ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 108 ความหมายของการมีชีวิตอยู่ (ตอนปลาย)
ผู้คนในตรอกซอกซอยรอบๆ โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นทะลวงอเวจี มีส่วนน้อยที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว ซึ่งในแวดวงบำเพ็ญเพียร พวกเขาถือว่าเป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง สำหรับคนทั่วไปพวกเขาคือผู้มีฐานะสูงส่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน สำหรับซูหลี คนเหล่านี้เป็นได้แค่มดปลวก แต่ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโอ้อวดของมดปลวก เขากลับไม่สามารถโต้ตอบใดๆ ได้แต่ก้มหน้าในสายฝน
ซูหลีมองดูโลหิตที่ผสมกับน้ำฝน แล้วหยดจากหางคิ้วลงบนทรวงอกของตนอย่างเงียบๆ ใบหน้าที่ถูกน้ำฝนชะล้างซีดขาวลงเนื่องจากอาการบาดเจ็บ หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกหดหู่ไปกับสายฝนที่ตกลงบนซากปรักหักพัง
อย่างที่เฉินฉางเซิงพูด ถ้าเขาไม่รบราฆ่าฟันกับพวกมาร ไหนเลยจะบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ พอหนีออกจากที่ราบหิมะได้ก็ถูกคนไล่ฆ่าไม่หยุด กระทั่งตอนนี้ ถ้าไม่ถูกล้อมในเมืองสวินหยาง ไหนเลยจะถูกคนเหล่านี้ลบหลู่ กระทั่งอีกสักพักยังต้องตายด้วยน้ำมือคนเหล่านี้อีก ความจริงเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกคับแค้นใจ กระทั่งหดหู่ใจได้อย่างไรเล่า?
บนถนนที่ไกลออกไป เซวียเหอเลิกคิ้วเล็กน้อย ด้วยไม่ชอบคำพูดของหัวหน้าพรรคดาราจักรกลเป็นอย่างยิ่ง กิเลนเมฆแดงที่เขากุมบังเหียนอยู่ก็ก้มศีรษะลง ยอมให้น้ำฝนไหลจากขนแผงคอสีแดงเพลิง คล้ายไม่อยากมองภาพที่จะเกิดขึ้นต่อ
เซียวจางกับเหลียงหวังซุนยังคงเงียบ หลังจากมุขนายกแห่งเมืองสวินหยางหัวเจี้ยฟูส่งสายตา ก็มีนักบวชเดินออกจากกลุ่มคน มายืนตรงหน้าหลินชางไห่ แล้วพูดเสียงต่ำไม่กี่ประโยคกับเขา
เสียงหัวเราะอย่างเคียดแค้นและสะใจจึงหยุดลง หลินชางไห่กวาดตามองผู้คนบนโรงเตี๊ยม ยิ้มเย็นชาแล้วว่า “เมื่อฆ่าได้ แล้วทำไมข้าจะพูดลบหลู่เขาไม่กี่คำไม่ได้? เสแสร้งกันจริงๆ”
เขาคือหัวหน้าพรรคดาราจักรกล ถือกำเนิดในตระกูลร่ำรวยทางเหนือ และบำเพ็ญเพียรในขั้นสูงอย่างขั้นรวบรวมดวงดาว แต่เพราะถูกตามใจแต่เด็ก จึงมีนิสัยหยิ่งยโส ชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่นอย่างไม่เกรงกลัวใคร ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสลบหลู่ซูหลี
ซูหลีเงยหน้าขึ้นแล้วมองลงด้านล่าง เขารวบผมที่เปียกฝนไว้ด้านหลัง ดูสงบนิ่งมาก ราวกับว่าเหตุการณ์ถูกปาก้อนหินใส่และถูกลบหลู่เมื่อครู่ ไม่มีผลอะไรกับเขา “เจ้าเป็นใคร?”
