ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 67 นกกระเรียนขาวเป็นหลักฐาน (ตอนปลาย)
คู่ควรที่จะเป็นผู้นำของรุ่นหนุ่มของพรรคกระบี่เขาหลีซาน คู่ควรที่จะเป็นลำดับที่สองให้ชิวซานจวินหยิบยืมสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตลอดเวลาโก่วหานสือมิได้เอ่ยสิ่งใด เมื่อได้เอ่ยออกมาก็ทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะตอบยิ่ง เพราะว่าคำพูดของเขาอยู่ระหว่างมีเหตุผลกับไร้เหตุผล ทว่ากลับเข้าถึงความรู้สึกและเหตุผล
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วขณะ เตรียมที่จะตอบรับ แต่ทว่าขณะเขากำลังตั้งท่าจะเอ่ยปาก แม้จะต้องแบกรับความยากลำบากที่ทั่วทั้งใต้หล้ามอบให้ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปอยู่ดีนั้น เขากับผู้คนก็ได้ยินเสียงร้องมาจากด้านนอกตำหนัก
เสียงร้อง ปกติถูกเรียกว่าเสียงแผดร้อง
เสียงแผดร้องนี้กังวานใสแต่แข็งกร้าว
นกกระเรียนขาวตัวหนึ่งออกมาจากความมืดยามราตรี ทั่วทั้งตัวมีสีขาวดุจหิมะ โบยบินร่อนลงมามายังพื้นของห้องโถงตำหนัก ลำคอเรียวเล็กหมุนเล็กไปมาน้อย ท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง
มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้จักนกกระเรียนตัวนี้ ดังเช่นสวีซื่อจี สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นยิ่งน่าเกลียดขึ้น ดังเช่นอาจารย์หญิงกับศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ของพวกเขาตื่นเต้นเล็กน้อย ดังเช่นโก่วหานสือและศิษย์เขาหลีซานคนอื่นๆ พวกเขาเคยพบเห็นนกกระเรียนขาวตัวนี้อยู่ที่ที่พักของศิษย์พี่หลายครั้ง
เฉินฉางเซิงก็รู้จักนกกระเรียนขาวตัวนี้ เพียงแค่ไม่ได้พบเจอมานานหลายปี จ้องมองนกกระเรียนขาวตัวนี้ จิตใจของเขาสับสนเล็กน้อย
นกกระเรียนขาวตัวนี้มาจากทางใต้ นำจดหมายของสวีโหย่วหรงมาด้วยหนึ่งฉบับ
……
……
ม่ออวี่อ่านจดหมายฉบับนั้นจบแล้ว จ้องมองไปยังฝูงชนที่อยู่ในตำหนัก พบเพียงว่าทุกคนที่อยู่ในตำหนักต่างนิ่งเงียบ นางถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “คืนนี้พอแค่นี้เถอะ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตำหนักดังเซ็งแซ่ไม่หยุด รู้สึกรบกวนจิตใจ ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าข้างในจดหมายเขียนอะไร เพราะเหตุใดแม่นางม่ออวี่ถึงประกาศการสิ้นสุดการชุมนุมไม้เลื้อยโดยตรง สีหน้าของเสี่ยวซงกงเคร่งขรึม พลางเอ่ยถาม “เนื้อหาข้างในจดหมายไม่สะดวกที่จะเปิดเผยหรือ”
ม่ออวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางสนับสนุนการสู่ขอของคณะทูตทางใต้ แต่เมื่อฟังคำพูดของผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซานท่านนี้ อดไม่ได้ที่จะโมโหเล็กน้อย ในใจคิดว่าตนอุตส่าห์ให้เกียรติพวกท่าน จึงอยากจะสิ้นสุดการชุมนุมไม้เลื้อยก่อนเวลา ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี เช่นนี้ก็สุดแล้วแต่
