ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 103 เริ่มงานเลี้ยง
คนที่เหลียงหวังซุนอยากเจอ ภูเขาที่เหลียงหวังซุนอยากผลัก ย่อมเป็นเขาหลีซาน
และทั่วทั้งต้าลู่ต่างรู้ว่า ซูหลีก็คือเขาหลีซาน
ที่ผ่านมา ยอดเขาลูกนี้สูงจนยากปีนป่าย ไม่ว่าจะเป็นหวังผ้อ เซียวจาง เหลียงหวังซุน ผู้แข็งแกร่งที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปในประกาศเซียวเหยาไม่มีทางท้าทายซูหลีซึ่งๆ หน้า แต่ตอนนี้ ซูหลีบาดเจ็บสาหัส ยอดเขาสั่นไหวจนใกล้พังทลายเต็มที
เหลียงหวังซุนเชื่อว่าตนมีศักยภาพและความสามารถมากพอที่จะทำลายยอดเขานี้ ดังนั้นทันทีที่รู้ข่าว เขาก็นั่งรถม้าขนาดใหญ่ออกจากจวนอ๋องอย่างไม่ลังเลใจ จนมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งนี้
ทว่าตอนนี้ด้านหน้าของยอดเขา มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนขวางอยู่
ถ้าเขาคิดผลักภูเขาลูกนี้ ย่อมต้องผ่านด่านเด็กหนุ่มก่อน
“เจ้าก็คือเฉินฉางเซิง?”
เหลียงหวงซุนถามนิ่งๆ ขณะมองดูเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าบันไดหิน
เฉินฉางเซิงมิได้ตอบคำถามนี้ เขากำลังตื่นเต้น เพราะนอกจากเคยเห็นหวังผ้อในระยะไกลจากประตูหน้าสุสานเทียนซูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้สูงส่งของประกาศเซียวเหยา ท่านเหล่านี้จัดว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลจริงๆ ในสังคม ยุคดอกไม้ป่าเบ่งบาน ก็เริ่มจากเหลียงหวังซุนและคนของประกาศเซียวเหยา
จากซีหนิงถึงจิงตู แม้เขาได้เจอะเจอผู้สูงส่งมากมาย แต่ผู้สูงส่งเหล่านี้อยู่สูงจนเขามิอาจเอื้อม ไม่ว่าจะเป็นใต้เท้าสังฆราชหรือซูหลี ซึ่งต่อให้พูดว่าสนิทกัน เขาก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้เห็น แต่อ๋องหนุ่มผู้นั่งอยู่บนราชรถดอกบัวดำท่านนี้ไม่เหมือนกัน เพราะถ้าว่ากันตามชื่อเสียงและขั้นบำเพ็ญเพียร เฉินฉางเซิงอยู่ในประกาศเตี่ยนจิน ซึ่งเกินเลยขอบเขตประกาศชิงอวิ๋นมานานแล้ว พูดอีกอย่างก็คือ เขาใกล้เคียงกับประกาศเซียวเหยามากสุด และเพราะเหตุนี้ ถึงทำให้รู้สึกกดดันจริงๆ หรือรู้สึกว่าแตกต่างกันมากก็ว่าได้
คิ้วของเหลียงหวังซุนเลิกขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะเงียบ แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงไม่รู้สึกโกรธ จึงถามอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง
“เจ้าคือเฉินฉางเซิงหรือ?”
