ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 11 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (5)
ทั้งต้าลู่ล้วนรู้ว่า ในฐานะที่เป็นศิษย์ปิดสำนักของพรรคกระบี่หลีซาน อายุของชีเจียนเด็กมาก ระดับขั้นกลับสูงยิ่ง ในร่างกายที่ผอมแห้งยิ่งกว่าอุดมไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่ตลอดเส้นทางสายนี้ เขาเห็นอย่างชัดเจน ถ้าจะพูดถึงความตั้งใจและแรงต่อสู้ที่แท้จริง ตนเองห่างจากชายหนุ่มเผ่าหมาป่านี้ยังอีกไกล
ในผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นใหม่ ชื่อเสียงของเจ๋อซิ่วชายหนุ่มเผ่าหมาป่าเกรียงไกรที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ กระทั่งบางครั้งยังกลบความเฉิดฉายของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ถูกคนหยิ่งยโสอย่างถังซานสือลิ่วเอามาเปรียบเทียบกับสวีโหย่วหรง มองเป็นคนที่ต้องแซงอย่างแท้จริง เพราะว่า…เขาอาศัยอยู่บนที่ราบหิมะ เผชิญหน้าโดยตรงกับเผ่ามารมาหลายปี
ปีเหล่านั้นเจ๋อซิ่วยังเด็กมาก ยังไม่สามารถผ่านขั้นทะลวงอเวจี และก็ไม่มีพรรคสำนักมาปกป้อง แต่เมื่อเขาถูกปกคลุมในลมหิมะ ล่าสังหารเผ่ามารอย่างไม่หยุดหย่อน กลับอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้ เพียงแค่ความจริงข้อนี้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเขายอดเยี่ยม ที่พรรคกระบี่หลีซาน ชีเจียนและเหล่าศิษย์พี่นานๆ ทีจะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเขารอดชีวิตมาได้อย่างไร
ก่อนที่เจ๋อซิ่วจะปรากฏตัวเข้าร่วมการสอบใหญ่ที่จิงตู ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มเผ่าหมาป่าในสายตาผู้คนก็คือเย็นชากระหายเลือด คิดว่านี่ก็คือสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขามีชีวิตถึงตอนนี้ได้ จนกระทั่งครั้งนี้มาถึงสวนโจว อยู่ร่วมหอลงโรงหนีตายด้วยกันกับเขาตลอดทาง ในที่สุดชีเจียนเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอาชีวิตรอดอยู่บนที่ราบหิมะได้ เพราะว่าเจ๋อซิ่วใช้ชีวิตเอาตัวรอดดั่งหมาป่าตัวหนึ่ง
ในโลกใบนี้มีสัตว์อสูรยิ่งใหญ่จำนวนมาก ยิ่งมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มหัศจรรย์อย่างเผ่ามังกร หมาป่าที่อาศัยอยู่ในที่ราบป่า ภายใต้สภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือสายเลือดล้วนไม่ได้พิเศษอะไรมาก แต่หมาป่าเป็นสัตว์ที่มีความอดทนที่สุด บากบั่นวิริยะที่สุด ระมัดระวังที่สุด อ่อนไหวต่อสิ่งอันตรายมากที่สุด ปีศาจหมาป่ามีสายเลือดหมาป่า แน่นอนว่าก็มีจุดเด่นชนิดนี้ด้วย
เจ๋อซิ่วเป็นลูกครึ่งระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าหมาป่า ตั้งแต่เด็กถูกไล่ออกจากชนเผ่า สูญเสียความเป็นไปได้ในการรบหมู่อันน่าหวาดกลัวอย่างน่าสังเวช การบีบบังคับให้อยู่ในสภาพปากกัดตีนถีบเหล่านี้กลับทำให้เขาเร่งพลังจนถึงระดับหนึ่งซึ่งยากจะจินตนาการ ระดับความอ่อนไหวต่อสิ่งอันตราย กระทั่งล้ำหน้าการใช้ถาดดาวโชคชะตาของนักบวชในการจำลองอนาคต
