ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 109 สิ้นสุดบทเพลง ดาบปรากฏ
พวกคนที่อยู่บนถนนและซอกซอยในเมืองสวินหยางล้วนถูกกระบี่นี้ของซูหลีทำให้ตกตะลึงไปหมดแล้ว ถึงจะบ้าคลั่งเหมือนเซียวจาง แต่ก็ไม่อาจไม่แสดงความนับถือ
เฉินฉางเซิงกลับไม่คิดเช่นนี้ กลับกันเขารู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง
ในสายตาของทุกคน ร่มกระดาษทองที่อยู่ในมือของซูหลี เพียงกระบี่เดียวก็สามารถแหวกสายฝนไปได้อย่างง่ายดาย ไร้สุ้มเสียงและสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวได้ นี่ช่างเป็นระดับขั้นและการบำเพ็ญวิถีกระบี่ที่สะเทือนให้โลกต้องตกตะลึงเสียจริง
แต่ว่าตอนที่เขาออกจากสวนโจวไปยังพื้นที่ราบหิมะ ก็เคยได้เห็นกระบี่ที่แท้จริงของซูหลีมาก่อน
ซูหลีในตอนนั้นในมือก็มีร่มกระดาษทองเหมือนกัน ด้ามไม่ได้ถูกถึงออกมาทั้งหมดเจตจำนงกระบี่ก็แหวกหิมะออกไป พุ่งตรงไปไกลหลายสิบลี้ ขุนพลมารที่อยู่ชายขอบของพื้นที่ราบหิมะผู้หนึ่งก็ต้องกระบี่และล้มลงไป ราวกับเงาดำของภูเขาที่ถูกตัดขาด
เทียบกับขุนพลมารผู้นั้น หลินชางไห่ที่ราวกับเศษสวะผู้นี้จะไปเทียบอะไรได้
เทียบกับกระบี่ในตอนนั้น กระบี่ท่ามกลางสายฝนในเมืองสวินหยางในวันนี้จะไปเทียบอะไรได้
การเดินทางกลับแดนใต้หลายสิบวัน ในที่สุดซูหลีก็ออกกระบี่ แม้จะไม่อาจเทียบหนึ่งในสิบของยามที่สมบูรณ์ แต่กลับยังคงมีอานุภาพสะเทือนฟ้า ถ้าหากเขาสามารถกลับไปยังตอนที่สมบูรณ์พร้อม ไม่ ต่อให้เพียงแค่อาการบาดเจ็บเบากว่านี้สักเล็กน้อย ใครยังจะสามารถฆ่าเขาได้ ใครยังจะกล้ามาฆ่าเขา
ที่น่าเสียดายคือ โลกมนุษย์มีเพียงความเป็นจริงอันเหน็บหนาว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคำว่าถ้าหาก
ทั้งหมดได้จบลงจริงๆ แล้ว หลังจากกระบี่นี้
“ไม่มีคนมาแล้วหรือ”
ซูหลีมองเมืองสวินหยางที่อยู่กลางสายฝน มองดูแขกเหรื่อที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ แล้วก็เงียบงันไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงส่ายหน้า และกล่าวขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ดูท่าแล้ว จะไม่มีคนมาอีกแล้วจริงๆ”
ที่ถามคือเขา ที่ตอบก็คือตัวเขาเอง ระหว่างที่ถามตอบนี้ มีความผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและความผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
สีหน้าของเขากลับยังคงเรียบเฉยเช่นนั้น และกล่าวกับเฉินฉางเซิง “เจ้าดู สุดท้ายแล้วความเป็นจริงก็พิสูจน์ว่าข้าถึงจะเป็นฝ่ายถูก”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่พูด ในใจคิดว่าถึงตอนนี้แล้วมาถกเถียงเรื่องพวกนี้อีกจะยังมีความหมายอะไร
สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนมาเคร่งขรึม น้ำเสียงเองก็เข้มขึ้นอย่างมาก “นอกจากคนโง่งมอย่างเจ้าหรือพวกคนไร้เดียงสา ยังมีใครที่จะช่วยผู้อื่นโดยที่ไม่มีเหตุผลกัน บนโลกนี้ไหนเลยจะมีคนที่คู่ควรให้เชื่อถือกัน”
จนกระทั่งถึงเวลานี้ พรรคกระบี่หลีซานก็ยังคงไม่มีคนมา แม้กระทั่งคำพูดก็ยังไม่มี ตั้งแต่พรรคฉางเซิงไปจนถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้พูดอะไร เทียนหนานช่างห่างไกลเสียจริง แต่คำพูดกับท่าทีต่างๆ น่าจะมาปรากฏภายในเมืองสวินหยางไม่ทันเสียแล้ว ที่จะปรากฏต่อหน้าผู้คนบนโลกและที่ค่อนข้างน่าเศร้าก็คือ คำพูดและท่าทีเหล่านั้นล้วนไม่ได้ปรากฏขึ้นมา
