ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 100 ทิวทัศน์เมืองสวินหยาง
ระหว่างเดินทางลงใต้ ทั้งสองเจอะเจอกับนักฆ่าอีกสามกลุ่ม เฉินฉางเซิงจึงต้องลงมือฆ่าอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็สลบไป เหตุเกิดซ้ำๆ กันเช่นนี้ แม้น้อยครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนเสี่ยงอันตราย อีกทั้งในแต่ละครั้ง นักฆ่าหลิวชิงก็ยังซ่อนตัวอยู่ในภูเขารกร้าง ไม่ยอมปรากฏตัว จนทำให้เฉินฉางเซิงสงสัยว่า หรือนักฆ่าผู้นี้หลุดจากวงโคจรไปแล้ว
แม้พวกเขาผ่านการต่อสู้กับนักฆ่ามาแล้วหกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับการตามหาพรรคพวกเพื่อนฝูงรอบๆ เมืองเทียนเหลียงในตอนนี้แล้ว บทสรุปเช่นนี้กลับดีที่สุด ด้วยซูหลีรู้วิธีควบคุมสถานการณ์เป็นอย่างดี รู้ว่าผู้ที่คิดฆ่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่ไหน รู้ด้วยซ้ำว่าจะรับมือสถานการณ์อย่างไร ความสามารถเช่นนี้เขาได้แต่ใดมา?
ซูหลีเป็นผู้เลือกเส้นทาง เขาไม่ไปในที่ที่มีคนมาก และไม่ไปแต่ภูเขารกร้าง ส่วนใหญ่จะปลอมตัวเป็นนักเดินทาง และใช้เส้นทางลงใต้แบบคนทั่วไป เฉินฉางเซิงยิ่งมาก็ยิ่งนับถือการวางแผนของเขา แต่ก็มีข้อสงสัยหลายข้อเช่นกัน จนกระทั่งอดใจไม่ไหว ถามขึ้นในวันหนึ่งว่าเหตุใดจึงวางแผนเช่นนี้ ก็ได้รับคำตอบจากซูหลี “โลกนี้ไม่มีที่ใดหลบซ่อนได้ดีไปกว่าการอยู่ปะปนกับฝูงชน ดังนั้นการเดินทางไปในทางเดียวกันกับผู้คนจึงปลอดภัยสุด แต่ก็อันตรายสุดเช่นกัน ส่วนจะเลือกอย่างไรนั้น อยู่ที่การใช้สมองกับหนึ่งใจ”
เฉินฉางเซิงจึงถามต่อ
หนึ่งใจที่ว่าคืออะไร
ใช้ตัดสินใจเลือกได้อย่างไร
ซูหลีคิดสักพักจึงว่า
รอให้เจ้าเป็นเหมือนข้าก่อน ฆ่าคนมากมาย และถูกคนมากมายตามฆ่า ก็จะมีความสามารถด้านนี้ไปเอง
เฉินฉางเซิงคิดสักพักจึงว่า
ถ้าต้องเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ไม่ขอเรียนรู้ดีกว่า
ส่วนเรื่องราวและความสามารถของนักฆ่าในเงามืดนั้น เฉินฉางเซิงมิได้เรียน และถึงเรียนก็ไม่สำเร็จ พรสวรรค์ด้านนี้ของเขาอ่อนด้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่พรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่เริ่มส่อแววก้าวหน้าตามที่ซูหลีสอน เขาควบคุมเพลงกระบี่รอบรู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สติอารมณ์ยังควบคุมไม่ได้ เขาใช้เพลงกระบี่สันดาปได้ดั่งใจขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยจากการแผดเผาปราณแท้ แลกกับการพ่ายแพ้ของสองผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวภายใต้คมกระบี่ของเขา
เช่นนี้เป็นอันว่า เขาได้ผ่านการฆ่าข้ามขั้นติดต่อกันห้าครั้ง คู่ต่อสู้ของเขา นอกจากขุนพลเทพชื่อก้องเซวียเหอแล้ว ก็ยังมีผู้ทรงอิทธิพลทางตอนเหนือ หลินผิงหยวน
ซึ่งเขาในตอนนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบหกดี
ไม่รู้ว่าในอดีต ประวัติศาสตร์แวดวงบำเพ็ญเพียรเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่ หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ แต่อย่างน้อย หลังจากซูหลีลงจากเขาไปหลายร้อยปีก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาเองก็ไม่เคยทำได้ แต่ก็มิได้หมายความว่า เฉินฉางเซิงแข็งแกร่งกว่าซูหลีในตอนนั้น เพราะข้อแตกต่างมีมากอย่างเห็นได้ชัด เช่นสติอารมณ์ในตอนนั้นของซูหลีจดจ่ออยู่แต่กับสวนโจว อีกทั้งไม่มีโอกาสหยุดต่อสู้ชี้วัดความเป็นความตายกับผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาว ซึ่งตอนนี้เฉินฉางเซิงทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนซูหลีประทับใจ แล้วก็หวั่นใจ
