ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 70 หนุ่มน้อยคนหนึ่ง
ปลายทางแม่น้ำวั่งชวนในเมืองไป๋ตี้ เนินดินแม่น้ำแดงแปดร้อยลี้….ยังจะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า
องค์หญิงหนึ่งเดียวของเผ่าปีศาจ คาดไม่ถึงจะมาปรากฏตัวที่นี่!
ท่าทางของผู้คนในตำหนักหวั่นไหวถึงขีดสุด มีเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าดังขึ้น ผู้คนทั้งหมดลุกขึ้นเตรียมที่จะทำความเคารพ
“มารดาข้า เป็นองค์หญิงของดินแดนต้าซี”
ลั่วลั่วจ้องมองผู้คนในตำหนัก กล่าวต่อ “บิดาของข้านามว่าไป๋สิงเยี่ย”
เมื่อชื่อของทั้งสองคนดังขึ้นมา บรรยากาศในตำหนักแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัดยิ่งขึ้น ตึงเครียด เงียบสงัดดั่งความเงียบแห่งความตายก็มิปาน
ชื่อทั้งสองเป็นตัวแทนของอำนาจบารมีกับความสามารถ รายชื่อทั้งสองอยู่ในอันดับของผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า
คู่สามีภรรยาของเมืองไป๋ตี้ ล้วนแต่เป็นบุคคลระดับเดียวกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ กับท่านราชครู
ผู้คนในคณะทูตทางใต้เงียบนิ่งไร้เสียง พวกเขากำลังจ้องมองเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหลังของลั่วลั่ว สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดน่าเกลียด
ผู้คนก่อนหน้านี้ให้ความสนใจความสัมพันธ์ระหว่างลั่วลั่วกับเฉินฉางเซิงว่าไม่เหมือนกับผู้คนทั่วไป
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ลั่วลั่วจ้องมองผู้คนในคณะทูตทางใต้พลางกล่าวว่า “อาจารย์ของเรา เฉินฉางเซิง”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ นางหันหน้าไปมองเฉินฉางเซิง
บิดา มารดา อาจารย์
นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เมื่อพูดเช่นนี้ นางนำบุคคลทั้งสามวางไว้ตำแหน่งเดียวกัน
ความคิดไม่เหมือนกับผู้คนที่อยู่ในจิงตูก่อนหน้านี้ ลั่วลั่วเข้ามาในสำนักฝึกหลวงไม่ใช่เพราะว่าประสบการณ์ที่น่าสนใจ แต่เป็นเพราะต้องการศึกษาจริงๆ นางมองเฉินฉางเซิงเป็นบุคคลในครอบครัวและผู้อาวุโสที่นางเคารพ
ผู้คนในตำหนักตื่นตะลึงไม่เอ่ยสิ่งใด ท่าทางของโก่วหานสือยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและหนักแน่นยิ่งขึ้น
หนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะถูกยกมากล่าวเปรียบเทียบกับคู่สามีภรรยาไป๋ตี้ได้!
“ขอเรียนถาม อาจารย์ของเรามีตรงไหนที่เทียบไม่ได้กับชิวซานจวินหรือ”
ลั่วลั่วจ้องมองผู้คนในคณะทูตทางใต้พลางเอ่ยถาม
ผู้คนในคณะทูตทางใต้ไม่มีประโยคใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมา เพราะว่าหมดหนทางที่จะตอบคำถาม
ไม่ว่าชิวซานจวินจะเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างไร หากนำเพียงแค่ฐานะตำแหน่งมาพิจารณา แล้วจะเทียบกับอาจารย์ขององค์หญิงที่จะดำรงตำแหน่งปกครองอาณาจักรเผ่าปีศาจในภายภาคหน้าได้อย่างไร
ลั่วลั่วจ้องมองไปยังนักเรียนวัยเยาว์อ่อนด้อยที่ก่อนหน้านี้กล่าวคำวิจารณ์เหลวไหลเลยเถิด ขมวดคิ้วพลางกล่าวถาม “เพราะต้องการต่อต้านเผ่ามาร มนุษย์ต้องการความสามัคคี ทิศใต้ทิศเหนือต้องการมาบรรจบกัน ดังนั้นสวีโหย่วหรงจะต้องสมรสกับชิวซานจวินหรือ เพราะคำว่าคุณธรรม จะต้องให้หญิงสาวคนหนึ่งสมรสกับคนที่นางไม่อยากสมรสหรือ ”
นักเรียนวัยเยาว์ผู้นั้นกล่าวเสียงสั่นเล็กน้อย “นั่นเป็นสิ่งไม่สมควรหรือ”
“แน่นอนว่าไม่สมควร!”