นางจึงยื่นจดหมายให้เฉินหลิวอ๋อง มิได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป
เฉินหลิวอ๋องอ่านจดหมายฉบับนั้น อารมณ์บนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสดใส
หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มอ่านประกาศให้ทุกคน เดิมทีนี่เป็นความต้องการของเจ้าของจดหมาย
เนื้อหาของจดหมายเรียบง่ายยิ่ง มีเพียงสิบกว่าบรรทัด ทว่าความหมายที่จะสื่อชัดเจนยิ่งนัก
ไม่เหมือนกับที่ผู้คนในตำหนักคาดคิดไว้ จดหมายฉบับนี้ถึงแม้จะมาจากทางใต้ แต่ไม่ได้มาจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าสวีโหย่วหรงไม่ได้อยู่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีหลายสิบวันก่อน นางเดินทางไปฝึกบำเพ็ญเพียรทนทุกข์ทรมานที่หนานไห่ หากนับเวลาแล้ว ก็เป็นเวลาก่อนที่คณะทูตจะเดินทางออกมาพอดี
ภาษาในเนื้อหาจดหมายฉบับนี้ราบเรียบและไม่ได้ใส่ใจ ให้ความเคารพต่อผู้ที่เข้าร่วมงานในค่ำคืนนี้ที่มาจากทุกสารทิศ ให้ความขอบคุณต่อผู้อาวุโสที่มุ่งหน้ามาจิงตูเพื่อมาสู่ขอ เพราะว่าบรรดาผู้อาวุโสห่วงใยใกล้ชิดนาง หากนางกลับมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้แตกต่างออกไป
ข้อความครึ่งท่อนแรกของจดหมายฉบับนี้ได้สิ้นสุดลง นางมิได้บ่งชี้เรื่องใดๆ แต่ผู้คนที่อยู่ในตำหนักต่างเข้าใจเรื่องที่นางอยากบ่งชี้ นางไม่รู้เรื่องที่คณะทูตทางใต้มาจิงตูเพื่อสู่ขอ หรืออาจจะกล่าวว่า นิกายหนานฟางก่อนทำเรื่องราว มิได้สอบถามความคิดเห็นจากนาง
สีหน้าของผู้คนจำนวนมากแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเล็กน้อย บางคนมีสีหน้าโล่งใจ โดยสรุปแล้วมีทุกอารมณ์หลากสีสันที่ปรากฏออกมา
ถูกแล้ว การสมรสเป็นชีวิตของบิดามารดา ถ้อยวาจาเป็นของแม่สื่อ ฟ้าดิน จักรพรรดิ คนใกล้ชิดและอาจารย์อยู่เหนือขึ้นไป ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับผู้ที่จะสมรสมากเท่าไหร่ คนธรรมดาหากจะหมั้นหมายแท้จริงไม่ต้องการการยินยอมจากฝ่ายสตรี แต่สวีโหย่วหรงมิใช่คนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ยังมีคนกล่าวเช่นนี้มาแล้ว
ผู้คนจ้องมองแววตาของโกว่ฮันฉือ รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ถังซานสือลิ่วกล่าวเยาะหยันออกมา “ เดิมที นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าการเคารพ ”
ก่อนหน้านี้โกว่ฮันฉือกล่าวว่าเฉินฉางเซิงควรจะเคารพความคิดเห็นของสวีโหย่วหรง ควรมีน้ำใจของบุรุษ
แต่ทว่าเดิมทีนิกายหนานฟางยังมิเคยร้องขอความคิดเห็นของสวีโหย่วหรงมาก่อน ยิ่งส่งคนมาสู่ขอยังจิงตู นี่ยังเป็นการเคารพอีกหรือ
โก่วหานสือเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เขาไม่รู้ว่าเรื่องการสู่ขอครั้งนี้ศิษย์น้องจะไม่ล่วงรู้ เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขายิ่งไม่เข้าใจเพราะเหตุใดศิษย์น้องถึงส่งนกกระเรียนให้นำจดหมายมา หรือว่านาง…ไม่อยากสมรสกับศิษย์พี่จริงๆ หรือ