ในค่ำคืนหนึ่ง ซูหลีจึงเริ่มถ่ายทอดเพลงกระบี่เพลงที่สามให้ ซึ่งเฉินฉางเซิงใช้ระยะเวลาเพียงเนื้อต้มสุกก็สามารถจดจำเคล็ดวิชากระบี่จนขึ้นใจ ซูหลีจ้องมองเขาพลางคร่ำครวญ “เจ้าเหมาะกับการเรียนกระบี่จริงๆ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกประหม่าจึงว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
เหมาะกับการเรียนกระบี่ นี่เป็นคำชมขั้นสูง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าออกจากปากของซูหลีเอง
ซูหลีมองเขาพลางว่า “ถ้าข้าไม่มีศิษย์สืบทอดวิชาอย่างชิวซานกับ…ไม่แน่ว่าอาจเลือกเจ้าเข้าให้จริงๆ”
เฉินฉางเซิงโบกมือแล้วว่า “มิอาจๆ ข้าน้อยเป็นผู้สืบทอดตามกฎของนิกายหลวงแล้ว ไม่สามารถคารวะผู้ใดเป็นอาจารย์ได้อีก”
ซูหลีชัดเจนดีว่า ตามนิสัยของเฉินฉางเซิงแล้ว เขาย่อมปฏิเสธแน่นอน เพียงแต่ปฏิเสธเร็วไปนิด ไม่มีแม้ท่าทีคิดหรือลังเล ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจยิ่ง จึงวิเคราะห์การต่อสู้ทั้งหกครั้งที่เฉินฉางเซิงพานพบให้ฟังด้วยสีหน้าเย็นชา ใช้การคิดคำนวณและสถิติจริงสรุปออกมาว่า “ก็นับว่าเจ้าโชคดี มิฉะนั้นคงตายเสียแต่แรกแล้ว ดังนั้นอย่าชะล่าใจไป”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู ก็ยอมรับโดยดุษณีว่า ที่เขากับซูหลีสามารถมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ สิ่งสำคัญสุดมิใช่วิสัยทัศน์ของซูหลี วิชากระบี่ที่ซูหลีถ่ายทอดให้ หรือพรสวรรค์ด้านกระบี่ของเขา แต่คือโชค… ระหว่างทาง ซูหลีมักเยินยอว่าตนเองโชคดี หรือพูดถึงโชคชะตา แน่นอนย่อมพูดว่า เขากับเฉินฉางเซิงล้วนเป็นผู้มีโชคชะตาที่ดี จึงได้เดินทางร่วมกัน แม้คิดตายก็ยังยาก พอพูดเช่นนี้บ่อยครั้งเข้าก็กลายเป็นความคุ้นชิน กระทั่งบางครั้งเฉินฉางเซิงก็เริ่มยอมรับว่าตนเองโชคดี แต่พอคิดว่าชะตาชีวิตตนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็มักรู้สึกสับสน
พอซดแกงเนื้อที่เหลือจากเมื่อคืนจนเกลี้ยง เฉินฉางเซิงก็กระชับเสื้อผ้าให้เข้าที่ นวดใบหน้าที่ซีดเซียวไปมา จากนั้นก็เริ่มขบคิดถึงเพลงกระบี่เพลงที่สามที่ซูหลีสอน โดยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย ซูหลีเองขณะพิงอยู่บนหลังกวางพื้นเมือง ก็คอยมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่นิ่งอยู่นาน จากนั้นจึงหันมองไปทางทิศใต้ พลางคิดเงียบๆ
‘ชิวซาน หมอนี่ไม่เลวทีเดียว กำลังไล่ตามเจ้ามาติดๆ เจ้าต้องวิ่งให้เร็วกว่านี้ มิฉะนั้นต้องถูกไล่ทันแน่’
……
……
การหนีตายในป่ารกร้างกับท้องถนน ที่สุดแล้วก็สิ้นสุดลง ทั้งสองได้มาถึงนอกเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงมอบกวางพื้นเมืองสองตัวให้ชาวนาที่อยู่บริเวณนั้น พร้อมใช้กระบี่สั้นและเงินสองตำลึง ขู่ไม่ให้ชาวนาบอกเรื่องนี้กับใคร รวมทั้งต้องดูแลกวางพื้นเมืองสองตัวให้ดี ซูหลีเห็นแล้วก็หัวเราะ มิได้พูดจาใดๆ
สวินหยาง เป็นเมืองใหญ่สุดในบรรดาเมืองต่างๆ ทางตอนเหนือของเทียนเหลียง ใจกลางเมืองจึงคึกคักไม่เบา ซูหลีกับเฉินฉางเซิงปลอมตัวเป็นพ่อค้าธรรมดา เดินปะปนอยู่กับชาวบ้านอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาเข้าพักผ่อนในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
หลังออกจากสวนโจว นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงได้นอนบนเตียง พอหัวถึงหมอน เขาก็เริ่มกรน