ลั่วลั่วจ้องมองคนผู้นั้นพลางเอ่ยเหน็บแนม “นั่นเป็นอาจารย์หญิงของข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะให้นางสมรสกับบุรุษอื่น ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าเป็นสายลับของเผ่ามารหรือเปล่า”
นักเรียนคนนั้นใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหจัด กระนั้นกลับไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
ลั่วลั่วจ้องมองฝูงชนในตำหนัก กล่าวว่า “ชื่อเสียงของคำว่าคุณธรรม เราก็คือคุณธรรม อาจารย์ของเรามีคุณธรรมอยู่ในมือโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะใช้คุณธรรมมาคุกคามเขา ช่างน่าหัวเราะเยาะเสียจริง!”
นักเรียนวัยเยาว์ผู้นั้นอยากจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่พินิจถี่ถ้วนแล้ว กลับพบว่าตนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้ เหงื่อไหลโทรมกายในทันที
ในตำหนักก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านประโยคนี้ของลั่วลั่ว
เพราะต้องต่อต้านเผ่ามาร เผ่ามนุษย์จึงต้องการความสามัคคี วิถีการมาบรรจบกันของทางใต้ควรจะเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นก่อนหน้านี้นักเรียนวัยหนุ่มถึงจะเอ่ยออกมาว่า สวีโหย่วหรงควรจะต้องสมรสกับชิวซานจวิน
แต่ทุกคนล้วนแต่ทราบดีว่า สัมพันธมิตรระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ถึงจะเป็นการต่อต้านเผ่ามารที่แท้จริง!
ถ้าหากกล่าวว่าการต่อต้านเผ่ามารคือคุณธรรม เช่นนี้การปกป้องความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์เป็นคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
มองตามตรรกะของนักเรียนวัยเยาว์ผู้นี้กับผู้คนที่ไร้ยางอายบางคน ในเมื่อลั่วลั่วจะเป็นตัวแทนสนับสนุนการสมรสระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง เช่นนั้นคนที่คิดวางแผนยับยั้งการสมรสในครั้งนี้ เป็นการวางแผนยั่วโทสะของเผ่าปีศาจ ปรารถนาจะทำลายพันธมิตรของเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ หากมิใช่จารชนของเผ่ามารแล้วจะเป็นอะไรเล่า!
เพื่อวิถีการมาบรรจบกับของทิศใต้ทิศเหนือของเผ่ามนุษย์ จึงต้องล่วงเกินมิตรภาพที่มั่นคงและยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์หรือ? เหลวไหล!
ไม่มีผู้ใดเลือกเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้คนในตำหนัก ถึงแม้จะเป็นท่านราชครู เทพธิดาของนิกายหนานฟาง หัวหน้าพรรคแห่งเขาหลีซาน หรือกระทั่งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่ไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบเช่นนี้ได้
คุณธรรม แท้จริงแล้วมิใช่ผลประโยชน์หรือว่าคืออำนาจ หากพินิจละเอียดถี่ถ้วน ช่างน่าขันเสียจริง
นักเรียนวัยเยาว์ผู้นั้นร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ จนกระทั่งเวลานี้ เพิ่งมองเห็นจิตใจที่แท้จริงของตนที่ไม่อาจให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุม
ใบหน้าของเขายังคงเป็นสีแดง เพียงแต่ว่าตอนนี้มิใช่เป็นเพราะว่าความโมโห แต่เป็นเพราะว่าความอัปยศอดสู
ในตำหนักเงียบเป็นเป่าสาก มีผู้คนจำนวนมากรู้ว่านักเรียนหนุ่มผู้นั้นอับอายขายหน้า จนไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมา
โก่วหานสือจ้องมองลั่วลั่ว ท่าทางสลับซับซ้อนยิ่ง
