ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 106 เพลงกระบี่โง่งมของเด็กหนุ่มผู้โง่งม
ซูหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ท่ามกลางซากปรักหักพังของโรงเตี๊ยม หลับตา คล้ายนอนหลับ แต่ความจริงแล้วตื่นอยู่
มือของเขาจับร่มกระดาษทองไว้ แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะชักออก
หอกเหล็กที่พุ่งมาจากฟากฟ้า แม้อยู่ห่างจากเขาหลายจั้ง แต่ก็ทำให้ผมสีดำของเขาสยายออก
ผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยมีใครเอาชนะได้ ที่สุดแล้วตอนนี้เวลานี้กลับถูกบีบให้จนตรอก ใครจะช่วยเขาได้?
ซูหลีไม่มีสหาย เขาไม่เคยเชื่อใจใคร นอกจากคนในเขาหลีซาน
แต่เขาหลีซานอยู่ไกลเกินไป ตอนนี้ในเมืองสวินหยางมีเพียงเฉินฉางเซิง
ผู้ที่จัดการหอกเหล็กแทนเขาได้ ย่อมมีเพียงเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงต้องช่วยเขาต้านหอกด้ามนี้
และแล้ว สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ถนนนอกโรงเตี๊ยมพลันร้อนระอุขึ้นมา ทำให้เศษกระดาษหิมะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเปลี่ยนรูป ส่วนที่ตกลงบนราชรถยิ่งแล้วใหญ่ ถูกเผาจนม้วนตัวไปตามๆ กัน
พลังอันร้อนระอุมาจากร่างของเฉินฉางเซิง
เขาใช้วิธีที่ใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่ง สันดาปพลังปราณแท้ของตนเอง
นี่คือเพลงกระบี่ลำดับสองที่ซูหลีสอน เพลงกระบี่สันดาป
เจตจำนงกระบี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนแผ่ปกคลุมไปทั่วราชรถ
เพลงกระบี่ที่บ้าคลั่งเช่นนี้ ประกอบไปด้วยพลังทะลุฟ้าของกระบี่เผานภา เคล็ดวิชาไร้เทียมทานของกระบี่วิหคทอง พริบตาที่พลังปราณสันดาป ยังมีกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน พร้อมความมุ่งมั่นและหาญกล้าที่จะพลีชีพ
กระบี่นี้เดิมทีซูหลีคิดค้นขึ้นให้เขาใช้ต่อสู้ข้ามขั้นกับผู้แข็งแกร่งโดยเฉพาะ
แรกเริ่มตอนอยู่ในร้านน้ำชาข้างถนน เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่สันดาปฟาดฟันหลินผิงหยวนนักเลงใหญ่ทางเหนือผู้อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวจนเละเทะ และตอนนี้เหลียงหวังซุนผู้มีพละกำลังอันล้ำลึกยากหยั่งถึงก็กำลังเอะใจ เมื่อต้องเผชิญกับเพลงกระบี่นี้
เหลียงหวังซุนคลายนิ้วทั้งสองออก เปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชากระบี่ เสียงวัชระทองดังก้อง
ทว่าเฉินฉางเซิงมิได้ใช้เพลงกระบี่สันดาป เขาหมุนข้อมือเก็บกระบี่ แล้วแทงออกอีกครั้ง ตำแหน่งที่แทงมิใช่หว่างคิ้วของเหลียงหวังซุน แต่เป็นที่ว่างด้านหน้าขวาของราชรถ
กระบี่นี้ดูเหมือนบางเบา แต่ความจริงแล้วลึกล้ำยิ่ง ที่ที่คมกระบี่ชี้ไปมีที่มา
นี่เป็นเพลงกระบี่แรกที่ซูหลีสอนเขา เพลงกระบี่รอบรู้
เพลงกระบี่รอบรู้ต้องใช้การคิดคำนวณจากข้อมูลมหาศาล พรสวรรค์ในการสันนิษฐาน จิตใจกระบี่ที่กระจ่างและ…โชคที่ดีอย่างมาก
ผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างเหลียงหวังซุน ซึ่งมีอาณาเขตดวงดาวที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แม้กระบี่ของเฉินฉางเซิงจะแทงจากด้านในสู่ด้านนอกเพื่อทำลาย ก็เป็นไปอย่างยากเย็น และเขากำลังพยายาม
อาจเป็นเพราะชีวิตเขาไม่ดี โชคจึงช่วย ทุกครั้งที่เขามุ่งมั่น โชคก็มักจะเข้าข้าง
ได้ยินเสียงกึกดังเบาๆ อาณาเขตดวงดาวของเหลียงหวังซุนถูกกระบี่สั้นแทงจนเกิดเป็นรูเล็กๆ
ร่างของเฉินฉางเซิงพลันแวบหาย กลับไปที่โรงเตี๊ยม พร้อมกระจายความร้อน จนเศษกระดาษม้วนตัว
นี่คือวิชาย่างก้าวหยั่งเทวา
ซูหลีนั่งหลับตาอยู่ในซากปรักหักพังของโรงเตี๊ยม เหมือนกำลังรอความตาย
หอกเหล็กแหวกอากาศมาถึง และกำลังจะแทงเข้าที่ทรวงอกของเขา
เฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าร่างซูหลี
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ล้วนรู้สึกแสบตา นี่ไม่เกี่ยวข้องกับเจตจำนงกระบี่ที่เห็นในตอนแรก แต่เป็นเพราะร่างของเขากำลังปล่อยความร้อนอันน่าสะพรึงกลัว แม้ไม่เห็นเปลวเพลิงจริงๆ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเขากำลังเผาตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญกับหอกเหล็กที่พุ่งจากฟากฟ้า เฉินฉางเซิงจึงจับกระบี่ขึ้นตรงหน้าในแนวขวาง กระบี่สั้นมิได้สว่างจ้าและมิได้สำแดงพลังมังกร ดูปกติธรรมดา เหมือนก้อนหิน เหมือนดินทราย
เมื่อก้อนหินรวมกับดินทราย ก็กลายเป็นเขื่อน
หอกเหล็กที่แข็งแกร่งและน่ากลัวสุดจะเปรียบแหวกอากาศมา เหมือนมวลน้ำที่ท่วมท้น
การจับกระบี่ในแนวขวางของเฉินฉางเซิง เป็นการลดความเชี่ยวกรากของมวลน้ำ คล้ายเขื่อนใหญ่ปรากฏ
นี่คือเพลงกระบี่ลำดับสามที่ซูหลีสอน
เพลงกระบี่นี้มีชื่อที่โง่งมยิ่ง นามว่า เพลงกระบี่โง่งม
จากคำพูดของซูหลีที่ว่า นี่เป็นเพลงกระบี่ที่โง่เง่าชนิดหนึ่ง จึงมีเพียงคนโง่สุดๆ เท่านั้นที่เรียนได้ มันยังเป็นเพลงกระบี่ที่เป็นธรรมชาติมากสุด เพราะมิได้ใช้รับมือศัตรู แต่ใช้เพื่อป้องกันตนเอง
ที่ชื่อเพลงกระบี่โง่งม ยังเป็นเพราะการฝึกเพลงกระบี่นั้น ไม่มีวิธีอื่น มีเพียงการฝึกซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ฝึกจนก้อนหินถูกน้ำทะเลเซาะพัง ฝึกจนดวงดาวเคลื่อนตำแหน่ง ฝึกจนชั่วฟ้าดินสลาย เจ้าก็ไม่มีทางแน่ใจว่าตนเองฝึกสำเร็จ
ตอนเฉินฉางเซิงได้ยิน ก็ไม่คิดฝึกเพลงกระบี่นี้ แต่พอได้ยินซูหลีพูดต่อว่า เพลงกระบี่โง่งมถูกจัดให้เป็นเพลงกระบี่ป้องกันตัวที่แข็งแกร่งสุดในโลก เขาก็เปลี่ยนความคิด…เพลงกระบี่มาจากเขาหลีซาน ซูหลีเป็นผู้รอบรู้ในการบำเพ็ญวิถีกระบี่ที่ไม่เป็นสองรองใคร อีกทั้งเห็นโลกมามาก การวินิจฉัยของเขาย่อมไม่ผิดพลาด
จากนั้น พอเขาเริ่มเรียนเพลงกระบี่นี้จริงจัง เขาก็นึกเสียใจ
เพราะซูหลีเองก็ยังฝึกเพลงกระบี่นี้ไม่สำเร็จ ทั้งเขาหลีซาน ทั้งดินแดนต้าลู่ ล้วนไม่มีใครฝึกเพลงกระบี่นี้สำเร็จ กระทั่งประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครฝึกสำเร็จ พูดอีกอย่างก็คือ เป็นเพลงกระบี่ที่มีแต่ในตำรา มีแต่ในจินตนาการ ไม่เคยปรากฏให้เห็นจริงๆ