ครั้งนี้เฉินฉางเซิงตั้งสติทัน จึงเพิ่งรู้ตัวว่าถูกฝ่ายตรงข้ามถาม
ฝ่ายตรงข้ามมาฆ่าซูหลี ซึ่งผู้ที่กล้ามาฆ่าซูหลี กลับพุ่งเป้ามาที่ตนเองก่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มคนอื่น อาจรู้สึกได้ใจและทระนงตน แต่เขาไม่ใช่ เพราะเขามิได้รู้สึกว่าตนเป็นคนเด่นคนดังอะไร ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมไม้เลื้อย การสอบใหญ่ การอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู และการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในฐานะหัวหน้าสำนักฝึกหลวง ทำให้เขากลายเป็นคนดังของต้าลู่ไปโดยปริยาย จนคนระดับเหลียงหวังซุนยังต้องพูดจากับเขาก่อน แม้จะเป็นการพูดด้วยน้ำเสียงปกติก็ตาม
ถนนหน้าโรงเตี๊ยมเงียบกริบ ฝุ่นควันค่อยๆ จางหาย นอกจากเห็นนักบวชที่ยืนกระจายไปรอบๆ แล้ว ยังเห็นเงาร่างตะคุ่มๆ มากมาย คนเหล่านี้น่าจะเป็นหน่วยกล้าตายของจวนอ๋องที่สามารถบุกเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ทุกคนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เพราะกำลังรอคำตอบจากเฉินฉางเซิง
แม้ตอนนี้เด็กหนุ่มผู้บำเพ็ญเพียรจากเมืองซีหนิงมีคุณสมบัติพอที่จะพูดคุยกับคนระดับเหลียงหวังซุนแล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ เฉินฉางเซิงกลับไม่พูดจาใดๆ เขาหันกายเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม แล้วปิดประตูหน้าตาเฉย จากนั้นก็คล้ายกลายเป็นควันสีเขียวสายหนึ่ง ลอยขึ้นชั้นสองทันที
เหลียงหวังซุนนั่งขรึมอยู่กลางดอกบัวสีดำ เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เฉินฉางเซิงผลักประตูห้อง ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าซูหลี แล้วว่า “เราหนีกันเถอะ”
ซูหลีลืมตา เหลือบมองเขาแล้วว่า “ลงเดิมพันไปแล้ว ถอนตัวทันไหมล่ะ”
เฉินฉางเซิงก้มหน้า ไม่พูดจาอะไร ทรวงอกขยับขึ้นลงเล็กน้อย
ที่เขาคิดพาซูหลีหนี ก็ย่อมหมายความว่าเขาอยากล้มเลิกความคิดเดิม
เขายอมรับว่าแพ้ ด้วยพละกำลังต่างกันมาก จนไม่อาจไม่ยอมรับ
เพราะแค่มองปราดเดียว เขาก็รู้ตัวว่าไม่มีทางเอาชนะเหลียงหวังซุนได้
ความหวังแม้แต่น้อยก็ไม่มีเลยจริงๆ
……
……
นอกโรงเตี๊ยมยังเงียบเหมือนเมื่อครู่
เหลียงหวังซุนมองใต้เท้ามุขนายกเมืองสวินหยางจากหัวจรดเท้า ก่อนถาม “นิกายหลวงยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
หัวเจี้ยฟูตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ความปลอดภัยของหัวหน้าสำนักเฉิน เราต้องยุ่งเกี่ยว”
ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงเคยบอกใต้เท้ามุขนายกท่านนี้ว่า สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าตนมาเมืองสวินหยางได้ แต่เมื่อผู้คนทั่วทั้งเมืองสวินหยางล้วนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ มีหรือที่คนของนิกายหลวงจะไม่สนใจ?
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กหนุ่มอย่างหัวหน้าสำนักเฉินถึงต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่…ข้าไม่สนใจ”
เหลียงหวังซุนล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะออกจากแขนเสื้อ นำมาเช็ดฝุ่นที่เกาะตามเสื้อผ้าเบาๆ พลางว่า “เมื่อรถม้าขนาดใหญ่ของจวนอ๋องขยับ เรื่องนี้ก็ต้องมีข้อสรุป”
หัวเจี้ยฟูจ้องมองเขาพลางตอบนิ่งๆ “ใต้เท้าสังฆราชกำลังรอให้หัวหน้าสำนักเฉินกลับไป”
เหลียงหวังซุนชะงักเล็กน้อย นิ่งไปสักพักค่อยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ส่งเขากลับไปสิ แต่ถ้าเขาไม่ยอมกลับ ข้าก็คงต้องฆ่าเขาด้วย”
