ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 107 ความหมายของการมีชีวิตอยู่ (ตอนต้น)
ซูหลีถามต่อ “แล้วตอนที่เจ้ากระโดดลงไป ทำไมไม่เอาร่มกระดาษทองไปด้วย”
ร่มกระดาษทองใช้ป้องกันตัวได้อย่างดีเยี่ยม สามารถต้านทานการจู่โจมอย่างหนักหน่วงของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวได้ เรื่องนี้เฉินฉางเซิงฟังจากคำบอกเล่าของเจ๋อซิ่วตอนอยู่เวิ่นสุ่ย เพียงแต่หลายวันมานี้ ร่มกระดาษทองอยู่ในมือซูหลีตลอด อีกทั้งหลังเหตุการณ์บนที่ราบหิมะ เขาก็มักรู้สึกว่าร่มคันนี้คือกระบี่ จึงมิได้นึกถึงจุดนี้ ตอนนี้พอได้ยินซูหลีทัก ก็ชะงักงัน
เขายอมรับอย่างสัตย์จริง “ข้าลืมไป”
ซูหลีทอดถอนใจ “โง่จริงๆ เลย”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน เซียวจางมิได้เคลื่อนไหว เหลียงหวังซุนมิได้เคลื่อนไหว ผู้คนรอบๆ โรงเตี๊ยมล้วนมิได้เคลื่อนไหว
เพราะผู้พูดคือซูหลี
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ซูหลีคือแบบอย่างของผู้คนมากมายในแวดวงบำเพ็ญเพียร เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณกระบี่ของมวลมนุษย์ เขาสามารถถูกฆ่าตาย แต่ไม่สามารถถูกดูแคลน เพราะการดูแคลนเขาก็เท่ากับดูแคลนโลกมนุษย์ ซึ่งในช่วงเวลานี้ แม้คนบ้าบิ่นสุดๆ อย่างเซียวจาง ก็ไม่ว่าอะไรถ้าต้องรอต่ออีกหน่อย อย่างไรบทสรุปก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ทุกคนในโลกล้วนฆ่าซูหลีได้หมด ส่วนคนเดียวที่ยืนอยู่หน้าซูหลีอย่างเฉินฉางเซิงก็พ่ายแพ้แล้ว เห็นชัดว่าขุมกำลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างยิ่ง…ยุคดอกไม้ป่าเบ่งบานในแวดวงบำเพ็ญเพียร ผู้แข็งแกร่งอย่างสุดๆ มีด้วยกันสี่คน ย่ำหิมะเหมยกำจายเสียชีวิตอยู่บนถนนเสินหน้าสุสานเทียนซู ที่เหลืออีกสามคน สองในนั้นอยู่ในเมืองสวินหยาง เช่นนี้เฉินฉางเซิงยังจะทำอะไรได้?
กำแพงด้านหลังโรงเตี๊ยมส่วนที่พังเสียหาย รับลมที่พัดมาเบาๆ ไม่ไหว ถล่มลงเสียงดังสนั่น ฝุ่นฟุ้งกระจายอีกครั้ง มุขนายกแห่งเมืองสวินหยางหัวเจี้ยฟูปรากฏตัวขึ้น เขามองหน้าเฉินฉางเซิงพลางพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านไม่มีทางแก้ไขเรื่องทั้งหมดนี้ได้อีก เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้เรื่องจบลงอย่างเงียบๆ เล่า?”
เฉินฉางเซิงก้มหน้าลง ไม่มีอะไรจะพูด
ซูหลียกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ตบลงบนไหล่ของเขา ยิ้มพลางว่า “ข้าคือใคร หรือเด็กอย่างเจ้าตัดสินใจเฝ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดชีวิตจริงๆ?”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา จึงค่อยๆ เคลื่อนกายไปด้านข้างอย่างยากลำบาก
ตอนราชรถของเหลียงหวังซุนมาถึง เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง ตอนหอกของเซียวจางมาถึง เขายืนอยู่หน้าเก้าอี้ แม้เขาล้มลง ก็ล้มลงหน้าเก้าอี้