ไม่ คงจะไม่ใช่เช่นนั้น
เขาอยากรู้ว่าเนื้อความท่อนหลังของจดหมายคืออะไร
ทุกคนในตำหนักล้วนแต่คิดเช่นนี้ ต่างมองไปยังกระดาษแผ่นบางที่อยู่ในมือของเฉินหลิวอ๋อง
ท่อนหลังของจดหมายฉบับนี้ สวีโหย่วหรงมิได้แสดงความรู้สึกโกรธแค้นหรือเกลียดชังแต่อย่างใด ก็เหมือนกับการกล่าวก่อนหน้านี้ ท่านอาวุโส ครอบครัวและคนใกล้ชิดจัดการเรื่องการสมรสแทนตน ไม่ว่าจะมองอย่างไรแล้ว ล้วนแต่เข้าใจว่าเป็นเพราะห่วงใยรักใคร่
นางเป็นสายเลือดของหงส์แท้จริง เป็นเทพธิดาหนานฟางรุ่นต่อไป มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉายำเกรงพรสวรรค์และคุณสมบัติที่นางมี ยังมีเหตุผลที่มากกว่านี้ คุ้มค่าที่จะเคารพมากกว่านี้ ดังนั้นโก่วหานสือถึงกล่าวประโยคเหล่านั้นออกมา ด้วยเหตุนี้หลังจากนางบ่งชี้รางๆ ในจดหมายว่าตนไม่รู้เรื่องราวการสู่ขอ ผู้คนในตำหนักจึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วก่อนที่นางจะเติบโต นางยังคงเป็นคุณหนูแห่งจวนขุนพลเทพตงอวี้ เป็นศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
นางสามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องที่คนในตระกูลและอาจารย์จัดการ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนในใต้หล้ากิริยาของนางจะต้องเงียบนิ่งและน่าเคารพ เช่นนี้ถึงจะเป็นนางที่ไร้ที่ติดีเลิศในสายตาของผู้คนในใต้หล้า แน่นอนว่าผู้คนในใต้หล้าล้วนแต่คิดว่านางกับชิวซานจวินถูกตาต้องใจกัน หรือนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่นางเงียบนิ่ง
แต่ทว่าท่อนหลังของจดหมายฉบับนี้ บอกทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาคิดผิดแล้ว
สวีโหย่วหรงเขียนในจดหมายชัดเจน ระหว่างนางกับชิวซานจวินรักใคร่ดังศิษย์ร่วมสำนัก ความรู้สึกดังศิษย์พี่ศิษย์น้อง
นางเคารพศิษย์พี่ กลับไม่เคยคิดจะครองคู่อยู่ด้วยกัน
ในจดหมายนางยังเขียนอีกว่า ไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะมาทันหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะทันหรือไม่ สรุปคือ……
นางจะไม่สมรส
……
……
เป็นสิบกว่าบรรทัดที่เรียบง่าย แต่ความหมายชัดเจน เพียงแค่ยังคงขาดเหตุผลเล็กน้อย
ผู้คนที่อยู่ในตำหนักจ้องมองกระดาษที่อยู่ในมือของเฉินหลิวอ๋อง นิ่งอึ้งไร้เสียง
เพราะเหตุใด ทั้งหมดทั้งมวลนี้แท้จริงเพราะเหตุใด เพราะเหตุใดนางกล่าวได้สงบนิ่งเช่นนี้ ยืนยันเช่นนี้
เรื่องการสมรสครั้งนี้เป็นการเกี่ยวดองกันระหว่างนิกายหนานฟางกับราชวงศ์ต้าโจว นี่คือจิตใจที่แน่วแน่ร่วมกันของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ท่านราชครู เทพธิดาหนานฟางและพรรคกระบี่เขาหลีซาน จิตใจแน่วแน่ที่น่าเกรงกลัวเผชิญหน้าเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นสวีโหย่วหรง แล้วจะมีเหตุใดอะไรที่จะปฏิเสธเล่า
สวีโหย่วหรงใช้ประโยคสุดท้ายในจดหมาย เพื่ออธิบายให้กับทั่วทั้งต้าลู่เข้าใจ