เหมือนซูหลีตอนหลับสนิทอยู่ในบ่อน้ำอุ่นบนสันเขาหิมะไม่มีผิด เขานอนไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เห็นได้ว่าการเดินทางในครั้งนี้เขารู้สึกกดดันมากจนอ่อนล้าและมีสภาพอย่างที่เห็น
หลังตื่นนอน เฉินฉางเซิงก็เดินไปที่หน้าต่าง มองดูความคึกคักในเมืองสวินหยางอยู่นานสองนาน ก่อนรู้สึกว่าไม่ควรเอ้อระเหยต่อ เพราะเขาทั้งเหนื่อยทั้งอ่อนล้ามากจริงๆ…เขาไม่อยากเดินทางต่อ และไม่อยากรอให้นักฆ่าปรากฏตัวขึ้นทีละคนๆ เขาไม่ชอบการรอคอยที่ไม่รู้อะไร ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ จึงไปหาซูหลีแล้วว่า
“มีคนมากมายอยู่ในเมืองเทียนเหลียง เชื่อว่าคนของพรรคกระบี่หลีซานตอนนี้ก็รู้เรื่องของท่านแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเรายังต้องปกปิดร่องรอยกันอยู่เล่า?”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าเชื่อแต่ตัวข้าเอง” ซูหลีตอบ
เฉินฉางเซิงเงียบ พูดไม่ออก
ตลอดการเดินทาง เขาดูออกว่า ซูหลีที่ภายนอกดูเรียบง่าย รักอิสระ และเป็นผู้อาวุโสผู้น่ารักในบางครั้ง ความจริงแล้ว ซูหลีก็เป็นเหมือนชื่อของเขา ตีตัวออกหากจากสังคม ไม่เชื่อนิสัยใจคอคน ไม่เชื่อจิตใจคน ไม่เชื่อมั่นโลก ไม่พูดกับโลก ดังนั้นจึงไม่มีทางขอให้โลกช่วยเหลือเป็นอันขาด
เขาเดินทางอย่างโดดเดี่ยวมาแล้วหลายร้อยปี
แต่เฉินฉางเซิงไม่อยากทำเช่นนี้ เขามักคิดว่าตนมองโลกในแง่ดีมาโดยตลอด โลกก็ต้องให้ความปรารถนาดีตอบ เมื่อท่านเห็นความสวยงามของภูเขา ภูเขาก็ต้องเห็นใจท่าน
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เราก็เสียเปรียบมาก รอบข้างเต็มไปด้วยศัตรูแม้ยามหลับ หาคนช่วยไม่ได้สักคน”
“ใครที่ไหนจะช่วยเล่า?”
“โลกเราประกอบไปด้วยกลางวันและกลางคืน หลายวันก่อน เราเดินทางแต่ตอนกลางคืน จึงเห็นแต่ทิวทัศน์ยามวิกาล เจอะเจอแต่ความมืด ทว่าถ้าเราเดินใต้ดวงอาทิตย์ เราก็สามารถเห็นแสงอาทิตย์” เฉินฉางเซิงมองซูหลีอย่างจริงจังพลางพูดต่อ “ไฉนผู้อาวุโสจึงไม่ลองดูสักตั้ง?”
ซูหลีพลันกล่าว “ไปเอาสำนวนกวีน้ำเน่ามาจากไหน? แล้วยังหาว่าข้าผิด ที่ไม่ยอมเอาชีวิตไปพิสูจน์ความคิดของเจ้าอีก”
เฉินฉางเซิงไม่ยอมแพ้ “แต่ข้าอยากพิสูจน์จริงๆ นี่ว่าผู้อาวุโสผิด”
ซูหลีเลิกคิ้ว จ้องมองเขาแล้วว่า “เจ้าไม่อาจกระทำโดยพลการ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “อะไรคือพลการ?”
ซูหลีเดือดดาล “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดทำอะไร อย่าลืมนะว่านี่คือชีวิตข้า และชีวิตข้าขึ้นกับตัวข้าเอง มิได้ขึ้นกับฟ้า ยิ่งไม่มีทางขึ้นกับเจ้า!”
“แต่…ที่ผู้อาวุโสมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ มิใช่เพราะความมุมานะของข้าหรอกหรือ?”
เฉินฉางเซิงเบิกดวงตาวาวใส ตั้งใจจ้องมองเขา ดูน่ารักก็จริง แต่ในสายตาซูหลี เขาดูร้ายกาจยิ่ง
ซูหลีมือเย็น ขณะคำรามเสียงต่ำ “เจ้าเด็กบ้า ข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ เฉินฉางเซิงก็ก้าวไปที่หน้าต่าง ออกแรงใช้มือทั้งสองผลักหน้าต่างออก
เสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ เมืองสวินหยางปลายฤดูใบไม้ผลิ สดใสสวยงาม
พอหน้าต่างถูกเปิดออก แสงแดดและสายลมอ่อนๆ ก็พัดเข้ามาในห้อง ส่องสว่างความมืด
เสียงตะโกนใสๆ ดุจทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ ดังก้องไปทั่วท้องถนนเมืองสวินหยาง
“ซูหลี อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน อยู่ที่นี่!”