ขณะมองหน้าของเจ๋อซิ่ว สภาพจิตใจของชีเจียนยิ่งหนักหน่วงสลดใจ ใจคิดถ้าไม่ใช่เป็นเพราะต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่ว่าสามีภรรยาขุนพลเผ่ามารคู่นั้นจะยิ่งใหญ่อย่างไร ตอนนั้นเขาก็น่าจะมีโอกาสหลบหนีไปได้ จะเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร พิษของขนนกยูงทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ ยิ่งไปกว่านั้นถูกบีบให้เข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งความตายแห่งนี้
“ขอโทษ…” เขาเก็บสายตากลับมา มองไปที่สาบเสื้อที่อาจารย์หญิงทำกับมือ พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ล้วนเป็นเพราะข้าถ่วงเจ้า”
เจ๋อซิ่วหลับตากำลังขบคิดปรับลมหายใจ ราวกับนอนหลับอยู่ ราวกับไม่ได้ยินประโยคนี้ที่เขาพูด
นี่ทำให้ชีเจียนเศร้ากว่าเดิม กลับรู้สึกปลอบใจเล็กน้อย เพราะว่าเขารู้ว่าเจ๋อซิ่วต้องได้ยินแน่ๆ
แต่แล้วตอนที่เขาคิดว่าเจ๋อซิ่วจะเงียบขรึมต่อไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่ง “ในเมื่อเข้าใจจุดนี้ จำไว้ด้วยว่าออกไปแล้วต้องเพิ่มเงิน”
เจ๋อซิ่วราวกับนอนหลับไปจริงๆ ราวกับประโยคนี้ไม่ได้พูดเอง เพียงแค่มุมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับยิ้มอยู่
อยู่ในที่ราบหิมะที่อันตราย การไร้สีหน้าถึงจะเป็นการปิดบังที่ดีที่สุดเมื่อเกิดการต่อสู้ เขาจึงยิ้มน้อยอย่างมาก น้อยมากที่จะมีใครเคยเห็นรอยยิ้มของเขา
ตอนนี้ไม่มีการต่อสู้อีกทั้งเขามองไม่เห็น ฉะนั้นขนาดเขาเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าตัวเองยิ้มออกมา
มองรอยยิ้มของเขา ชีเจียนชะงัก ออกแรงพยักหน้า ส่งเสียงอืมเสียงหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
เพียงแต่รอยยิ้มไม่สามารถต่อเนื่องต่อไปได้ เพราะว่าพวกเขายังอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ อารมณ์ของเขาผกผันกันกับดวงตะวันในที่ราบทุ่งหญ้าที่ยิ่งมายิ่งสูง แต่รอยยิ้มกลับตกลงหายวับไปอย่างรวดเร็ว
ประวัติศาสตร์ของสวนโจวมีมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว อย่างน้อยมีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ขั้นทะลวงอเวจีสิบกว่ากลุ่ม นับพันนับหมื่นคนที่เคยมาที่นี่ ภายใต้การยั่วยวนของมรดกตกทอดของผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของต้าลู่ท่านนั้น ภายใต้การบีบบังคับของสระกระบี่ในตำนาน ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนเท่าไรผจญภัยเข้ามาในที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ และไม่เคยมีใครสามารถรอดชีวิตออกมาได้
ผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนเหล่านั้นไม่ว่าระดับขั้นความสามารถหรือความตั้งใจแน่วแน่ ล้วนไม่ด้อยไปกว่าเขาและเจ๋อซิ่ว