บางที นี่ก็แสดงถึงท่าทีของผู้คนบนโลกที่มีต่อซูหลีอย่างชัดเจนแล้ว
แผ่นดินไม่แบ่งเหนือใต้ คนไม่แบ่งว่ามีสติปัญญาหรือโง่เขลา ทั้งหมดล้วนอยากให้เขาตาย
มองเห็นซูหลีที่นิ่งเงียบกลางสายฝน เฉินฉางเซิงก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาในทันที จมูกก็รู้สึกแสบชื้นขึ้นมา ดวงตาค่อนข้างจะพร่าเลือน เสียงเองก็ตึงเครียดอยู่บ้าง เขาเอ่ยขึ้น “บางที…บางทีที่เขาหลีซานอาจเกิดเรื่องแล้ว”
ที่เรียกว่าตำนาน ยามที่ปิดฉากลงมักจะโดดเดี่ยว เฉินฉางเซิงกลับไม่ได้เห็นภาพฉากนี้ ไม่ว่านิทานในหนังสือหรือว่าจะเป็นคัมภีร์นิกายหลวง เขาล้วนไม่ชอบใจที่จะได้เห็นคำพูดเหมือนอย่างในงานเลี้ยงอำลาเหล่านี้ เขาไม่อยากให้ซูหลีจากไปอย่างโศกเศร้าเช่นนี้
ซูหลีมองเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ พลางพูดขึ้น “เจ้าโง่นี่ นี่ถือเป็นการปลอบใจหรือ”
เมืองสวินหยางท่ามกลางสายฝน เงียบสงบและหนาวเย็น กลับยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ ไกลออกไปไม่รู้ว่าเป็นที่ใด อยู่ๆ ก็มีเสียงพิณดังลอยมา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกำลังดีดพิณอยู่ อาจจะเป็นนักดนตรีของจวนเหลียงอ๋อง บางทีอาจจะเป็นสหายรู้ใจของเหลียงหงจวง เสียงพิณครวญกระซิบ เสียงร้องแหบแห้ง ราวกับว่าได้ยินเสียงของอักขระที่เก่าแก่และภักดีเหล่านั้น แต่กลับได้ยินไม่ชัดเจน
เหลียงหงจวงได้ยินบทเพลงแล้วนิ่งเงียบ ชุดระบำที่ขาดลุ่ยได้ปลิวไปตามลมฝน เขาเก็บแขนเสื้อและเดินออกไป
เซวียเหอจูงกิเลนเมฆาอัคคี ทำความเคารพที่ด้านบนของโรงเตี๊ยม แล้วจึงหันกายจากไป
เสียงพิณค่อยๆ เงียบลง เสียงเพลงค่อยๆ หายไป หลังจากนั้น…
“ย๊าก”
เซียวจางส่งเสียงคำรามขึ้น!
กระดาษขาวที่คลุมอยู่บนหน้าได้ส่งเสียงพัดกระพือ!
หอกเหล็กได้แทงตรงไปยังซูหลี!
ในมือของเหลียงหวังซุนมีวัชระอยู่ ฝีเท้าจมลงดั่งดอกบัว จิตใจเต็มเปี่ยมดั่งหยก ไอพลังปราณแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโรงเตี๊ยม
สายลมอันบ้าคลั่งโบกพัดขึ้น เฉินฉางเซิงถูกพัดจนเอนหงายอยู่กับที่ ยากขยับตัว
บทเพลงใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
นั่นจะเป็นเวลาตายของซูหลี
ทว่า มีคนไม่ยอมให้เพลงบทนี้หยุดลง
ไม่ใช่เหลียงหงจวงผู้สวมชุดระบำขาดลุ่ยที่หันกายจากไป
ไม่ใช่ขุนพลเทพเซวียผู้สวมชุดเกราะผุพังที่จูงกิเลนกลับไป
ไม่ใช่นักดนตรีในจวนอ๋องที่คิดจะบรรเลงเพลงต่อ และก็ไม่ใช่สหายรู้ใจที่คิดจะบรรเลงเพลงไปจนถึงสุดขอบฟ้า
เสียงพิณนั่น เสียงเพลงนั่น ได้สิ้นสุดลงแล้วจริงๆ แต่ภายในโรงเตี๊ยม พูดให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือที่ใต้โรงเตี๊ยม พลันมีเสียงปะทะที่ชัดเจนดังขึ้นมา ราวกับเสียงไม้กระทบกัน ราวกับเสียงพิณไม้ไผ่ ที่สุดแล้วก็ได้ต่อบทเพลงให้กับเพลงพิณบทนี้ จังหวะที่สมบูรณ์พลันดังขึ้น ราวกับว่าบทเพลงนี้มีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครา!
บนถนนที่ทอดยาว เหลียงหงจวงกับเซวียเหอที่แยกทางกันหยุดเท้าลงในเวลาเดียวกัน และหันกลับมามองที่โรงเตี๊ยมอย่างกะทันหัน ใบหน้ามีความตกตะลึง
เพียะ!
เพียะเพียะ!
เพียะเพียะเพียะ!