“เหอะๆ…ถ้าเป็นเมื่อก่อน ท่าทางเช่นนี้ของท่าน อาจเป็นการดูแคลนอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ กระทั่งสุนัขตกน้ำตัวหนึ่ง ท่านก็ยังเทียบไม่ได้ แล้วยังจะฝืนอยู่ไปทำไม? ให้ลูกศิษย์ลูกหาเอาไปนินทาสนุกปากเปล่าๆ”
หลินชางไห่มองด้านบนโรงเตี๊ยม ยิ้มเย็นชาพลางว่า “ริมถนนเมื่อหลายวันก่อน ท่านฆ่าบุตรชายของตระกูลหลินเรากับยอดฝีมืออีกหลายสิบคน วันนี้ต้องชดใช้คืนด้วยชีวิตท่าน!”
ซูหลีเหลือบมองเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงค่อยรู้ว่า ที่แท้คนผู้นี้ก็คือญาติของหลินผิงหยวน นักเลงใหญ่ทางเหนือคนนั้นนั่นเอง ระหว่างทางกลับใต้ เขาต่อสู้ภายใต้การชี้แนะของซูหลี ฆ่าคนไปจำนวนหนึ่ง มีเพียงตอนฆ่าหลินผิงหยวนเท่านั้นที่เขาไม่รู้สึกผิดบาปในใจ เพราะเดิมหลินผิงหยวนเป็นอันธพาลที่เรื่องดีไม่ทำ เป็นโจรที่สองมือเต็มไปด้วยโลหิตของผู้บริสุทธิ์
เขาจึงว่า “ข้าเป็นคนฆ่าหลินผิงหยวนเอง”
หลินชางไห่ได้ยินก็อึ้งอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงไม่รอให้เขาพูดอะไร พูดต่อทันที “ถ้าท่านคิดแก้แค้น ก็ควรมาฆ่าข้า”
หลินชางไห่หน้าเปลี่ยนสี
เฉินฉางเซิงยังคงไม่รอให้เขาเอ่ยปาก จ้องตาเขา พลางพูดต่อ “แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่กล้าฆ่าข้าหรอก เพราะข้าเป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวง ท่านไหนเลยกล้าแตะต้องข้า?”
หลินชางไห่รู้สึกหนาวเย็น
เฉินฉางเซิงพูดประโยคสุดท้าย “ดังนั้นวันนี้ ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าต้องหาวิธีฆ่าท่านแน่”
เขาในตอนนี้โมโหมากจริงๆ จึงพูดอย่างจริงจัง
ความเย็นเยียบสายหนึ่งปะทุขึ้นในร่างหลินชางไห่
เขาค่อนข้างเป็นที่รู้จักในแวดวงบำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะทางตอนเหนือของต้าลู่ แต่จะเทียบกับนิกายหลวงได้อย่างไรกัน? จากสถานะของเฉินฉางเซิงในนิกายหลวง ถ้าคิดเป็นศัตรูกันจริงๆ แล้วละก็ เขากับพรรคของเขาจะรับมืออย่างไรไหว? ด้วยเหตุนี้จึงนึกเสียใจ รีบหันไปพูดเสียงสูงกับผู้คน “นิกายหลวงสามารถใช้อิทธิพลข่มเหงผู้คนได้หรือ?”
