ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 83 รถม้ายามค่ำคืน
ทางด้านความรู้ ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าโก่วหานสือ คนที่ทำให้เขาเลื่อมใสก็มีน้อยยิ่งนัก ค่ำคืนนี้ เฉินฉางเซิงกระทำสิ่งนี้ได้
เขาจ้องมองโก่วหานสือ พลางกล่าวว่า “มิกล้ารับ”
“เจ้ารับได้” โก่วหานสือจ้องมองหนุ่มน้อยที่ก่อนหน้านี้มิได้ดึงดูดความสนใจใดๆ จากเขา จึงถอดทอนหายใจ
เขาคิดไปถึงศิษย์พี่ที่เก่งกาจทำให้ผู้คนตกตะลึง คิดไปถึงการสมรสครั้งนี้ สุดท้ายพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่ตนเชื่อมั่นในศิษย์พี่สุดท้ายแล้วได้สั่นคลอนลง
“เมื่อครู่ที่องค์หญิงใช้เป็นท่าสุดท้าย…” เขามีปัญหาที่อยากจะถามเฉินฉางเซิง แต่ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ จึงตะกุกตะกักปรารถนาจะถามออกไป
“ยังจะถามอะไรอีก ยังไม่รีบกลับไป! ยังอยากจะอับอายขายหน้าอยู่ที่นี่ต่อรึ”
ผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงสีหน้าเขียวคล้ำตะโกนออกไป จ้องเขม็งจินอวี้ลวี่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น สะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเคือง หันหลังกลับออกไป
ท่าทางของโก่วหานสือพะอืดพะอมเล็กน้อย โค้งมือประสานตัวพลางเอ่ยกับเฉินฉางเซิง “ลาก่อน”
“จะต้องเจอกันอีกเป็นแน่”
โก่วหานสือสงบนิ่งลง จ้องมองเขาพลางเอ่ยว่า “ข้ารอคอยการแสดงของเจ้ารวมถึงสำนักฝึกหลวงในการสอบใหญ่อย่างยิ่ง หวังว่าเจ้าจะนำความตื่นเต้นดีใจมาให้อีก”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา จึงมิได้เอ่ยสิ่งใด
โก่วหานสือหันกาย นำบรรดาลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน หายไปในความมืดยามราตรีของพระราชวัง
ด้านหน้าของวังเว่ยยางเงียบสนิท
การชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านอย่างยิ่ง
ทั่วทั้งต้าลู่ต่างรอคอยการสมรสของชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรง ทว่าถูกหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงยับยั้งเสียแล้ว
เขาเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง
องค์หญิงลั่วลั่วแสดงฐานะชัดเจน
นางเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง
ลูกหลานของตระกูลถังแห่งเวิ่นชุ่ยก็ออกจากสำนักเทียนเต้า
เขากลายเป็นนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง
เรื่องราวทั้งหมด ต่างมีความเกี่ยวข้องกับชื่อสำนักฝึกหลวง
ด้วยเหตุนี้ พรรคกระบี่เขาหลีซานที่ยิ่งใหญ่จึงอาศัยกฎระเบียบของการชุมนุมไม้เลื้อยประลองกับสำนักฝึกหลวงที่ทรุดโทรมมาเป็นเวลานานหลายปี
สุดท้ายแล้ว สำนักฝึกหลวงได้รับชัยชนะ
ทั้งยังเป็นการชนะที่ไม่ต้องโต้เถียงแม้แต่น้อย
ขั้นตอนที่เปลี่ยนแปลง สถานการณ์ที่มิได้คาดคิด เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ มีคนจำนวนมากยากที่จะเชื่อได้
ผู้คนต่างมองไปทิศทางของสำนักฝึกหลวง ยังเฝ้ามองหนุ่มสาวทั้งสามใหม่อีกครั้ง สำหรับเรื่องนี้ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้
สายตาจำนวนมากร่วงหล่นมายังร่างของเฉินฉางเซิง ถึงแม้ตามฐานะ เขาจะห่างไกลกับลั่วลั่วอย่างมาก ทว่าเขาเป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง เป็นอาจารย์ของลั่วลั่ว เป็นผู้แทนคำกล่าวของสำนักฝึกหลวงขณะนี้ จึงมีเหตุผลที่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเช่นนี้