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ตอนนี้ช่วงเวลาสุดท้ายมาถึง ไม่ว่าด้วยความเคารพหรือเหตุผลอื่น เขาก็ควรให้ซูหลีเผชิญวิกฤตนี้ด้วยตนเอง จึงหลีกทางไป
ซูหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือจับร่มกระดาษทอง มองเซียวจางที่อยู่ตรงหน้า มองคนบนราชรถอย่างเหลียงหวังซุน และมองผู้คนบนท้องถนนอย่างสงบนิ่งและมีท่าทีไม่สนใจใดๆ ราวกับคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน
ท้องฟ้าเมืองสวินหยางมืดมัวลง กระดาษหิมะหยุดปลิว ฝนพลันตกลงมาปรอยๆ
ตรอกซอกซอยในปรอยฝนเงียบกริบ ไม่มีใครพูดจาอยู่เนิ่นนาน
เซียวจางหันมองซูหลีด้วยแววตาจริงจังและกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกำลังชื่นชมเครื่องลายครามราคาแพงหูฉี่ แต่สุดท้าย เครื่องลายครามนี้ก็ต้องถูกทุบแตกด้วยน้ำมือของเขา
กระดาษขาวบนใบหน้าถูกฝนสาดจนเปียก ทำให้เปลี่ยนรูปไป เขาจึงยิ่งดูตลกและน่ากลัวเข้าไปอีก ต่อมาค่อยได้ยินเขาพูดทะลุกระดาษขาว เสียงสั่นน้อยๆ เหมือนเสียงเหล็กเส้นที่ถูกเคาะไม่หยุด “น่าสนใจจริงๆ ที่คนอย่างเจ้าก็ตายเป็นเหมือนกัน”
ตอนที่ประโยคนี้หลุดจากปาก เสียงของเซียวจางก็ยิ่งสั่น เขาทั้งตื่นเต้นทั้งเลอะเลือน…ที่ตื่นเต้นเพราะกำลังจะได้เห็นกับตา และมีส่วนร่วมในช่วงสำคัญของประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง ส่วนที่เลอะเลือนก็เพราะรู้สึกสับสน
ซูหลีเหมือนกำลังมองสัตว์ตัวเล็กๆ ที่บาดเจ็บซึ่งกำลังสบตาเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ก่อนพูดอย่างมีเมตตา “ทุกคนล้วนต้องตาย เหตุผลง่ายๆ แค่นี้เจ้าไม่รู้รึ? ใครๆ ต่างพูดว่า ความบ้าบิ่นของเจ้ามีส่วนคล้ายข้าอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ทำไมเจ้ากลับดูเหมือนคนปัญญาอ่อนไปได้?”
หากถูกผู้อื่นว่าปัญญาอ่อน เซียวจางต้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน ถ้าไม่ฆ่าผู้พูดให้ตาย เขาย่อมไม่รามือ แต่ตอนนี้พอได้ยินซูหลีพูด เขาไม่เพียงไม่โกรธ แววตายังเปลี่ยนเป็นจริงใจสุดๆ พลางว่า “ท่านดูสิ คนที่มาที่นี่ในวันนี้ ถ้าไม่ใช่พวกขี้ขลาด ก็เป็นพวกสวะ ถ้าท่านตายด้วยน้ำมือของพวกเขามันจะไปมีความหมายอะไร”
ซูหลีเริ่มหงุดหงิด “เจ้านี่ปัญญาอ่อนจริงๆ หรืออย่างไร? ไม่ว่าจะตายด้วยน้ำมือใครก็ไร้ความหมายทั้งสิ้น”
เซียวจางยืดอกพลางว่า “ท่านเห็นว่าข้าเป็นอย่างไร? ตายด้วยน้ำมือข้าต้องมีความหมายอยู่บ้าง”
เฉินฉางเซิงทนไม่ไหว “พวกท่านทำเช่นนี้มีความหมายหรือไร?”
ล้วนแล้วแต่พูดถึงความหมาย แต่เป็นความหมายที่ไม่เหมือนกัน
เซียวจางหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา พลางแผดเสียงบ้าบิ่นหนักกว่าเก่า “มีความหมายแน่นอน! เขาคือซูหลี! จะตายด้วยน้ำมือพวกสวะได้อย่างไร? ต้องตายด้วยคมหอกของข้าเท่านั้น!”
ถูกต้อง หลายคนเห็นด้วย แม้บาดเจ็บสาหัสใกล้พิการ ไม่สามารถต่อสู้อีก แต่ซูหลียังคงเป็นซูหลี เขาดำรงอยู่ในโลกใบนี้แบบคนไม่ธรรมดา ไหนเลยจะจากโลกนี้ไปแบบคนธรรมดาได้?