เดิมทีเขาคิดว่า พอพูดจบจะได้รับเสียงสนับสนุนบ้าง ต้องรู้ว่า คนเหล่านี้ล้วนมาฆ่าซูหลี อย่างไรก็น่าจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ทั่วทั้งถนนไม่มีใครสนใจเขา จึงเข้าใจแล้วว่า ทุกคนล้วนมาฆ่าซูหลี แต่ไม่มีใครกล้าล่วงเกินวังหลี และย่อมไม่มีใครกล้าล่วงเกินเฉินฉางเซิง
“ทำไมจึงเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ วาจาก็เหมือนเด็กน้อย”
ซูหลีไม่สนใจหลินชางไห่ที่ยืนอยู่บนถนนแต่อย่างใด เขามองเฉินฉางเซิงที่อยู่ข้างกายพลางว่า “เรื่องฆ่าคน ต้องลงมือเลย ไฉนต้องบอกให้รู้ล่วงหน้าด้วย”
เฉินฉางเซิงมิได้พูดจา ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อ ค่อยๆ เช็ดโลหิตและน้ำฝนบนใบหน้าให้ซูหลี
“แต่ที่เจ้าโกรธก็มีเหตุผล เรื่องปาหินเป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ เกินไป ไม่มีความหมาย”
พอเห็นเขาเช็ดโลหิตและน้ำฝนให้ตนเอง ซูหลีก็พูดจาสะเปะสะปะ
เซียวจางที่อยู่ด้านข้างจึงว่า “ไม่ผิด ไม่มีความหมายจริงๆ”
ซูหลีจึงว่า “เช่นนั้นเจ้าก็หลีกทางให้หน่อย”
เซียวจางเงียบไม่พูด ก่อนเบี่ยงตัวเปิดทางให้อย่างไม่ลังเลใจ
เห็นช่องว่างจากชั้นบนของโรงเตี๊ยมสู่ถนนด้านล่าง
หลายคนพอเห็นภาพฉากนี้รู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ส่วนหลินชางไห่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ มองซูหลีแล้วยิ้มเย็นชาพลางว่า “สุนัขชราที่แม้คลานก็ยังคลานไม่ได้อย่างท่าน จะอยู่ต่ออีกทำไม?”
ซูหลีมองเขาอย่างไร้อารมณ์ มือซ้ายที่จับร่มกระดาษทองพลันเคลื่อนไหว
นิ้วหัวแม่มือซ้ายของเขาดันไปที่ด้ามร่มสองครั้ง ได้ยินเสียงกึก เห็นส่วนหนึ่งของด้ามร่ม
ด้ามร่มก็คือด้ามกระบี่
ในร่มกระดาษทองก็คือกระบี่บังฟ้า
ครึ่งหนึ่งของกระบี่หลุดออกจากฝัก
ตอนนี้ หลินชางไห่ยังคงยืนด่าเขาเปรียบเปรยกับสุนัขอย่างหยาบคายบนถนน
ทันใด เสียงของเขาก็หยุดลงกะทันหัน
ด้วยที่คอหอยมีรอยกระบี่เล็กๆ รอยหนึ่ง โลหิตจึงค่อยๆ ไหลออกจากรอยนี้
ผู้ที่ยืนใกล้ๆ พอเห็นเหตุการณ์ก็หน้าซีดลงทันที ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
แต่หลินชางไห่คลับคล้ายไม่รู้ว่าคอหอยของตนถูกตัดขาด ยังคงชี้ไปที่ชั้นบนโรงเตี๊ยมพลางด่าไม่หยุด เพียงแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเท่านั้น ภาพที่เห็นจึงน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
สักพัก เขาค่อยมีปฏิกิริยา จับเข้าที่คอหอยตนเองตามสัญชาตญาณ พอเอามือออกก็เห็นโลหิตสดๆ จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกเจ็บ
ใบหน้าของเขาซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและงุนงง เจ็บปวดจนต้องตะโกนร้อง แต่กลับไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แต่อย่างใด
จึงหันกายคิดหนี แต่พอก้าวถอยหลัง กลับพบว่าขาทั้งสองข้างของตนขาด
หลินชางไห่ล้มลงอย่างแรงในธารโลหิต เขาจับคอหอยไว้ ส่งเสียงอู้อี้ ขณะมองขาที่ขาดเสมอเข่าทั้งสองข้าง
กลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างหวาดผวาจนหนีเตลิดเปิดเปิงกันออกไป
ใช้เวลาไม่นาน หลินชางไห่ก็หยุดกระเสือกกระสน และเสียชีวิตลง แต่ยังมิได้ปิดตาลง แววตายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ซูหลีบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายอยู่รอมร่อ เป็นสุนัขชราที่แม้คลานก็ยังทำไม่ได้ ไฉนจึงสามารถฆ่าคนได้ในกระบี่เดียว?