ผู้คนต่างเข้าใจดี หลังจากค่ำคืนนี้ สำนักฝึกหลวงที่ทรุดโทรมมานานหลายปี เวลานี้จะได้เกิดใหม่อีกครา และนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงผู้นี้ก็มิใช่หนุ่มน้อยธรรมดาที่ไร้ผู้คนรู้จักอีกต่อไป เขาจะกลายเป็นศูนย์กลางการวิพากษ์วิจารณ์ของทั่วทั้งจิงตูจนถึงทั่วทั้งต้าลู่
ผู้คนจ้องมองเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงมองเพียงสวีซื่อจี
สวีซื่อจีชัดเจนยิ่งนัก เพราะเหตุใดหนุ่มน้อยผู้นี้ถึงจ้องมองตนอยู่ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
ใต้เท้ามุขนายกอยู่ด้านข้างยิ้มพลางเอ่ยว่า “ลูกเขยผู้นี้ถึงแม้จะเทียบชิวซานจวินไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วก็ไม่เลวนัก”
สีหน้าของสวีซื่อจีน่าเกลียดจนถึงขีดสุด
ใต้เท้ามุขนายกหัวเราะฮ่าๆ มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เดินออกจากที่แห่งนี้
กลุ่มฝูงชนด้านหน้าตำหนักทยอยกันจากไป
เหมาชิวอวี่หัวหน้าสำนักเทียนเต้าเดินลงบันได เรียกถังซานสือลิ่วมาอยู่ข้างๆ สนทนาสองสามประโยค
ม่ออวี่ เดินไปยังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรารถนาจะถามว่าออกมาจากวังถงได้อย่างไร กลับมองเห็นลั่วลั่วที่จ้องเขม่นมาที่ตนเหมือนลูกเสือ ยิ้มเฝื่อนๆ พลางเอ่ยออกมา “องค์หญิงข้าว่าท่านอย่าได้เจ็บแค้นใจเรื่องราวในค่ำคืนนี้เลย ข้าก็มิรู้จะทำเช่นไรมิใช่หรือ”
ความมืดมิดยามค่ำคืนอยู่ๆ ก็มีเสียงแผดร้องของนกกระเรียนขาวดังขึ้นมา
ผู้คนต่างแหงนหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงแค่นกกระเรียนขาวตัวนั้นโบยบินออกไป
มันมาพระราชวังต้าโจวในค่ำคืนนี้ เพียงเพื่อส่งจดหมายฉบับนั้น และพบเจอคนผู้หนึ่ง
เมื่อธุระสำเร็จลุล่วง เป็นธรรมดาที่มันจะต้องจากไป
เมื่อจ้องมองนกกระเรียนขาวค่อยๆ หายไปในความมืดยามราตรี เฉินฉางเซิงคล้ายกับว่าลืมเลือนเรื่องราวบางอย่างไปเสียแล้ว
เขาจ้องมองไปยังสวนรกร้างด้านในลึกของพระราชวัง พยักศีรษะเพื่ออำนวยพร
ขบวนรถม้ากำลังขับเคลื่อนไปยังทิศทางของพระราชวังหลี
นั่นก็คือขบวนรถม้าของคณะเจรจาทางทิศใต้
เมื่อเปรียบเทียบกับความเบิกบานยินดีตอนขามา เวลานี้ทั้งคณะกลับเงียบนิ่งไร้สุ้มเสียง ความกดดันกดทับลงมาถึงขีดสุด
ในรถม้ามีเสียงไอออกมาเป็นครั้งเป็นคราว
โก่วหานสือนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด
เขาไม่อยากให้เสียงการไอของตนทำให้ผู้คนตื่นตระหนก โดยเฉพาะผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถม้า
การประลองค่ำคืนนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ประลองด้วยตนเอง ทว่าการประมือกลางอากาศกับเฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่าสูญเสียจิตวิญญาณไปเท่าใด ถึงแม้หลังจากนั่งบนรถม้า ใช้เม็ดยาที่ใต้เท้ามุขนายกมอบให้ก็ยังคงมีความรู้สึกไม่สบายหลงเหลืออยู่
“คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่นามว่าเฉินฉางเซิงผู้นั้นจะยอดเยี่ยมเช่นนี้”
โก่วหานสือใช้มือคลี่ผ้าม่านออก มองกลับไปยังตำหนักที่อยู่ในความมืดหลังนั้น ถอดทอนใจเอ่ยออกมา “โชคดีที่เขาไม่สามารถบำเพ็ญเพียร มิเช่นนั้นก็คงยุ่งยากจริงๆ”
กวนเฟยไป๋กับศิษย์น้องทั้งสามนั่งอยู่ในรถม้า เมื่อได้ยินประโยคนี้ รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
พวกเขารู้ว่าศิษย์พี่รองกล่าวว่ายุ่งยากมีความหมายว่าอะไร ภายในจิตใจคงจะเป็นกังวลกับศิษย์พี่ใหญ่เป็นแน่
เพราะว่าหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงผู้นั้น เป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง
“หรือว่าศิษย์น้องจะต้องสมรสกับเขาจริงๆ หรือ”
ท่าทางกวนเฟยไป๋เคร่งขรึมพลางเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ศิษย์พี่ปฏิบัติต่อศิษย์น้องสวีอย่างไร ล้วนแต่อยู่ในสายตาของทั่วทั้งทิศใต้ แท้จริงแล้วศิษย์น้องนางคิดเช่นไร คิดไม่ถึงจะให้นกกระเรียนขาวนำจดหมายมาโดยเฉพาะ! เช่นนี้จะให้ศิษย์พี่จัดการอย่างไรกันเล่า”
“แล้วเรื่องนี้จะโทษศิษย์น้องสวีได้อย่างไรกัน”
โก่วหานสือถอดทอนหายใจพลางเอ่ยออกมา กลับมิได้เอ่ยว่าเรื่องนี้ควรจะโทษใคร แท้จริงแล้วเป็นการตัดสินใจของผู้อาวุโส พวกเขาเป็นลูกศิษย์ไม่ควรกล่าวตำหนิ
ที่นั่งรถม้ากว้างขวาง โก่วหานสือกับกวนเฟยไป๋และยังมีลำดับที่ห้านั่งอยู่แถวเดียวกัน ชีเจียนนั่งอยู่ตรงข้ามเพียงลำพัง หนุ่มน้อยที่ผอมบอบบางนั่งก้มหน้านิ่ง
กวนเฟยไป๋ขมวดคิ้วจ้องมองเขา น้ำเสียงกลับอบอุ่นขึ้น กล่าวว่า “ข้าพ่ายแพ้ให้แก่องค์หญิงลั่วลั่ว นั่นเป็นการพ่ายแพ้จริงๆ ทว่าเจ้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้าเด็กถังซานสือลิ่วเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องเสียใจให้มากหรอก”
ชีเจียนแหงนหน้าขึ้น ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความอับอายและเสียใจ
โก่วหานสือจ้องมองเขายิ้มพลางเอ่ยออกมา “การสอบใหญ่ใกล้เข้ามา ระยะเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่เดือน เมื่อเวลานั้นมาถึงก็นำความพ่ายแพ้ของค่ำคืนนี้กลับคืนมาเสีย”
บรรดาศิษย์น้องเงียบนิ่งรับฟัง เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง
การชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ ถึงแม้พรรคกระบี่เขาหลีซานจะพ่ายแพ้ให้กับสำนักฝึกหลวง แต่มีคนจำนวนน้อยนิดที่คิดว่าสำนักฝึกหลวงแท้จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าพรรคกระบี่เขาหลีซาน
กฎระเบียบเหล่านั้นไม่ต้องกล่าวถึง ความแข็งแกร่งที่มิอาจคาดคิดขององค์หญิงลั่วลั่วก็ไม่อาจไปคิดคำนึง
เมื่อการสอบใหญ่มาถึง สำนักฝึกหลวงคงไม่มีโอกาสใดๆ
เพราะว่ากฎระเบียบแตกต่าง เพราะว่าพวกเขาคือเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึงโก่วหานสือจะลงสนามด้วยตนเอง
โก่วหานสือจ้องมองตรอกจิงตูที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างรถม้า จึงเริ่มไอขึ้นมาอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากัน
การชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ จะต้องอยู่ในความทรงจำของผู้คนจำนวนมากยากที่จะสลัดทิ้งไปได้ ถ้าหากมีความเกลียดชัง ดังเช่นคนบางคนในคณะเจรจาทางทิศใต้ ดังเช่นผู้นำตระกูลชิวซานที่มาด้วยความปลื้มปีติยินดีแต่กลับไปด้วยความพ่ายแพ้ ดังเช่นสวีซื่อจีที่ถูกเฉินฉางนำหนังสือสมรสออกมาตบหน้าฉาดใหญ่
เฉินฉางเซิงไม่ได้แค้นใจเรื่องราวในค่ำคืนนี้ ถึงแม้จะถูกปิดล้อมอยู่ในสวนรกร้าง และเขารู้สึกเกลียดชังอย่างยิ่งเหมือนดังเช่นตอนอยู่ก้นสระน้ำมังกรดำ เมื่อคิดว่าตนเองใกล้จะเสียชีวิต เขาเกลียดชังอย่างยิ่ง หลังจากนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย เขากำลังนั่งรถม้าที่มุ่งหน้าไปสำนักฝึกหลวง ยากที่จะเกิดความเกลียดชังออกมา เป็นธรรมดาที่จะไม่แค้นใจ
นี่เป็นรถม้าของสวนร้อยหญ้า จินอวี้ลวี่ไม่ยินยอมนั่งมาด้วย ในรถม้าจึงมีเพียงแค่หนุ่มสาวสามคน พวกเขานั่งอยู่บนเบาะนั่งอ่อนนุ่ม จ้องมองแสงโคมไฟระยิบระยับด้านนอกหน้าต่างรถม้า เงียบนิ่งเป็นเวลานาน ยังคงรักษาความเงียบนิ่งอีกนาน มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่บดเข้ากับแผ่นหินบนทางเดิน ได้ยินบ่อยๆ เช่นนี้คงจะถึงถนนเส้นนั้นที่อยู่ข้างแม่น้ำลั่วแล้ว
