ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 10 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (4)
ยืนท่ามกลางดงกกอ้อ พิศมองที่ราบทุ่งหญ้าไร้รากเบื้องหน้า ดวงหน้าเล็กของหนานเค่อไร้ความรู้สึก สายตายังคงไม่แยแสเหมือนในเวลาปกติหรืออาจจะพูดว่ามีความเหม่อลอย เพียงแต่มือสองข้างที่ตกห้อยอยู่ข้างกระโปรงสั่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าตอนนี้นางอ่อนแอมาก ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าการที่เฉินฉางเซิงหนีรอดได้สำเร็จทำให้นางโมโหแค่ไหน
บนท้องฟ้าของที่ราบทุ่งหญ้ายังคงเหลือร่องรอยเส้นสีขาวหลายสิบสาย นั่นเป็นผลลัพธ์ของช่องว่างเกือบฉีกขาดอันเกิดจากขนนกยูงที่เด็ดขาดรุนแรงหาที่เปรียบมิได้ ในระยะเวลาอันสั้นนี้ นางถึงกับโจมตีมายังเฉินฉางเซิงหลายครั้งขนาดนี้ มิน่าสีหน้าของนางจึงขาวซีดเช่นนี้ ผลาญปราณแท้ไปเยอะขนาดนี้
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ระยะห่างหลายสิบจั้ง เฉินฉางเซิงกลายเป็นเนื้อบดไปนานแล้ว แต่ที่ราบทุ่งหญ้าที่ลึกลับที่สุดในสวนโจวแห่งนี้ มีจุดพิเศษที่ลึกลับคาดเดายากเล็กน้อยอย่างที่คิด มองดูเหมือนช่องว่างที่สดใสไร้สิ่งใดทว่ากลับบิดเบี้ยว โลกที่เห็นอยู่นอกที่ราบทุ่งหญ้าไม่สามารถทับซ้อนกับความเป็นจริงได้อย่างแม่นยำ การโจมตีของนางไม่คิดว่าขนาดปลายอาภรณ์ของเฉินฉางเซิงยังเฉียดกรายมิได้
หญ้าทะเลและดงต้นหญ้ามีลมพัดผ่านเบาๆ พัดจนผมของนางยุ่งเหยิงกว่าเดิม สภาพจิตใจก็เป็นเช่นนี้ บริเวณอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงนิดๆ หายใจเฮือกใหญ่ มองดูเงาหลังของนางก็รู้ว่าตอนนี้นางกำลังอยู่ในจุดที่จวนจะระเบิด หรืออาจจะพูดว่ายังอยู่ในการระเบิดอารมณ์ ผู้เฒ่าดีดพิณเงียบขรึมไร้คำพูด สาวรับใช้สองคนยิ่งไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว
“ข้าจะเข้าไป” หนานเค่อจู่ๆ พูดออกมา หว่างคิ้วที่มีความเป็นเด็กอย่างเต็มเปี่ยมล้วนเต็มไปด้วยความหมายที่ห้ามคัดค้าน
แน่นอน นั่นเป็นเพราะว่านางรู้ว่าการตัดสินใจนี้ต้องนำมาซึ่งความคัดค้านเป็นแน่ แม้จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีของนางรวมถึงคนรับใช้ที่เกรงกลัวนาง
ตามคาด ผู้เฒ่าดีดพิณได้ยินก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง พูดอย่างไม่ลังเลว่า “ห้ามเด็ดขาด”
หนานเค่อเลิกคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างไร้ความอดทนเล็กน้อยว่า “ห้ามเพราะ?”