“เพียงแค่ต้องการหน้าเสียหน่อย เวลานี้ก็ควรจะไปได้แล้ว ยังอยู่ที่นี่ดิ้นรนสุดชีวิตจะมีความหมายอะไรเล่า”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาพลางเอ่ยเย้าหยอกออกมา “ล้มเลิกความตั้งใจเถอะ ศิษย์พี่ชิวซานจวินของพวกเจ้าแต่งภรรยามิได้เสียแล้ว…หรือว่า ตอนนี้เจ้ายังกล้าสังหารเฉินฉางเซิงต่อหน้าฝูงชนอีกหรือ ”
บรรดาลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซานยืนขึ้น เมื่อได้ยินประโยคนี้ต่างโกรธแค้นขีดสุด กุมด้ามกระบี่พร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นจ้องมองไปยังโก่วหานสือ
โก่วหานสือจ้องมองเขาเงียบนิ่ง นัยน์ตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสว่างไสวขึ้นมา แม้มิได้เฉียบคมอย่างเห็นได้ชัด กลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ผู้นำของตระกูลชิวซานหลังจากเฉินฉางเซิงนำหนังสือสมรสออกมาก็เงียบนิ่งมาตลอด จนกระทั่งถึงตอนนี้สุดที่จะอดกลั้นไว้ได้ เขม็งมองถังซานสือลิ่วพลางกล่าวเยือกเย็น “ท่านเวิ่นสุ่ยสบายดีหรือไม่”
ท่าทางของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเล็กน้อย ตอบไปว่า “คิดจะใช้บิดามาข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าทำตัวมีเกียรติหน่อยหรือไม่ ”
ตระกูลชิวซานเป็นตระกูลที่สืบทอดมาหลายพันรุ่นในดินแดนทางใต้ สิ่งให้ความสำคัญที่สุดก็คือเกียรติยศ เขาเป็นทายาทตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย แน่นอนว่าเขาเข้าใจในจุดนี้ ทว่ากลับมิได้เกรงใจแม้แต่น้อย
การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนี้หลากหลายคำพูดเปลี่ยนแปรเป็นเรื่องราว แท้จริงแล้วมีโอกาสหลายต่อหลายครั้ง ที่ทั้งสองฝ่ายมีสถานการณ์คุมเชิงชั่วขณะหนึ่ง สามารถหาหนทางของตนเองที่จะจากไป แต่เพราะว่ามีสาเหตุบางอย่างหรืออาจจะกล่าวให้ถูกคือการตัดสินที่ผิดพลาดบางสถานการณ์ คณะทูตทางใต้ก่อนหน้านี้อยู่ในจังหวะที่เลือกผิดพลาดมาหลายครั้ง จนกระทั่งตอนนี้เข้าสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สถานการณ์ก่อนหน้าที่จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ นอกจากมูลเหตุที่อธิบายข้างบนไว้แล้ว ก็จะต้องยกความดีความชอบให้กับวาจาที่เหน็บแนมและหยอกเย้าของถังซานสือลิ่วกับลั่วลั่ว
ลั่วลั่วด่าทอฉีกหน้าผู้อาวุโสเสี่ยวซงกง เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นด่าทอฉีกหน้าเฉินฉางเซิงก่อน นางไม่สามารถทนดูเรื่องราวเช่นนี้ได้ อีกอย่างฐานะและตำแหน่งของนางที่นี่ จะทำอย่างไรก็ดูมีเหตุผล
ถังซานสือลิ่วด่าทอผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงกับผู้นำตระกูลชิวซานกลับ เป็นเพราะว่าอุปนิสัยของเขาทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะตามลำดับอาวุโสหรือว่ามองทางด้านอื่น เขาก็ไม่ควรจะแสดงออกมาเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ดูเหมือนว่ากำเริบเสิบสาน ไร้ศีลธรรมยิ่ง มีอิสระจนเกินไป
มีอิสระไม่แน่ว่าจะเป็นคนเสเพล อาจจะเป็นลูกผู้ดีมีเงินหรือเป็นปลาเน่าเฟะก็เป็นได้
ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก การแสดงออกของถังซานลิ่วหยาบคาย กำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่ยินดี ชั่วช้ายิ่งนัก ไม่เหมือนเป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไม่เหมือนหนุ่มน้อยที่มีพรสวรรค์ของสำนักเทียนเต้า
แต่เขายืนกรานที่จะทำเช่นนี้ เพราะว่าเขาไม่ชอบคนเหล่านั้น
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เช่นนั้นจึงก่นด่าออกไป
นี่เป็นอุปนิสัยของเขา
เขาเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบหกปี เป็นหนุ่มน้อยจริงๆ มองลมฤดูใบไม้ผลิไม่ชื่นชอบ มองลมฤดูใบไม้ร่วงไม่โศกเศร้า มองหิมะฤดูหนาวไม่ทอดถอนใจ มองจักจั่นฤดูร้อนไม่รำคาญ เขาจ้องมองสิ่งที่ชอบถึงจะชอบ จ้องมองสิ่งที่น่าระอาถึงรำคาญ มองสิ่งที่ไม่เป็นธรรมถึงถอดทอนใจ จ้องมองภาพด้านหลังที่องอาจเข้มแข็งใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงถึงโศกเศร้า
เขาชอบการอยู่อย่างสันโดษ ชื่นชอบการนอนหลับ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้ใด เขาหลงตัวเองเล็กน้อย ภาคภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่ง มีชีวิตด้วยความอิสระไร้สิ่งใดเปรียบ ผู้คนที่ซอกซอนเจาะรังโน่นรังนี้บนโลกใบนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเขา มองเห็นสิ่งที่ไม่ดีใจก็จะด่าท่อ เห็นสิ่งที่ชื่นชอบก็อยากจะเข้าใกล้
เขาก็เป็นคนหนุ่มเช่นนี้ สันดานเดิมเป็นเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์อยู่อันดับของประกาศชิงอวิ๋น เป็นเพียงยาจกที่ถูกพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ตรงมุมของกำแพง มองดูสาวงามนั่งรถม้าผ่านไปพลางผิวปากออกมาสองครั้ง มองคุณชายในตระกูลเศรษฐีที่รังแกทั้งบุรุษและสตรีแล้วก็แอบถีบสองที มิได้สนใจว่าจะถูกผู้คุ้มกันฟาดศีรษะจนบวมช้ำหรือไม่
ดังนั้นเขาจึงไม่มีสหายใดๆ ที่จิงตู นอกจากเฉินฉางเซิง เขาผิดใจกับนักเรียนในสำนักเทียนเต้าจำนวนมาก รวมถึงจวงห้วนอวี่ ด้วยเหตุนี้เขาเคยลั่นวาจาไว้นานแล้ว ถ้าหากพบเจอเด็กประหลาดของสำนักจงซื่อที่ชอบรังแกคนธรรมดา จะจัดการให้เขาพิการ ดังนั้นภายหลังจึงเกิดเรื่องราวที่เขาไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยทั้งสองค่ำคืนได้
ถังซานสือลิ่วก็เป็นคนเช่นนี้ ชื่นชอบก็จะชื่นชอบจริงๆ ไม่ชื่นชอบก็จะไม่ชื่นชอบจริงๆ ดังนั้นคนที่ชื่นชอบเขาก็จะชื่นชอบเขาอย่างยิ่ง ดังเช่นผู้อาวุโสของตระกูลเวิ่นชวน ดังเช่นรองเจ้าสำนักจวงแห่งสำนักเทียนเต้า คนที่ไม่ชื่นชอบเขาก็จะไม่ชื่นชอบจริงๆ ดังเช่นบรรดาคนหนุ่มที่โกรธเคืองของคณะทูตทางใต้
เขาไม่ได้สนใจ
แต่มีคนสนใจ
“สามหาว! ยังไม่รีบไปขอขมาท่านอาวุโสอีก!”
เสียงที่ดังมาจากที่นั่งของสำนักเทียนเต้า
ตอนนี้ทุกคนในตำหนักล้วนแต่ยืนขึ้น ดังนั้นจึงมองไม่ชัดเจนว่าเป็นผู้ใด จนกระทั่งผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนจึงได้ล่วงรู้ คนที่เอ่ยออกมาแท้จริงคือจวงห้วนอวี่
ผู้คนต่างตกตะลึง ไม่เข้าใจเพราะเหตุใดเขาจะต้องตำหนิถังซานสือลิ่ว ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดคนที่กล่าวเป็นเขา
ถึงแม้วาจาของถังซานสือลิ่วดูถูกหยาบคายไปบ้าง ไม่มีความเคารพผู้อาวุโสของสำนักกระบี่เขาหลีซานกับผู้นำตระกูลชิวซานเพียงพอ แต่การสั่งสอนนักเรียนของสำนักเทียนเต้า มีเจ้าสำนักเหมาชิวอวี่และยังมีรองเจ้าสำนักจวงอยู่ในตำหนักด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ถึงจะให้จวงห้วนอวี่ออกหน้า ถึงแม้เขาจะเป็นอันดับสิบของประกาศชิงอวิ๋น แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่นักเรียนเท่านั้นเอง
มากไปกว่านั้นสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เจ้าสำนักเหมาชิวอวี่รักษาท่าทีมาตลอด แล้วจวงห้วนอวี่เพราะเหตุใดจะต้องตำหนิถังซานสือลิ่วด้วยเล่า
เหมาชิวอวี่หันมามองจวงห้วนอวี่ปราดหนึ่ง ท่าทางสงบนิ่ง
สายตาของผู้คนจำนวนมากหยุดอยู่ที่จวงห้วนอวี่