ซูหลีว่า ที่เขาไม่สามารถฝึกเพลงกระบี่นี้ได้เพราะเขาฉลาดเกินไป มีใจกระบี่อิสรเสรี ไม่ยอมถูกจำกัดขอบเขต แต่เฉินฉางเซิงกลับมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จเพลงกระบี่นี้ เพราะ…มีบางด้านที่เฉินฉางเซิงโง่งมจริงๆ
เฉินฉางเซิงย่อมไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่กลับเริ่มฝึกเพลงกระบี่นี้อย่างโง่งมจริงๆ ฝึกทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด จนบางครั้งรู้สึกว่าตนคล้ายฝึกสำเร็จแล้ว
แต่นี่ไม่มีอะไรมายืนยัน เพราะไม่เคยลองใช้ จนกระทั่งตอนนี้
หอกเหล็กอหังการนั่น แหวกกระดาษหิมะเข้ามา
วิธีสุดท้ายที่คิดปล่อยกระบี่หมื่นเล่มออกไปก็อาจใช้ไม่ได้ผล เพราะคนประหลาดที่ขี่ว่าวมาคลุ้มคลั่งอย่างเห็นได้ชัด เพราะต้องการฆ่าซูหลี เขาอาจไม่สนใจรูเป็นหมื่นเป็นพันที่ถูกแทงบนร่างกาย
เฉินฉางเซิงจึงได้แต่ใช้เพลงกระบี่นี้
เมื่อใช้เพื่อป้องกัน ก็ต้องต้านหอกได้
เขาจับกระบี่ในแนวขวาง แล้วจ้องหอกเหล็กกับพู่แดงปลิวไสวที่พุ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รู้สึกตื่นเต้นจนถึงขีดสุด ร่างกายแข็งทื่อ แต่ใจกระบี่กลับนิ่งสุดจะเปรียบ สีหน้าเรียบนิ่ง
เด็กหนุ่มในตอนนี้ แลดูโง่งมจริงๆ
……
……
พู่แดงปลิวไสว ตัดกระดาษหิมะ
หอกเหล็กพุ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม ความคมที่อหังการและสว่างไสว เจอกับกระบี่ที่สงบนิ่งและมืดมน
เพียงชั่วพริบตา หอกเหล็กอันคมกริบก็ปะทะกับกระบี่สั้นหลายพันครั้ง
เศษกระดาษที่ลอยละล่องอยู่ในโรงเตี๊ยมปลิวว่อนจนกลายเป็นฝุ่นผง พลังหิมะรุนแรงอย่างยิ่ง แท้จริงอย่างยิ่ง
เสียงดังกึกก้อง
คลื่นพลังแผ่ออกรอบๆ โรงเตี๊ยม กระดาษหิมะกระจายตัวปกคลุมไปทั่วรัศมีหลายร้อยจั้ง
ในความเงียบ เสียงเสียดแก้วหูดังกังวาน
นั่นเป็นเสียงเสียดสีกันของเหล็กกับเหล็ก
หอกเหล็กค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหลัง
เฉินฉางเซิงยังคงยืนอยู่หน้าซูหลี
เขาหน้าซีดขาว ร่างสั่นไม่หยุด โดยเฉพาะขาทั้งสองข้าง
เหมือนจะล้มลงได้ทุกขณะ แต่ยังไม่ล้ม และไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ทว่าตัวเขาเองกลับไม่รู้ในจุดนี้ เพราะหอกเหล็กแข็งแกร่งเกิน และน่ากลัวเกินไปจริงๆ เขาจึงหลับตาในพริบตาสุดท้าย จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ลืมตา
ผลของการสันดาปพลังปราณแท้อย่างคลุ้มคลั่งยังคงอยู่ อุณหภูมิในร่างเขาสูงมาก ร้อนระอุไปหมด ชนิดที่ว่า พอเศษกระดาษแตะตัวก็ถูกแผดเผาจนเกิดควันสีขาว ดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ผู้คนตกตะลึงจนพูดไม่ออก ขณะมองดูเฉินฉางเซิงถูกควันขาวปกคลุม
เป็นไปไม่ได้ ริอ่านทลายอาณาเขตดวงดาวของเหลียงหวังซุน กลับสู่โรงเตี๊ยม ยืนหยัดต้านหอกเหล็กที่แหวกอากาศมา เด็กหนุ่มผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน? ต้องรู้ว่าเขามีพรสวรรค์เช่นไร ทั้งๆ ที่อายุเพียงสิบหก แต่คนที่เขาเผชิญในวันนี้ มิใช่คู่ต่อสู้อายุไล่เลี่ยกันที่พบเจอในการสอบใหญ่ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งจริงๆ บนประกาศเซียวเหยา!