ผู้เฒ่าดีดพิณมองที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างหน้าซึ่งมองดูแล้วเหมือนจะสวยงาม พูดด้วยน้ำเสียงอกสั่นขวัญแขวนว่า “ตั้งแต่สวนโจวเปิดมาจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถเดินออกมาจากที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้”
หนานเค่อพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่ข้า”
ผู้เฒ่าดีดพิณมิได้อ่อนข้อแต่อย่างใด พูดว่า “แม้จะเป็นองค์หญิง ต่อหน้าที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ ก็ไม่มีจุดพิเศษกว่าแต่อย่างใด”
หนานเค่อยกมือขึ้นมา ม่านสีดำตรงหน้าพลันปรากฏ มองดูไฟโชคชะตาสี่ดวงที่กระโดดโลดเต้นบ้างสว่างบ้างดับ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง พูดว่า “ถ้าจะพูดถึงความเข้าใจที่มีต่อสวนโจว ทั้งต้าลู่ไม่มีใครล้ำหน้าอาจารย์ได้ ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ ข้ามั่นใจว่าจะหนีออกจากที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้”
ได้ยินคำพูดนี้ ผู้เฒ่าดีดพิณเงียบขรึมสักพัก กลลวงบนสวนโจวของเผ่ามารในครั้งนี้ ที่พึ่งพิงที่สำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจสวนโจวของใต้เท้าชุดดำที่มีต่อสวนโจว ก่อนหน้านี้ใครจะคาดได้ นอกจากประตูใหญ่ของสวนโจวแล้วยังมีประตูบานอื่น อีกทั้งประตูบานนั้นยังอยู่ในการควบคุมของชุดดำอีกด้วย หลังจากเข้าสวนโจว การตามฆ่ายอดฝีมือวัยเยาว์เผ่ามนุษย์ที่จำเป็นต้องฆ่าจากไฟดาวโชคชะตาเหล่านั้น ทำให้เข้าใจทุกการวางแผนในเรื่องนี้ของใต้เท้าชุดดำมากขึ้น ความเกรงกลัวของผู้เฒ่าดีดพิณก็จะยิ่งทบทวี ยิ่งรู้สึกว่าใต้เท้าลึกลับยากแก่การคาดเดา ตอนนี้ได้ยินคำพูดของหนานเค่อ ในช่วงเวลาหนึ่งพลันไม่อาจคัดค้านได้ กระทั่งมีความเชื่อเล็กน้อย
“เพียงแต่…เพราะเหตุใดต้องเข้าที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ให้ได้? สวีโหย่วหรงและคนอื่นทั้งหมดสี่คนล้วนถูกต้อนเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้าแล้ว พวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะรอดชีวิตออกมา”
“สวีโหย่วหรงอยู่กับเฉินฉางเซิง ทำให้ข้าไม่ค่อยสบายใจ อย่าลืมว่า พวกเขาคนหนึ่งเป็นหงส์สวรรค์กลับชาติมาเกิด คนหนึ่งใช้เวลาแค่ปีเดียวก็บำเพ็ญเพียรถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย เผ่ามนุษย์ทุกคนมองพวกเขาเป็นปาฏิหาริย์ ฉะนั้นใครจะไปรู้ว่าถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมา อาจจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นได้จริงหรือไม่? ฉะนั้นข้าต้องเข้าไป แม้พวกเขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ใหม่ขึ้นมา ข้าก็จะฆ่ามันด้วยมือของตัวเอง”
หนานเค่อคิดในใจอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะเฉินฉางเซิง เขาต้องตายแน่นอน
ผู้เฒ่าดีดพิณเห็นนางแน่วแน่ขนาดนี้จึงไม่พูดมากอีก ถอนหายใจครั้งหนึ่ง เอากู่ฉินที่เพิ่งซ่อมเสร็จเมื่อเช้า วางแนวนอนลงที่ตัก เริ่มบรรเลงหนึ่งบทเพลง
เมื่อเสียงเพลงลอยไปถึงในที่ราบทุ่งหญ้า ปรากฏห้วงพิศคล้ายเห็นคล้ายไม่เห็น ในหญ้าป่าที่สูงกว่าคนเหล่านั้น เกิดเสียงสวบสาบ ไม่รู้ว่าคืออะไร