เฉินฉางเซิงไม่มีคำพูดโต้ตอบ แต่ซูหลีกลับมี
“ข้าคัดค้าน” เขามองดูผู้คนรอบๆ โรงเตี๊ยม พลางพูดอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “ไม่ว่าตายอย่างไร ข้าก็ไม่เห็นด้วย”
ตรอกซอกซอยในปรอยฝนเปลี่ยนเป็นเงียบกริบอีกครั้ง แต่บรรยากาศไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ความเงียบ
ในครั้งนี้มาจากอาการตะลึงงัน ใช่ว่าทุกคนเคยพบเจอซูหลี ไม่มีใครคิดว่าอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานในตำนานจะเป็นคนเช่นนี้ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ยังทำตัวเอ้อระเหย ไม่มีแบบอย่างของบุคคลในตำนานเอาเสียเลย
“คำคัดค้านไม่เป็นผล”
เหลียงหวังซุนเหยียบซากปรักหักพังเข้ามา มองดูซูหลีบนเก้าอี้ เงียบไปสักพัก ทำความเคารพ แล้วว่า “เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนท่านฆ่าคนในจวนอ๋องข้าสามร้อยคน ก็น่าจะรู้ว่าต้องมีวันนี้”
จากนั้นเขาก็หันมองเฉินฉางเซิงที่อยู่ข้างกายซูหลี แล้วว่า “เมื่อครู่ข้าพูดแล้วว่า ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต นี่เป็นเรื่องยุติธรรมที่สุดแล้ว นับประสาอะไรกับชีวิตเขาชีวิตเดียวชดใช้สามร้อยชีวิต”
ซูหลีจับผมที่สยายรุงรังไปด้านหลัง แล้วค่อยพูดอย่างไม่ยี่หระ “ก็แล้วแต่เจ้าจะพูดก็แล้วกัน”
พอได้ยินคำว่า ก็แล้วกัน เฉินฉางเซิงก็นึกถึงลั่วลั่วขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นก็นึกถึงคดีลอบสังหารในสำนักฝึกหลวง นึกถึงนักฆ่าเผ่ามารผู้นั้น นึกถึงคนชุดดำ นึกถึงการต่อสู้บนที่ราบหิมะนั่น ทำให้เขายังยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม แต่เขาไม่มีแรงพอที่จะยืนยันความคิดของตน
สายฝนยังคงตกปรอยๆ ล่องลอยตามสายลม
สายตาหลายร้อยคู่เพ่งมองมายังซากปรักหักพัง มองดูซูหลีบนเก้าอี้ที่ให้ความรู้สึก ร้อนแรงแต่เยือกเย็น สบายๆ แต่น่าเกรงขาม
มือซ้ายของซูหลีจับร่มกระดาษทอง หมายความว่า มือขวามิได้จับด้ามร่ม
ตั้งแต่ที่ราบหิมะจนถึงเมืองสวินหยาง ตลอดทางหลายหมื่นลี้ที่ซูหลีต้องเผชิญกับพายุและหิมะ ฝุ่นหินดินทราย ทำให้ผู้คนต้องตรวจตราให้แน่ใจอยู่หลายครั้งว่าข่าวที่ซูหลีบาดเจ็บสาหัสเป็นเรื่องจริง ไม่มีแรงต่อสู้อีก แต่ยังคงไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา หลายร้อยปีที่ผ่านมา แผนการที่คนชุดดำจัดการด้วยตัวเอง การล่าสังหารที่น่ากลัวสุดๆ ของพวกมาร ก็ยังไม่สามารถฆ่าเขาได้ คนเช่นนี้จะตายไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
ปาฏิหาริย์ คล้ายเป็นคำที่สวรรค์ออกแบบมาให้คนเช่นเขา
ตรอกซอกซอยเงียบสนิท บรรยากาศทั้งกดดันและตื่นเต้น
ไม่รู้ว่าเซียวจางกับเหลียงหวังซุนจะลงมือเมื่อไหร่
และตอนนี้เอง ที่มีคนชิงลงมือก่อน
ก้อนหินที่ตากฝนจนเปียกก้อนหนึ่ง พุ่งขึ้นจากถนน กระทบเข้าที่ศีรษะซูหลี
เสียงทึบตันดังตุบ
โลหิตสดๆ ไหลลงจากหน้าผากซูหลี
เฉินฉางเซิงไม่มีแรงพอที่จะผลักหินก้อนนี้ออก
ซูหลีเองก็ไม่มีแรงผลักหินเช่นกัน กระทั่งไม่มีแรงหลบ…ผู้แข็งแกร่งในตำนานที่มองปราดเดียวก็สามารถทำลายอาณาเขตดวงดาว ฆ่าขุนพลมารในหนึ่งกระบี่ ตอนนี้ กระทั่งหินก้อนเดียวก็ยังไม่มีปัญญาหลบ
บนถนนยังคงเงียบเชียบ แต่บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นไม่เหมือนเดิม
เสียงหัวเราะดังลั่นในปรอยฝน
ผู้คนหันมอง และพบว่าผู้ขว้างก้อนหินก็คือ หัวหน้าพรรคดาราจักรกล หลินชางไห่
หลินชางไห่แหงนหน้ามองชั้นบนของโรงเตี๊ยม พลางพูดอย่างแค้นเคืองและสะใจ “ซูหลี เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน! สุนัขยังรู้ว่าต้องหลบก้อนหิน แต่เจ้าในตอนนี้แม้สุนัขก็ยังเทียบไม่ติด!”
ท่ามกลางสายฝน ซูหลีเสื้อผ้าเปียกปอน สีหน้าซีดขาว โลหิตค่อยๆ ไหลลง ดูแล้วหดหู่ใจยิ่ง
พอเห็นภาพนี้ กลุ่มคนที่มาฆ่าซูหลี กลับรู้สึกแปลกประหลาด