อย มีความโกรธเคืองแฝงอยู่
เฉินฉางเซิงไม่อยู่ในตำหนัก ก่อนหน้านี้ เขายังสนทนากับขุนพลเทพสวีซื่อจีอยู่ในห้องด้านข้างของตำหนัก ต่อมาเฉินหลิวอ๋องกล่าวกับเขาไม่กี่ประโยค ผู้ช่วยจินกับผู้ดูแลหลี่ไม่สะดวกจะเข้าไปใกล้ คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียว เขาจะหายไปในความมืดยามราตรี ไม่รู้ว่าไปแห่งหนใดเสียแล้ว
ลั่วลั่วมองพระราชวังต้าโจวที่อยู่ในความมืด อาคารและชายคาสูงนับไม่ถ้วน นิ่งเงียบไม่พูดจา นางทราบดีว่า ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านี้ การเสาะหาคนหนึ่งคนในพื้นที่กว้างใหญ่เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เช่นนั้นตนควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ต้าโจวบางคนไม่ปรารถนาให้อาจารย์กับตนปรากฏในการชุมนุมไม้เลื้อย เพราะว่าคณะทูตจากทางใต้ต้องการมาสู่ขอ นี่เป็นเพราะอะไรอีกเล่า นางบีบถุงผ้าไหมในแขนเสื้อ กำลังคิดถึงสิ่งที่อาจารย์มอบหมายก่อนที่จะออกมาจากสำนักฝึกหลวง หัวคิ้วยิ่งเลิกสูงกว่าเดิมราวกับว่ามันจะโบยบินไปแล้วมิปาน
เรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามไม่อยากให้ตนกระทำ เช่นนั้นก็จะยิ่งต้องทำให้จงได้
ลั่วลั่วไม่คิดให้มากความ มุ่งตรงไปเปิดประตูตำหนักที่หนักอึ้งออก เดินเข้าไปต้อนรับแสงสว่างภายในตำหนัก
ในตำหนัก คณะทูตจากทางใต้มาถึงยังตำหนักแล้ว กำลังทำความเคารพบรรดาสำนักไม้เลื้อยและพวกผู้ใหญ่ในราชสำนัก มีคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนกำลังแนะนำตนเอง ทักทายตามมารยาท เป็นภาพที่แลดูความสุขปรองดอง คึกคักเป็นพิเศษ
เวลานี้ มีเสียงปังดังขึ้นมา ประตูตำหนักถูกคนผลักให้เปิดออก!
สายลมยามค่ำคืนที่หนาวเย็นแม้ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามา แสงสว่างในตำหนักกลับแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที เพราะว่าคนที่ผลักประตูเข้ามานั้นเห็นได้ชัดว่าไร้มารยาทยิ่งนัก
เมื่อมองชัดเจนว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงประตูตำหนักคือผู้ใด ด้านในตำหนักพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดจนผิดปกติ
ก่อนหน้านี้มีคนสังเกตเห็นว่าโต๊ะของสำนักฝึกหลวงว่างเปล่าไร้ผู้คน รู้สึกแปลกประหลาดใจ เวลานี้ในที่สุดก็มองเห็นเป้าหมายแล้ว
สายตาของลั่วลั่วกวาดมองรอบตำหนัก
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็คงจะเป็นผู้นำตระกูลชิวซาน นามชิวซานหยวนซิน
ผู้อาวุโสที่มีหนวดเคราสีขาวผู้นั้น บนโต๊ะด้านหน้าวางเพียงน้ำเปล่าถ้วยหนึ่งและลูกสาลี่สีเขียวหนึ่งผล คงจะเป็นผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซานนามว่าเสี่ยวซงกง
หญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้าสีขาว จิตใจสงบนิ่งเยือกเย็น ในเมื่อสวมใส่ชุดพิธีการของสำนัก ทั้งยังนั่งใกล้ชิดกับบรรดาอาจารย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า คงจะเป็นเทพธิดาในสำนักเดียวกัน
หนุ่มน้อยทั้งสามที่มีท่าทางเย็นชา วางกระบี่ขวางบนตัก คงจะเป็นยอดฝีมือดินแดนเทพทั้งเจ็ดในตำนาน
บรรดาลูกศิษย์สำนักไม้เลื้อยทั้งห้าสำนักและนักเรียนที่ผ่านการสอบใหญ่ของราชสำนักล้วนแต่เคยพบมาแล้ว
ในตำหนักมีผู้คนมากมาย แต่ไม่มีเฉินฉางเซิง
สายตาของลั่วลั่ว สุดท้ายแล้วหยุดอยู่ที่โต๊ะประชุมด้านหน้าสุด
โต๊ะตัวนั้นห่างจากเฉินหลิวอ๋องที่เป็นประธานในพิธีใกล้อย่างยิ่ง เกือบจะใกล้กับตำแหน่งของชิวซานหยวนซินกับเสี่ยวซงกง
คนที่นั่งโต๊ะตัวนั้นกลับเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง
ท่าทางของหนุ่มน้อยผู้นั้นอบอุ่น เป็นกันเองอย่างยิ่ง พลังลมปราณธรรมดา แต่คงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เพราะในแววตาของเขามีแสงสว่าง
ลั่วลั่วจ้องมองคนผู้นั้น รู้ว่าเขาจะต้องเป็นโก่วหานสือแห่งเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ
โก่วหานสือในตำนานนั่นเอง