ผู้เฒ่ามาจากเผ่าพ่อมดมังกรเทียน ถนัดการโจมตีและควบคุมโลกแห่งจิตวิญญาณ เสียงพิณของเขาในระดับหนึ่งสามารถสั่งการ…หรืออย่างน้อยก็ขับไล่สัตว์อสูรที่ระดับต่ำหน่อยได้ แม้จะไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเหล่านั้นได้ แต่ถ้าเดินอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า เสียงพิณนี้สามารถนำมาซึ่งความสะดวกสบายจำนวนมาก ชุดดำวางแผนให้เขาเข้าสวนโจวพร้อมกับหนานเค่อ แน่นอนว่ามีเหตุผล
ความมั่นใจของหนานเค่อส่วนใหญ่มาจากตรงนี้ มาจากการเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ที่แน่วแน่ นางหวาดกลัวที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างขวางลึกลับแห่งนี้อย่างมาก ฉะนั้นตอนแรกสุดที่ไล่ฆ่าสวีโหย่วหรง รวมถึงตอนที่พบเจอเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้ นางล้วนควบคุมอารมณ์เอาไว้ หรือก็คือไม่อยากให้ศัตรูเผ่ามนุษย์เหล่านี้รู้ว่าตัวเองเข้าสู่สภาวะที่หมดหวังแล้ว แล้วจึงเข้าไปหลบอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า แต่ตอนนี้เฉินฉางเซิงแบกสวีโหย่วหรงเข้าไปแล้ว
เสียงพิณนอกจากขับไล่สัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบแล้ว ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีส่งสาร ได้ยินเพียงเสียงเท้าหนักหน่วงชุดหนึ่ง หลิวเสี่ยวหวั่นและเถิงเสี่ยวหมิงแบกหามถือหม้อก็มาถึงในสนาม สีหน้าของหนานเค่อเห็นได้ชัดว่ามีความเคารพต่อสามีภรรยาขุนพลมารคู่นี้กว่ามาก พูดการตัดสินใจของตัวเองด้วยเสียงเนิบช้า
สามีภรรยาขุนพลมารคู่นั้นเงียบขรึมสักพัก ใช้ความเงียบขรึมต่อไปเพื่อแสดงความเห็นด้วย เสียงพิณกังวานแผ่วเบา ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารขบวนหนึ่ง แหวกดงต้นอ้อ เดินเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้า ที่ราบทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขตแห่งนี้ไม่ใช่ป่าไม้ แต่สำหรับการไล่ต่อสู้สนามนี้ สำหรับนายพรานและเหยื่อ ล้วนเป็นป่าไม้ที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง พวกเขากำลังจะเผชิญความอันตรายอย่างเดียวกัน
……
……
สำหรับที่ราบทุ่งหญ้าที่กว้างขวางและลึกลับแห่งนี้ในสวนโจวมีตำนานมากมาย แต่เนื่องจากไม่เคยมีใครที่เดินเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้แล้วมีชีวิตรอดออกมา ความน่าเชื่อถือของตำนานเหล่านั้นแน่นอนว่ามีค่าต่อความสงสัยเป็นอย่างมาก อีกทั้งตำนานส่วนใหญ่ล้วนเติมแต่งเกินจริง… มีเพียงเดินเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้จริงๆ ถึงจะรู้ว่าในนั้นแท้จริงแล้วมีอะไร ก็เหมือนกับต้องเคยชิมรสเผ็ด ถึงจะรู้ว่าที่จริงแล้วไม่มีพิษ ความรู้สึกที่ราวกับเปลวไฟแบบนั้นก็ไม่ใช่ไฟที่แท้จริง
เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนเดินอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ยังคงไม่ค่อยรู้จักที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้อย่างจริงจัง รู้เพียงแค่ที่เห็นข้างหน้าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหญ้า หันหน้าไปทางไหนก็มีแต่หญ้า ทุกที่ล้วนเป็นหญ้า จนกระทั่งรุ่งอรุณมาถึง พวกเขาถึงสังเกตเห็นว่าพื้นดินที่แท้จริงที่ใต้เท้ายิ่งมายิ่งน้อย ในทางกลับกัน แหล่งน้ำที่ใต้หญ้าป่าเหล่านั้นกลับยิ่งมายิ่งเยอะ ดินโคลนยิ่งมายิ่งนิ่ม