เฉินฉางเซิงจ้องมองด้านนอกหน้าต่าง อยู่ๆ ก็ยิ้มออกมาเงียบๆ
ถังซานสือลิ่วกำลังกินองุ่นที่มือถือพวงมันไว้ จ้องมองท่าทางของเขาเช่นนี้ อีกนิดเดียวก็จะพ่นน้ำลายออกมา กล่าวด้วยเสียงยิ้มเยาะ “โง่เง่าจริงๆ”
ลั่วลั่วรู้สึกว่าเขาไม่มีมารยาทต่ออาจารย์ จึงรู้สึกไม่ยินดี
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจเขา จ้องมองทิวทัศน์ด้านนอกต่อ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความรู้สึกสนุกสนาน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาไม่ได้ไอเหมือนกับโก่วหานสือ
ค่ำคืนนี้เป็นคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด เป็นเวลาที่คนหนุ่มสาวได้มาทำความรู้จักสนิทสนมกัน ล่วงเลยมาเป็นเวลาค่อนคืน ฝั่งแม่น้ำลั่วมิได้ครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้ กิ่งก้านของต้นหลิวสุดท้ายแล้วก็ถึงเวลาพักผ่อน เรือไฟที่พัดกระเพื่อมอยู่บนผิวน้ำกลับมีแสงสว่างชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับดวงดาวนับไม่ถ้วน ลำแสงสาดส่องเข้ามาในรถ ทาบทับบนใบหน้าของหนุ่มน้อย
ลั่วลั่วกำลังเท้าคาง จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเฉินฉางเซิงที่ถูกแสงทาบทับแวววาว ในใจครุ่นคิดค่ำคืนนี้อาจารย์รูปงามจริงๆ
ถังซานสือลิ่วกินองุ่นหมดแล้ว จึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปาก ขยับเข้าไปอยู่ข้างๆ เขา ทิวทัศน์ค่ำคืนของเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดในเวิ่นชุ่ยดึงดูดใจยิ่งนัก
เขาจ้องมองท่าทางที่เคลิบเคลิ้มของเฉินฉางเซิง จึงเอ่ยถาม “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เฉินฉางเซิงจ้องมองผิวน้ำ เงียบนิ่งเป็นเวลานาน คิดใคร่ครวญเป็นเวลานาน
วัดเก่าที่อยู่นอกเมืองซีหนิง ตำราเก่าแก่เต็มฝาผนังเต็มห้อง แมลงปอไม้ไผ่เก่าๆ ตัวนั้น หนังสือสมรสเก่าๆ ฉบับนั้น ความอัปยศอดสูของจวนขุนพลเทพในเมืองจิงตู ความกดดันที่สำนักเทียนเต้ากับบรรดาสำนักไม้เลื้อยได้รับ สวนรกร้างที่ถูกทิ้งให้ว่างเปล่า สำนักฝึกหลวงที่ถูกลืมเลือน…มีภาพจำนวนมากผ่านไปยังสายตาด้านหน้าของเขา หลังจากนั้นจึงหายไป
เหมือนกับเรือไฟที่อยู่บนผิวของแม่น้ำลั่วเปล่งเส้นแสงออกมา
สุดท้ายแล้วหลงเหลือเพียงแค่ภาพภาพหนึ่งไว้
หลังจากไม้เลื้อยของสำนักฝึกหลวงถูกถางก็เปลี่ยนเป็นประตูที่เก่าแก่เรียบง่าย กระดานไม้เงาขลับของหอตำรา สระน้ำ รวมถึงหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไทรริมสระน้ำ และยังมีมิตรสหาย
“ยินดีอย่างยิ่ง”
เฉินฉางเซิงชักสายตากลับมาจากภาพตรงหน้า จ้องมองไปทางถังซานสือลิ่วกับลั่วลั่ว พลางเอ่ยออกมา “ข้ายินดีอย่างยิ่ง”
ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่อืดอาด ทว่าแท้จริงแล้วเขาก็ไม่ชื่นชอบการพูดคุย ทั้งยังไม่รู้ว่าจะกล่าวประโยคที่น่าฟังอย่างไร
เขากล่าวว่ายินดี นั่นก็คือยินดีจริงๆ
ยินดีเพราะเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ยินดีเพราะสำนักฝึกหลวงได้รับชัยชนะต่อพรรคกระบี่เขาหลีซาน ยินดีเพราะสวีโหย่วหรงไม่ต้องสมรสกับชิวซานจวิน
ถูกต้องแล้ว การหมั้นหมายมิใช่สิ่งสำคัญ ทว่าการทำให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
สุดท้าย ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้า