หลังเดินเข้าที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ พวกเขาเพียงเจอแค่สัตว์อสูรสองสามกลุ่ม ชัดเจนอย่างมาก ความอันตรายที่แท้จริงของที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ยังไม่ได้ปรากฏออกมา แต่พวกเขารับรู้ถึงจุดที่น่าประหลาดจำนวนมากแล้ว ที่ราบทุ่งหญ้าที่ชื่อว่าสุริยาไม่หลับใหลแห่งนี้ พระอาทิตย์ไม่ตกลงไปจากเส้นแนวราบพื้นดินจริงๆ จากการคำนวณของกุณฑีชลธารเคลื่อนหลังจากเข้าสู่ยามรัตติกาล ตะวันดวงนั้นจะกลายเป็นกลุ่มแสงที่หม่นมัว ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยเดินตามรอบที่ราบทุ่งหญ้า
อีกทั้งช่องว่างในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้เหมือนจะบิดเบี้ยว ในนั้นคล้ายมีแบบแผนบางอย่าง แต่กลับไม่สามารถมั่นใจได้จากการสังเกต บวกกับการมองไปล้วนเห็นเป็นหญ้าป่าสีเขียว ด้วยเหตุนี้จึงไร้ทิศทางโดยสิ้นเชิง ไม่มีทิศทางแน่นอนว่าก็ไม่มีทางออก คนที่เดินเข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ ราวกับเดินอยู่ในนั้นอย่างไม่หยุดหย่อนไปตลอดกาล เจอสัตว์อสูรที่ยิ่งมายิ่งเยอะ ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง จนกระทั่งวันหนึ่งก็หมดแรงทอดร่างเป็นซากศพตายจากไป
อีกทั้งตอนนี้เขาบาดเจ็บเคลื่อนไหวลำบาก ดวงตาของเจ๋อซิ่วมองไม่เห็นสิ่งของ แล้วพวกเขาจะยังทนได้อีกนานแค่ไหน?
ชีเจียนก้มหัวมองก้อนรอยเลือดนั้นบนท้องน้อย สภาพจิตใจยิ่งมายิ่งตกต่ำ พูดด้วยความโศกเศร้าว่า “ข้าไม่เข้าใจว่านี่เป็นเพราะอะไร”
เจ๋อซิ่วรู้ว่าที่เขาพูดว่าไม่เข้าใจ ไม่ได้หมายถึงที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ แต่เป็นใจคน
ความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าลูกศิษย์สายในของพรรคกระบี่หลีซานแต่ไหนแต่ไรมาสนิทสนมกลมเกลียวอย่างยิ่ง ภายใต้การนำของชิวซานจวินและโก่วหานสือ ราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน ชีเจียนในฐานะที่เป็นศิษย์คนเล็กของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ แต่ไหนแต่ไรมายิ่งได้รับความเอ็นดูรักใคร่ที่มากเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนลึกของจิตใจก็มองเหล่าศิษย์พี่ชายเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่แล้วใครเลยจะไปคิดว่า ศิษย์พี่สามเหลียงเสี้ยวเซียวที่ปกติดูแลเขามากที่สุดในพรรคกระบี่หลีซานจะแทงเขาหนึ่งกระบี่ที่ข้างทะเลสาบ อีกทั้งกระบี่นั้นยังช่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น!
กระบี่นั้นของเหลียงเสี้ยวเซียวแทงทะลุท้องน้อยของเขา ตัดเส้นลมปราณของเขาขาดไปจำนวนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคือทำให้จิตใจเขาบอบช้ำ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ แม้ว่าสติยังมึนงงจากการบาดเจ็บหนัก เขาก็ล้วนคิดอยู่แต่ปัญหานี้ เขาอยากถามศิษย์พี่สามของตัวเอง สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพราะอะไร?