ที่ราบทุ่งหญ้าค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่เปียกแฉะ เดินในสภาพแวดล้อมอย่างนี้กลายเป็นยิ่งมายิ่งลำบาก แม้แมลงยุงไม่เยอะ แต่สัตว์อสูรที่ซ่อนอยู่ในดงหญ้าเหล่านั้นกลับยิ่งมายิ่งเยอะ และในเวลาที่แสงตะวันส่องสว่างพื้นที่เปียกทั้งหมด สัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งในที่สุดก็ทนความยั่วยวนของการกินเลือดสดๆ ไม่ไหว ไม่สนใจลมหายใจที่แข็งแกร่งที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ๋อซิ่วอีก มุ่งโจมตีพวกเขา
ในเวลาหนึ่งเศษหญ้าปลิวกระจาย แหล่งน้ำกลายเป็นใบไม้ทองหมื่นใบ เลือดสดของสัตว์อสูรพ่นหยดกระจายออกอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งโยนศพสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งลง สัตว์อสูรกลุ่มนี้ถึงจะถูกบังคับให้หนีจากไป
เจ๋อซิ่วยื่นมือตัดหญ้าคาจำนวนมาก ปูลงบนพื้นที่เปียก พยุงชีเจียนนั่งลง จากนั้นนั่งขัดสมาธิเริ่มปรับลมหายใจ การต่อสู้สนามนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเขาคนเดียวที่ต่อสู้ ไม่ถึงขั้นเหนื่อยมากเกินไป แต่พิษขนนกยูงที่ถูกปราณแท้กดทับอยู่ใต้ดวงตา ราวกับมีสัญญาณการแพร่กระจายเข้าสู่ความทรงจำ เขาต้องจัดการสักหน่อย
ชีเจียนพิงดงหญ้าที่แข็งเล็กน้อย มองศพสีดำไร้เกล็ดที่ใหญ่กว่าเสาบ้านซึ่งอยู่ตรงที่ไกลๆ สีหน้าขาวซีดอย่างมาก
บาดแผลของเขาหนักมาก เมื่อคืนกระบี่ที่ลอบโจมตีข้างทะเลสาบของเหลียงเสี้ยวเซียวนั้นโหดร้ายเกินไป ไม่เพียงแค่แทงทะลุท้องน้อยของเขา เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือนำปราณแท้แฝงอยู่ปลายกระบี่ที่แหลมคมแทงส่งเข้ามาด้วย ตัดเส้นลมปราณสองจุดที่สำคัญที่สุดของเขาขาดโดยตรง อีกทั้งยังหลงเหลือบาดแผลจำนวนมหาศาลบนอวัยวะภายในที่ยากที่จะฟื้นกลับไปเป็นเหมือนเดิม ความเร็วของการไหลเวียนเลือดในตอนนี้ช้าลงอย่างมากแล้ว แต่ยังคงซึมไปยังข้างนอกอย่างต่อเนื่อง
ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงต่อสู้ ตอนนี้เข้าแค่ยืนขึ้นมายังทำไม่ได้ ทำได้เพียงถูกเจ๋อซิ่วเดินแบกไป ทำได้เพียงดูเจ๋อซิ่วต่อสู้ เข่นฆ่าสัตว์อสูรที่น่ากลัวเหล่านั้น ตะโกน เงียบขรึม เจ็บปวด ความจริงนี้ทำให้เขารู้สึกหดหู่มาก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นตัวไร้ประโยชน์…ตาของเจ๋อซิ่วตอนนี้มองไม่เห็น กลับยังต้องปกป้องเขา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เจ๋อซิ่วตื่นขึ้นมา ไม่ได้ลืมตา ขยับไปที่ข้างๆ ชีเจียนอย่างช้าๆ ชัดเจนมาก เวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาค่อยๆ คุ้นเคยกับความจริงที่มองไม่เห็น เขาจับข้อมือของชีเจียน ฟังชีพจรอย่างเงียบขรึม จากนั้นหยิบยาเม็ดหนึ่งจากบริเวณอก ป้อนเข้าไปในปากของชีเจียน
เนื่องจากการที่เขามองไม่เห็น ตอนป้อนยา นิ้วมือแตะโดนริมฝีปากของชีเจียน
ริมฝีปากของชีเจียนแห้งเล็กน้อย ด้านบนยังมีหนังลอกที่เกิดจากความแห้งเกินไป แต่รู้สึกว่ายังมีความนุ่มนิดหนึ่ง นี่ทำให้นิ้วของเจ๋อซิ่วแข็งๆ พูดอย่างกะทันหันเล็กน้อยว่า “ถ้าเฉินฉางเซิงอยู่ก็คงดี”
นี่แม้จะเป็นการพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ชีเจียนกลับไม่เข้าใจ จึงถามว่า “เพราะอะไร?”