เป็นการอธิบายที่เรียบง่าย กลับไม่สามารถหักล้างได้
เหมือนกับที่เฉินฉางเซิงอธิบายก่อนหน้านี้ว่าทำไมจะต้องคัดค้านการหมั้นหมายระหว่างนางกับชิวซานจวิน
“เพราะว่าข้ามีการหมั้นหมายแล้ว ว่าที่สามีข้านามว่าเฉินฉางเซิง ”
……
……
ทั่วทั้งตำหนักเงียบนิ่ง เงียบเป็นเป่าสาก
ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดเชื่อคำพูดของเฉินฉางเซิง ถึงแม้จะมีหนังสือสมรสของเขามายืนยัน ก็ไม่มีผู้ใดเห็นพ้องต้องกันกับเรื่องนี้ จนกระทั่งนกกระเรียนนำจดหมายฉบับนี้มา นำความคิดของสวีโหย่วหรงมา จดหมายฉบับนี้ราวกับตบใบหน้าของทุกคนฉาดใหญ่
ม่ออวี่ก่อนหน้านี้ได้อ่านจดหมายแล้ว ในใจครุ่นคิด เจ้าเด็กนั่นแท้จริงกำลังคิดสิ่งใดอยู่
นัยน์ตาของลั่วลัวราวกับมีดวงดาวกำลังเปล่งประกาย เอ่ยชื่นชมออกมา “สมกับที่เป็นสวีโหย่วหรง…ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เฉินฉางเซิงก้มหน้าลง จ้องมองเงาของตนที่สะท้อนจากอิฐทองคำ เมื่อเฉินหลิวอ๋องอ่านจดหมายก่อนหน้านี้ ท่าทางของเขาก็เงียบนิ่งไปด้วย จิตใจยิ่งนานยิ่งผ่อนคลาย สุดท้ายกลับห่อเหี่ยวใจอย่างไม่เข้าใจ
ชัดเจนว่านางไม่อยากสมรสกับข้า ค่ำคืนนี้กลับเขียนจดหมาย สุดท้ายแล้วเป็นเพราะเหตุใด
ตอนนั้นเอง นกกระเรียนขาวตัวนั้นเดินเนิบนาบมาหยุดตรงหน้าเขา ยื่นลำคอไปสัมผัสเขาอย่างสนิทสนม
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น จ้องมองนกกระเรียนขาวยิ้มออกมา ยืนมือไปจับตรงส่วนโค้งของลำคอเรียวเล็ก ตบเบาๆ
เห็นภาพภาพนี้ ผู้คนในตำหนักยิ่งเงียบนิ่ง
ผู้คนต่างรู้ดีว่านกกระเรียนขาวตัวนี้นอกจากส่งหนังสือเป็นระยะทางไกลหมื่นลี้ แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเงาตามตัวสวีโหย่วหรง ซ้ำยังหยิ่งยโส มิคาดคิดเวลานี้จะใกล้ชิดผูกพันกับเฉินฉางเซิงเพียงนี้ เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าเฉินฉางเซิงกับนกกระเรียนขาวตัวนี้รู้จักกันมาก่อนแล้วและยังสนิทสนมคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ขนาดนกกระเรียนยังเป็นเช่นนี้ แล้วคนจะเพียงไหน
เดิมทีจดหมายฉบับนั้นเอ่ยล้วนแต่เป็นความจริง มิใช่ข้ออ้าง และก็มิใช่เพราะว่าสวีโหย่วหรงเคารพความปรารถนาของบรรพบุรุษ จึงถูกบีบบังคับให้ยอมรับการสมรสครั้งนี้
นางกับหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิง หรือว่าจะเป็นเยาว์วัยผูกพันชิดใกล้อย่างแท้จริง
“เยาว์วัยผูกพันชิดใกล้ ความรู้สึกมั่นคงดั่งทองรึ”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองโก่วหานสือกับผู้คนในคณะทูตทางใต้พลางเอ่ยขึ้นมา
คำเหล่านี้เป็นคำที่โก่วหานสือหยิบยกขึ้นมาอธิบายความผูกพันระหว่างชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรง
ถังซานสือลิ่วใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับไม่ใส่ใจ หากแต่ซุกซ่อนไปด้วยแววเสียดสีและเยาะหยัน
“ข้าว่า คงเป็นการคิดเองเออเองกระมัง”