ในกระท่อมสุสานเทียนซู เจ๋อซิ่วเคยเห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างศิษย์พรรคกระบี่หลีซาน รวมถึงคนไม่กี่คนที่ดูแลรักใคร่ชีเจียนอย่างไรเหล่านั้นด้วยตาของตัวเอง เขาจึงเข้าใจสภาพจิตใจของชีเจียนในตอนนี้ รู้สึกถึงความผิดหวังอ้างว้างและเสียใจของเขาในตอนนี้อย่างชัดเจน แต่เขาไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเขาต้องการฆ่าเจ้าทำไม และก็ไม่ได้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าพรรคเดียวกันเหล่านี้ เพราะว่าตั้งแต่ที่ข้าเริ่มจำความได้ก็คือกำลังใช้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว ข้าไม่คิดว่าเรื่องราวในโลกล้วนต้องการเหตุผล ข้าให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่า ฉะนั้นเจ้าต้องจำไว้ เขาจะฆ่าเจ้า ฉะนั้นเขาก็คือศัตรูของเจ้า ไม่ใช่ศิษย์พี่ของเจ้าอีก”
เจ๋อซิ่วเป็นคนดัง นิทานของเขากระจายไปอย่างกว้างขวางในต้าลู่ หลายคนล้วนรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งของเผ่ามนุษย์และเผ่าหมาป่า ตอนเด็กมากก็ถูกไล่ออกมาจากชนเผ่า เติบโตอย่างยากลำบากท่ามกลางลมหิมะคนเดียว ชีเจียนเงยหน้ามองเขา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเงาหลังของเขาโดดเดี่ยวเล็กน้อย มองแล้วน่าสงสารจับใจ จู่ๆ ก็ลืมความเศร้าของตัวเอง เกิดความเห็นใจและสงสารจำนวนมาก จิตใต้สำนึกยื่นมือจับชายเสื้อของเขา
ชีเจียนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงกระทำเช่นนี้ พูดว่า “ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว”
เจ๋อซิ่วหันศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย หลับตาถามว่า “มีอะไรไม่เหมือนเดิม?”
ชีเจียนอยากพูดว่าตอนนี้ข้าก็นั่งอยู่ข้างๆ เจ้า เจ้าไม่โดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไป กลับมีความเขินอายเล็กน้อย ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เปลี่ยนเป็นพูดอย่างอื่นว่า “เพราะว่า…เจ้าเข้าสำนักฝึกหลวงแล้ว?”
เจ๋อซิ่วใจคิดหมีควายตัวนั้นเคยเชิญชวนให้ตัวเองเข้าสำนักฝึกหลวงก็จริง แต่ตัวเองไม่ได้ตอบตกลง
สาเหตุที่เขาจากที่ราบหิมะมุ่งมายังจิงตู เข้าร่วมการสอบใหญ่ เป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเฉินฉางเซิงแก้ปัญหาที่ลั่วลั่วใช้สายเลือดเผ่าปีศาจบำเพ็ญเพียรวิชาของเผ่ามนุษย์ ปัญหานั้นมีความคล้ายคลึงกับปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ ตามอายุที่เพิ่มขึ้นและระดับขั้นที่สูงขึ้น สายเลือดของเขายิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง จำนวนครั้งของกระแสคลื่นโลหิตในกายจู่โจมกะทันหันก็ยิ่งมายิ่งมาก ไม่แน่อาจตายไปตอนไหนก็ได้ เขาจำเป็นต้องให้เฉินฉางเซิงรักษาอาการป่วยถึงชีวิตนี้
ถ้าเฉินฉางเซิงสามารถรักษาโรคของเขาให้หายได้ แน่นอนว่าเขาจะจากไปจากจิงตูกลับไปยังที่ราบหิมะ เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ต่อหน้าชีเจียน เขาไม่ได้พูด ตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล เป็นไปได้อย่างมากที่จะไร้อนาคต จะให้ไอ้เจ้าตัวเล็กที่บาดเจ็บสาหัสผู้นี้โศกเศร้ายิ่งกว่าทำไม?