หัวเจี้ยฟูส่ายศีรษะ แล้วว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ จวนเหลียงอ๋องอาจต้องเสียใจในภายหลัง”
มุขนายกพูดเสียงปกติ ไม่มีเจตนาข่มขู่แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนต่างรู้ว่า ถ้าเฉินฉางเซิงเสียชีวิตในเมืองสวินหยาง นิกายหลวงจะตอบโต้อย่างไร ใครๆ ก็คิดได้
แต่เพราะเป็นเรื่องปกตินี่แหละ ถึงต้องแข็งกร้าว
เหลียงหวังซุนเงียบลงอีกครา เขาทิ้งผ้าเช็ดหน้าที่กลายเป็นสีเทาลงข้างรถ ก่อนพูดอย่างเบื่อหน่าย “เสียใจภายหลัง? หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ข้าก็รู้สึกว่าข้าเหลียงหวังซุนอยู่ไปจะมีความหมายอะไร? และถ้าวันนี้ข้าฆ่าซูหลีต่อหน้าผู้คนมากมาย หรือไม่กลัวว่าคนของเขาหลีซานจะมาฆ่าล้างตระกูลข้า? ดังนั้นคำพูดของเจ้าเมื่อครู่จึงใช้กับข้าไม่ได้”
หัวเจี้ยฟูรู้สึกหนาวเหน็บ เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังเกิดคดีโลหิตที่สำนักฝึกหลวง บรรดานักปราชญ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็พากันปกปิดการสังหารหมู่ที่สยดสยองอย่างแข็งขัน ทำให้เขาไม่รู้รายละเอียดของเรื่องที่ถือว่าใหญ่มาก รู้แต่ว่าจวนเหลียงอ๋องได้จ่ายค่าตอบแทนที่ขมขื่นไปไม่น้อย
เขาจ้องมองอ๋องหนุ่มบนราชรถ พลางให้สติ “เหตุใดต้องตัดรอนกันถึงเพียงนี้”
เหลียงหวังซุนนั่งอยู่กลางราชรถดอกบัวดำอันสูงใหญ่ จึงคล้ายนั่งอยู่ชั้นบนในระดับเดียวกันกับชั้นบนของโรงเตี๊ยมพอดี
เขามองหน้าต่างห้องที่ปิดสนิทบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม ก่อนทอดถอนใจว่า “ก็ใครใช้ให้ตะโกนคำเหล่านั้นอย่างตัดรอนก่อนเล่า”
เมืองสวินหยางกลายเป็นเมืองร้างที่เงียบสงัด การฆ่ากันกำลังจะปรากฏขึ้นตรงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเปิดหน้าต่างของเฉินฉางเซิง แล้วตะโกนคำเหล่านั้นใส่ทิวทัศน์อันสวยงาม
ซูหลีอยู่ที่นี่
คำเหล่านี้ เป็นการบีบให้เฉินฉางเซิงกับซูหลีจนมุม
ซึ่งเดิมทีคิดบีบให้ผู้ที่อยากฆ่าซูหลีจนมุมมิใช่หรือ
เมื่อนิกายหลวงไม่สามารถลงมือกับซูหลี
เมื่อกองทัพต้าโจวก็ไม่สามารถเช่นกัน
ผู้ที่คิดลอบฆ่าซูหลีอย่างเหลียงหวังซุน จึงต้องทำการอย่างอุกอาจเช่นนี้
มีเรื่องมากมายในโลกที่ได้แต่ทำ พูดไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถให้ใครเห็น มิเช่นนั้นจะเข้าหน้ากันไม่ติด
ไม่ว่ากับคนทิศใต้ หรือหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์
เช่นการฆ่าซูหลี
ก็เป็นได้เพียงเรื่องกระหายโลหิตที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในเงามืดของประวัติศาสตร์ เหมือนเรื่องของพันธมิตรที่ราบลั่วหลิ่ว เหมือนการเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้า เหมือนความจริงที่โจวตู๋ฟูหายตัวไป
ทว่าเฉินฉางเซิงใช้คำเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่คนทั่วไปล่วงรู้
“งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว จะออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลาได้อย่างไร?”
ห้องมืดมนในโรงเตี๊ยม ซูหลีนั่งบนเก้าอี้ มองดูเด็กหนุ่มที่ก้มศีรษะอยู่ตรงหน้า ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ข้าสอนยุทธวิธีการรบให้เจ้าแล้ว สอนเพลงกระบี่รอบรู้ให้ด้วย เจ้าเรียนรู้ได้ดีมาก กระทั่งเกินกว่าที่ข้าคาดหวังไว้สูงสุดด้วยซ้ำ ทั้งยังพลิกแพลงแปรเปลี่ยนร้อยแปดพันเก้าให้เป็นเสียงตะโกนก่อนหน้านี้ได้อีก…ทำให้ตอนนี้ข้าชักแปลกใจแล้วว่า เจ้าจะสามารถปกป้องข้าได้ถึงเมื่อไหร่กัน”