ผู้ที่สงสัย หวาดกลัว และตื่นตระหนก ในลักษณะเดียวกันกับหลินชางไห่ มีอยู่อีกมาก
บนท้องถนนเงียบเป็นเป่าสาก ผู้คนมองไปยังซากปรักหักพังที่ชั้นบนของโรงเตี๊ยมเป็นตาเดียว ขณะมองผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ พวกเขาก็รู้สึกเกรงกลัวและไม่ปลอดภัย สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์วิถีกระบี่ผู้แข็งแกร่งสุดในรอบหลายร้อยปี แม้เห็นว่าเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่เจตจำนงกระบี่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวได้!
เฉินฉางเซิงตะลึงงันไปบ้าง จากนั้นค่อยโล่งอกที่โชคดี
ผู้อาวุโสพูดถูก เรื่องฆ่าคน ต้องลงมือทำเลย ไม่จำเป็นต้องบอกล่วงหน้า
ด้ามร่มคืนกลับ ความเฉียบคมของซูหลีก็ค่อยๆ คืนกลับ กลายเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาๆ
เขานั่งบนเก้าอี้ มองดูหลินชางไห่นอนเสียชีวิตบนถนน ก่อนพูดอย่างนิ่งเรียบ “แม้คลานไม่ได้ แต่การใช้กระบี่เดียวสังหารเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
เหลียงหวังซุนมีสีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ
แววตาที่ซ่อนอยู่หลังกระดาษขาวของเซียวจาง กระตือรือร้นขึ้นเรื่อยๆ
กระบี่นี้ แข็งแกร่งมากจริงๆ
สมควรแล้วที่เป็นซูหลี
ซูหลีคู่ควรกับกระบี่จริงๆ!
“นี่ล่ะ คือกระบี่”
เซียวจางจ้องมองเขาอย่างไม่ปิดบังว่าตนชื่นชมกระทั่งเคารพยกย่อง “กระบี่นี้ของท่าน สามารถทำร้ายหนึ่งในพวกเราให้บาดเจ็บสาหัส เหตุใดจึงนำไปใช้กับเศษสวะที่ไม่ติดอันดับเล่า?”
“เพราะข้าเกลียดแมลงวันชนิดนี้มาก เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด ก็เลยฆ่าให้หมดเรื่องหมดราวไป ส่วนเจ้ากับเหลียงหวังซุน ข้าไม่ถึงกับเกลียดมาก แล้วจะฆ่าไปทำไม? แน่นอน ที่สำคัญคือ หลายสิบวันมานี้ ข้าเก็บพลังไว้ใช้กับกระบี่เดียว”
ซูหลีว่าต่อ “ถ้าต้องใช้สองกระบี่ ฆ่าพวกเจ้าสองคนในคราวเดียวอีก ก็ต้องประหยัดพลังหน่อย”
เหลียงหวังซุนเงียบไปสักพัก ค่อยว่า “ข้าไม่ขอรับน้ำใจจากท่าน”
เซียวจางกลับว่า “นับถือ นับถือ”
คนระดับนี้ไม่พูดจาไร้สาระ คำว่านับถือสองคำ ย่อมหมายถึงนับถือสองเรื่อง
เขานับถือกระบี่ของซูหลี และยิ่งนับถือที่ซูหลีใช้กระบี่นี้สังหารหลินชางไห่ ไม่ใช่เขา
ซึ่งหมายความว่า สำหรับซูหลีแล้ว ความสบายใจสำคัญกว่าความแค้นตลอดกาล
การมีชีวิตอยู่เช่นนี้ มีความหมายมากจริงๆ