เขาพูดว่า “สำนักฝึกหลวง…ไม่เลว แต่คนรวยแซ่ถังคนนั้นน่ารำคาญนิดหน่อย ฉะนั้นข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ”
“อืม ข้าก็รู้สึกว่าถังถังน่ารำคาญมาก แต่ว่าเฉินฉางเซิงยังใช้ได้ จะว่าไปแล้ว ในจวนแขกของพระราชวังหลี บางทีพวกข้าก็เคยคุยกัน ถ้าไม่มีสัญญาสมรสฉบับนั้น ไม่แน่พรรคกระบี่หลีซานของพวกข้าก็สามารถอยู่ร่วมกับสำนักฝึกหลวงของพวกเจ้าอย่างสงบสุข พวกข้าสามารถเป็นเพื่อนกับเฉินฉางเซิง เจ้า…เจ้าก็สามารถเป็นเพื่อนกับข้า”
ชีเจียนมองหน้าของเขาพลางพูดด้วยเสียงเบาหวิว เสียงยิ่งมายิ่งต่ำ ตะวันดวงนั้นบนท้องฟ้าของที่ราบทุ่งหญ้ากลับยิ่งมายิ่งสูง อากาศค่อยๆ ร้อนระอุ ไอที่กระจายในแหล่งน้ำยิ่งมากขึ้น รู้สึกเบื่อหน่ายหดหู่เล็กน้อย มือของเขาเริ่มมีเหงื่อ ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้น หรือว่าสาเหตุอื่น จากนั้นยาก็ค่อยๆ ออกฤทธิ์ รู้สึกมีความมึนๆ งงๆ เล็กน้อย จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
ความคิดของเขามึนงงเล็กน้อย สายตาก็พร่ามัวเล็กน้อย จู่ๆ พลันได้ยินเสียงเจ๋อซิ่วเข้ามาใกล้ จับมือของตัวเอง ไม่รู้ว่าเตรียมจะทำอะไร ในจิตใต้สำนึกของเขาตื่นเต้นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา กระทั่งมีความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่แล้วไม่รู้ทำไม กลับไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธ
ตอนที่เจ๋อซิ่วเตรียมที่จะรักษาบาดแผลทายาให้เขาตอนที่ฤทธิ์ยาออก เนื่องจากสาเหตุที่สองตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งของได้ แน่นอนว่าใช้มือคลำได้อย่างเดียว มือสองข้างที่แน่วแน่ ขยับขึ้นไปตามหลังมือของชีเจียน มาถึงสองไหล่ของเขา จากนั้นก็เว้นห่างประมาณหนึ่งชุ่นกว่า ไม่ได้สัมผัสเลื่อนลงตามร่างกายของเขา มาถึงตำแหน่งด้านบนของท้องน้อย มุ่งลงไป นิ้วมือตกไปที่ที่คาดเอว
อาภรณ์เครื่องแต่งกายของพรรคกระบี่หลีซานเรียบง่ายมาก กระทั่งสามารถพูดได้ว่าธรรมดาสามัญ สายคาดเอวก็ไม่ได้มีลวดลายอะไรซับซ้อน แต่ผูกเกี่ยวอย่างแน่นหนา
ภายใต้นิ้วมือแกร่งของเจ๋อซิ่ว จะผูกเกี่ยวไว้แข็งแรงอย่างไร ก็ทนทานไม่อยู่แม้แต่ครู่เดียว อย่างรวบรัดฉับไว สายคาดเอวที่ผูกเกี่ยวก็ถูกแกะออก เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งขึ้นมา
ชีเจียนตื่นเต้นสุดขีด เพียงแต่ในความคิดมีความมึนงงเล็กน้อย ความง่วงงุนที่มาจากฤทธิ์ยาทำให้แรงที่เขาอยากร้องยังไม่มี ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เจ๋อซิ่วแกะสาบเสื้อชั้นในของเขาออกมา ผิวกายที่ขาวบริสุทธิ์แห่งนี้เผยออกมาใต้ท้องฟ้าสีครามของสวนโจว
เขามองไม่เห็น แต่สามารถรู้สึกได้
ร่างกายของชีเจียนสั่นระริก เพราะทั้งตื่นเต้นและโมโห
มือของเขาก็เริ่มสั่นเช่นกัน เพราะว่าความจริงเรื่องจริงที่ได้จากการสัมผัสที่เหนือคาด
ชีเจียนอายแทบมุดแผ่นดิน หลับตาปี๋ ขนตากะพริบปริบปรืออย่างไม่หยุดหย่อน แทบอยากจะสลบไปเช่นนี้
จากนั้น เขาก็สลบไปทั้งอย่างนี้