“เก่งมาก ที่สามารถต้านหอกของข้าได้”
เสียงไร้ซึ่งอารมณ์ดังขึ้นในโรงเตี๊ยม
เฉินฉางเซิงลืมตา ในที่สุดก็เห็นคนประหลาดที่ขี่ว่าวมาอย่างชัดเจน
เขามีรูปร่างผอมสูง สวมเสื้อผ้าสั้นๆ เก่าขาด จึงเห็นแขนและขาครึ่งหนึ่ง มีกระดาษสีขาวปิดใบหน้า บนกระดาษวาดรูปจมูกกับปาก เจาะรูให้เห็นดวงตาทั้งสองข้าง
…เฉินฉางเซิงเก่งจริงๆ ผู้คนรอบบริเวณล้วนคิดเช่นนี้
เพราะเขาสามารถต้านหอกเหล็กของคนผู้นี้ และเพราะคนผู้นี้คือฮว่าเจี่ยเซียวจาง
ตั้งแต่การประชุมใหญ่จู่สือเมื่อสี่สิบปีก่อน แวดวงบำเพ็ญเพียรก็ได้ขานรับยุคดอกไม้ป่าเบ่งบานอย่างเป็นทางการ มีผู้มากพรสวรรค์ผุดขึ้นมากมาย ฮว่าเจี่ยเซียวจางคือชื่อที่สะดุดตามากสุดเสมอ เขากับเทียนเหลียงหวังผ้อโด่งดังพอๆ กันในนามผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงบนโลก แต่ในสายตาผู้คนมากมาย เขาน่ากลัวกว่าเทียนเหลียงหวังผ้อ เพราะเขาคือคนบ้าคนหนึ่ง
หลังการประชุมใหญ่จู่สือ หวังผ้อคว้าอันดับหนึ่ง สวินเหมยกับเหลียงหวังซุนได้อันดับรองลงมา เซียวจางไม่พอใจยิ่ง เขาต้องการแซงหน้าหวังผ้อ จึงริอาจฝึกวิชาที่มีปัญหาในแวดวงบำเพ็ญเพียร สุดท้ายจึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก จนทุกคนคิดว่าเขาต้องกลายเป็นดาวร่วง แต่ผิดคาด เขายอมสลายวิชาที่บำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิต แล้วเริ่มต้นบำเพ็ญเพียรใหม่ และในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี เขาก็ฝึกถึงขั้นรวบรวมดวงดาวอีกครั้งจนได้! จิตใจที่มุ่งมั่นเช่นนี้ ช่างบ้าบิ่นและแข็งแกร่งเสียนี่กระไร!