เจ๋อซิ่วเพิ่งจะมั่นใจว่าเขาไม่รังเกียจที่ริมฝีปากของตัวเองถูกตัวเองสัมผัสโดน นิ่งสักพักแล้วพูดว่า “วิชาแพทย์ของเขาเก่งมาก ถึงแม้จะไม่สามารถแก้พิษที่ข้าโดนจนหมด แต่น่าจะรักษาแผลของเจ้าให้หายได้”
ชีเจียนรู้สึกว่าสำนักฝึกหลวงน่าสนใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้ชัดเจนว่าไม่ใช่เวลาพูดคุยสัพเพเหระ ฉะนั้นหลังจากเขาแสดงความเห็นด้วยแล้ว ก็ไม่พูดจาอีก
ไม่พูดจา ถึงจะมีพลังและเวลามาฟื้นฟูร่างกายและปราณแท้ได้
เจ๋อซิ่วเข้าใจความหมายของเขา หลับตา คิดวิเคราะห์ปรับลมหายใจต่อ เพียงแต่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างชีเจียน ชีเจียนเพียงแค่ลืมตาขึ้น ก็สามารถมองเห็นด้านข้างใบหน้าของเขา
บนทางที่ผ่านมานี้เขานอนสลบไปเป็นเวลานานเกินไป ทำให้หลายครั้งที่ลืมชี้ทางให้เจ๋อซิ่ว แน่นอน ในที่ราบทุ่งหญ้าที่มองไปไร้ขอบเขตและหน้าหลังที่ไม่มีความแตกต่างอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องชี้ทางจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามเขานอนสลบไปเป็นเวลานานเกินไป ฉะนั้นแม้จะยังคงอ่อนแอ กลับไม่อยากพักผ่อนอีก ไม่อยากหลับตา
เขาลืมดวงตาที่สว่างชัดขึ้น มองหน้าด้านข้างของเจ๋อซิ่วอย่างเงียบๆ ยิ่งมองยิ่งเหม่อลอย ไม่รู้คิดอะไรอยู่
เจ๋อซิ่วหน้าตาธรรมดามาก ใบหน้าด้านข้างก็ไม่ได้มีริ้วรอยจุดด่างดำอะไร นอกเหนือจากความไม่แยแสและไร้ความรู้สึกแล้วก็ไม่มีความพิเศษอะไร มองดูเหมือนชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ผอมแห้ง แต่ใครคาดคิดได้ ในร่างที่ผอมแห้งของเขานี้ได้เก็บซ่อนพลังที่น่าหวาดกลัวและความตั้งใจอันแน่วแน่ที่ยากจะจินตนาการ
โดยเฉพาะหลังแปลงร่าง ยิ่งเหมือนมีความน่ากลัวที่ล้ำหน้าระดับขั้นของตัวเองชนิดหนึ่ง
เมื่อมองเขา ใบหน้าเล็กๆ ของชีเจียนพลันปรากฏสีหน้าศรัทธาออกมา