สรุปแล้วเป็นเสียงของสิ่งใดกัน
โต๊ะที่อยู่ใต้โรงเตี๊ยมนั้นเก่าอย่างมาก ที่เคลือบโต๊ะได้หลุดลอกไปบ้างแล้ว ด้านบนมีลูกคิดอยู่รางหนึ่ง
ตัวเม็ดลูกคิดกำลังกระทบกันไม่หยุด
ผู้ที่ทำการดีดลูกคิด กลับไม่ได้อยู่ที่ด้านข้างโต๊ะ
……
……
กระแสอากาศสีขาวนับสิบสายได้ไหลเวียนมาพร้อมกับเสียงกระทบอันชัดเจน และปรากฏขึ้นในโรงเตี๊ยมที่เป็นซากปรักหักพัง
มองเห็นอากาศที่ไหลเวียนเหล่านั้น สีหน้าของเหลียงหวังซุนพลันมีความเคารพอย่างมาก ชุดอ๋องสะบัดพรึ่บ นัยน์ตาทั้งสองข้างส่องประกายราวกับดวงดาว สีหน้าของเซียวจางก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงอย่างไร้ที่เปรียบในพริบตา หลังจากนั้นก็ระเบิดอารมณ์รุนแรงขึ้นมา!
เสียงแตกหักดังขึ้น! พื้นโรงเตี๊ยมระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองก็ราวกับเป็นกระดาษแผ่นบาง พังทลายไปเช่นนี้ ดาบเล่มหนึ่งได้ทะลวงพื้นขึ้นมา กลุ่มอากาศนับสิบพลันปรากฏขึ้น นำพามาซึ่งเสียงอันน่าหวาดกลัว และฟันเข้าไปทางเซียวจาง!
การเปิดตัวของเซียวจางอหังการขนาดไหน ดาบเล่มนี้กลับอหังการยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพราะว่าดาบเล่มนี้ไม่ได้ขวางเป้าหมายหอกเหล็กของเขา ที่ฟันก็คือคนที่อยู่ด้านหลังหอก นี่เท่ากับกำลังประกาศกับเซียวจางอย่างชัดเจนว่า ดาบของข้าจะต้องเร็วยิ่งกว่า หนักยิ่งกว่า และเหี้ยมยิ่งกว่าหอกของเจ้า ก่อนที่หอกเหล็กของเจ้าจะฆ่าซูหลี ดาบของข้าจะต้องตัดหัวของเจ้าลงมาก่อนเป็นแน่!
มองดูดาบเหล็กที่ฟันเข้ามานี้ เซียวจางตกตะลึง หลังจากนั้นก็โมโหขึ้นมา
เขารู้จักดาบเล่มนี้ เขารู้ว่าดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้เฒ่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย อีกทั้งยังมอบให้เปล่าๆ เขายิ่งรู้ว่าดาบเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะธรรมดา แต่ที่จริงแล้วมีอานุภาพที่ทวยเทพและภูตผียากต้านทาน เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพบว่าตนยากจะเปล่งเสียงออกมา
เสียงดาบที่หวีดร้อง ก็เหมือนกับนักเล่านิทานยากจนกำลังร่ำไห้ เหมือนกับเด็กน้อยไร้บ้านกำลังโอดครวญ
ดาบนี้ แสนจะโกรธเกรี้ยว
เซียวจางกับดาบเล่มนี้เคยปะทะกันมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่สวินเหมยเข้าสุสานเทียนซูไปแล้ว บนโลกใบนี้ก็เป็นเขาที่ได้ต่อสู้กับดาบเหล็กเล่มนี้มากที่สุด แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ของเขาก็มีจำนวนมากที่สุด แต่ว่าเขาไม่เคยมองเห็นดาบเล่มนี้น่ากลัวถึงเพียงนี้มาก่อน
ท้องฟ้าในเมืองสวินหยางนั้นมืดครึ้ม ราวกับว่าถูกฟาดฟันจนเปิดเป็นทางขึ้นมา ทำให้เห็นท้องฟ้าสีครามปรากฏขึ้นอยู่รำไร
เซียวจางรู้ว่าตนไม่สามารถถอยได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับดาบเล่มนี้ กระทั่งอาจจะถูกดาบที่โกรธเกรี้ยวนี้ทำลายปณิธานและเจตจำนงการต่อสู้ ชีวิตนี้ก็จะกลายไปเป็นคนไร้ค่า มือทั้งสองข้างของเขากำหอกเหล็กเอาไว้แน่น แล้วพลันฟาดหอกไปที่ดาบเล่มนั้นโดยตรง!
เสียงปะทะพลันดังขึ้น!
กระดาษขาวลอยขึ้นกลางอากาศ มีเลือดสดๆ หยดอยู่บนกระดาษนั่น
เซียวจางกระเด็นออกไป กระอักเลือดออกมาตลอดทาง และร่วงลงไปที่ลานฝั่งตรงข้ามของโรงเตี๊ยมอย่างแรง
ท่ามกลางฝุ่นผงและเศษหิน ตัวเขาที่ลุกขึ้นมาคำรามขึ้นอย่างไม่พอใจ
“หวังผ้อ! คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าลอบกัด!”