และเพราะถูกธาตุไฟเข้าแทรกในครั้งนั้น ทำให้เซียวจางไม่ได้เข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีที่สอง เขาได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าจนเกือบเสียโฉม ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ใช้กระดาษขาวปิดหน้ามาตลอด ไม่เคยดึงออก ผู้คนจึงเรียกเขาว่า ฮว่าเจี่ยเซียวจาง ซึ่งนอกจากเติบโตจากพรรคที่มีชื่อเสียงในการตกแต่งชุดเกราะ (ฮว่าเจี่ย) แล้ว ชื่อเสียงส่วนใหญ่ของเขาก็มาจากกระดาษปิดหน้าสีขาวนี้
เล่ากันว่าตอนนั้น ผู้เฒ่าความลับสวรรค์เคยถามเขาว่า ทำไมไม่ใส่หน้ากาก เซียวจางก็ตอบว่า ที่ตนใช้กระดาษปิดหน้าก็เพราะไม่อยากทำให้เด็กๆ ตกใจ และก็ไม่รู้สึกอับอายในการพบปะผู้คน เหตุใดถึงต้องใส่หน้ากากด้วย? เพียงแต่ตอนนั้นเซียวจางคิดไม่ถึงว่า ในสามสิบกว่าปีต่อมา กระดาษขาวบนใบหน้าของเขาได้สร้างความหวาดกลัวให้กับคู่ต่อสู้ไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่
นี่ก็คือฮว่าเจี่ยเซียวจาง เขาบ้าบิ่นมาก และอหังการมากด้วยเช่นกัน หอกเหล็กของเขาไม่มีสิ่งใดทำลายลงได้! จากอายุและขั้นบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ สามารถต้านหอกของเขาได้ก็นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากจริงๆ
เหลียงหวังซุนในตอนนี้ก็กำลังมองเฉินฉางเซิงเช่นเดียวกัน พลางนึกถึงกระบี่ที่เฉินฉางเซิงแทงใส่ตนในตอนแรก และกระบี่ที่ทำลายอาณาเขตดวงดาวของตนเมื่อครู่ รู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง…ว่าเหตุใดกระบี่แรกถึงได้รุนแรงเช่นนั้น? ยิ่งกระบี่ที่สองก็คล้ายทำให้คิดไปว่ามีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น นี่คือเพลงกระบี่อะไรกัน? เหตุใดตนไม่เคยเห็นในหนังสือนิกายหลวงมาก่อน?
เขากับเซียวจางล้วนคิดไม่ถึงว่า เด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งกว่าในคำเล่าลือมาก โดยล่าสุดพวกเขารู้เพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจิงตู เช่นการสอบใหญ่ ซึ่งผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเหล่านี้ไม่เห็นด้วย ต้องรู้ว่า การสอบใหญ่เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ถ้าพวกเขาเข้าร่วม ย่ำหิมะเหมยกำจายไม่มีทางครองอันดับหนึ่งแน่ หรือแม้แต่เรื่องที่เฉินฉางเซิงอ่านศิลาจารึกหน้าสุสานได้หมดภายในหนึ่งวัน พวกเขาก็รู้สึกว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนที่มีพรสวรรค์น่าทึ่ง แต่เหตุใดจึงแข็งแกร่งเช่นนี้เล่า?
แต่ถึงแข็งแกร่งเพียงใดก็มีข้อจำกัด และเรื่องก็มาถึงตรงนี้
ลมพัดกระดาษขาว เสียงดังพึ่บพั่บ เฉินฉางเซิงล้มแล้ว เขานั่งลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดสีเทา ไม่มีโลหิตหลั่งไหล แต่กระดูกข้อมือแตก เขานั่งหน้าเก้าอี้ โดยไม่มีแรงยกกระบี่ในมือขึ้นอีก
เหลียงหวังซุนมองไปยังผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเฉินฉางเซิง เช่นเดียวกับเซียวจาง…พวกเขาไม่มีวันลืมว่าคนผู้นี้คือใคร เพียงแต่อยากรู้ว่าเหตุใดกระบี่ของเฉินฉางเซิงถึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ซูหลีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าลืมตาแต่เมื่อใด
เขายกมือมือขวาขึ้นตบศีรษะเฉินฉางเซิง แล้วพูดประชดประชัน “เจ้านี่โง่งมจริงๆ”
เสียงของเฉินฉางเซิงอ่อนแรงมาก แต่ยังคงปากแข็ง “ข้าโง่งมตรงไหน?”
ซูหลีว่า “เมื่อครู่เจ้าหนีไปก็สิ้นเรื่อง จะอยู่ที่นี่ต่อทำไม?”
“ถ้าข้าหนีไป แล้วท่านจะทำอย่างไร?” เฉินฉางเซิงตอบ
ซูหลีถามต่อ “ง่ายๆ แค่นี้รึ?”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ “หรือมันไม่ง่ายๆ แค่นี้?”
ซูหลีเงียบไปสักพัก ค่อยทอดถอนใจแล้วว่า “มิน่าเล่า ชิวซานถึงฝึกกระบี่นี้ไม่สำเร็จ นางหนูนั่นก็ฝึกไม่สำเร็จ แม้แต่ข้าก็ยังฝึกไม่สำเร็จ แต่เจ้า…กลับฝึกสำเร็จ”