ท่าทางของจวงห้วนอวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็ไม่รู้เพราะเหตุใดก่อนหน้านี้ตนเองถึงพลั้งปากเอ่ยประโยคนั้นออกไป
แต่ว่าคำพูดได้เอ่ยออกไปแล้ว จะเอากลับคืนมาได้อย่างไร เขาเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าเขียวคล้ำ กระนั้นกลับยังคงจ้องถังซานสือลิ่วเขม็ง
เขาคิดว่าตนเองตรงไปตรงมา กลับมิรู้ว่าในสายตาของคนข้างๆ กลับเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะอย่างยิ่ง
สาเหตุที่จวงห้วนอวี่ลืมตัวทำกิริยาไม่เหมาะสมสลับซับซ้อนยิ่ง การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนี้มีผู้ยิ่งใหญ่เข้าร่วมจำนวนนับไม่ถ้วน คิดว่าเขาคงจะนั่งอยู่ที่นั่งเงียบๆ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด แต่ใครจะคาดคิด ถังซานสือลิ่วที่เวลาปกติมิได้อยู่ในสายตาเขา กลับเอ่ยวาจาไม่สะทกสะท้านต่อหน้าของฝูงชน กำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง เช่นนี้ทำให้เขานึกรังเกียจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นเพราะลั่วลั่วได้แสดงฐานะที่แท้จริงของตน
ในตำนานของสำนักเทียนเต้า การกลับมาอยู่ในความจริง ที่แท้ก็ยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานอยู่ดี
เขาเคยวาดฝันอนาคตกับศิษย์น้องผู้นั้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าค่ำคืนนี้กลับแตกละเอียดเป็นจุณ
ที่แท้ศิษย์น้องผู้นี้…ก็คือองค์หญิงลั่วลั่วในตำนาน!
เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามต่อสู้เพียงไร เกรงว่าแม้ว่าจะเก่งกาจกว่าชิวซานจวิน ก็คงไม่สามารถอยู่กับนางได้
ความผิดหวังและสิ้นหวังที่อยู่ลึกๆ แปรเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น แต่ความชอบนั้นซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขามาตลอด ไม่เคยเอ่ยกับผู้ใด เช่นนั้น ความผิดหวังและความโกรธแค้นในค่ำคืนนี้ จึงไม่อาจแพร่งพรายออกมาได้เช่นกัน
ตอนนี้เอง เขาเห็นถังซานสือลิ่ว นั่นคือเป็นศิษย์น้องที่เวลาปกติสามารถดุด่าได้ตามสบาย
ด้วยเหตุนี้ จึงมีวาจาประโยคนั้นออกมา
ในตำหนักพลันเงียบกริบอย่างน่าประหลาด
ทุกคนล้วนแต่มองถังซานสือลิ่ว
ก่อนหน้านี้กวนเฟยไป๋แห่งพรรคกระบี่เขาหลีซานเคยตะคอกด่าถังซานสือลิ่วว่าสามหาว ถังซานสือลิ่วจึงตอบกลับเขาว่าสามหาวมารดาเจ้าสิ
เวลานี้จวงห้วนอวี่ด่าทอเขาว่าเหลวไหล เขาจะตอบกลับอย่างไรดี
สีหน้าของชาวคณะทูตทางใต้แสยะยิ้มด้วยความดีใจ ในใจครุ่นคิดว่าคนภายในของต้าโจวเกิดปัญหา แล้วจะแก้ไขเช่นไรเล่า
โก่วหานสือเหลือบมองจวงห้วนอวี่ รู้สึกแปลกประหลาดใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เฟยกวนไป๋จ้องมองจวงห้วนอวี่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่ยินดี
สีหน้าของถังซานสือลิ่วน่าเกลียดเล็กน้อย เขาจ้องมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของสำนักเทียนเต้า ไม่มีสหายร่วมสำนักผู้ใดมองสายตาเขาแม้แต่คนเดียว เหมาชิวอวี่ถอดทอนใจหนึ่งครา เตรียมที่จะเอ่ยบางสิ่ง สีหน้าของรองเจ้าสำนักขาวซีด จ้องมองเขาพลางส่ายหน้า อยากจะเอ่ยแต่ก็มิเอ่ยออกมา คล้ายกับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
เขาเงียบนิ่งชั่วครู่หลังจากนั้นยิ้มฝืดๆ ที่มุมปาก พลางกล่าวว่า “ไม่สนุกจริงๆ”
“แท้จริงแล้วไม่สนุกอย่างยิ่ง”
มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเขา
เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา “ไม่เหมือนเจ้าเวลาปกติเลยสักนิด”