ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 110 ยอดฝีมือหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง (ตอนต้น)
ที่โรงเตี๊ยมเกิดเสียงก้องสะท้อนขึ้นมา ในที่สุดเหลียงหวังซุนก็ลงมือแล้ว และได้เข้ามาถึงตรงหน้าของคนผู้นั้น
การเคลื่อนไหวของเขาเปิดเผยอย่างมาก สง่างามเหมือนดั่งพยัคฆ์หมอบมังกรทะยาน ล่องลอยเข้ามา แต่กลับหนักแน่นดั่งขุนเขา
วัชระในมือของเขาเปล่งแสงอย่างไร้ขีดจำกัด ราวกับดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ ทั้งอบอุ่นและงดงาม
สรุปคือ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือทักษะวิชาล้วนมีกลิ่นอายของเชื้อพระวงศ์ ทำให้คนไม่อาจเกิดความคิดที่จะหลีกหนีไปได้
นี่คือการลงมือจริงๆ เป็นครั้งแรกของเหลียงหวังซุน สายตาของเขาเปล่งประกายอย่างไม่อาจหาใดเปรียบ สมาธิถูกรวมเอาไว้อย่างมาก เมื่อลงมือก็เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
เพราะเขารู้ชัดว่าคู่ต่อสู้ของตนแข็งแกร่งขนาดไหน
หัวใจของเฉินฉางเซิงรู้สึกเหน็บหนาว ในใจคิดว่าบนราชรถก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าที่เหลียงหวังซุนลงมือเป็นกระบวนท่าที่มีอานุภาพรุนแรงเช่นนี้ เขายังจะมีโอกาสทำลายประกายแสงนี้แล้วกลับมาที่โรงเตี๊ยมได้หรือ
ด้วยระดับการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้ ไม่มีวิธีที่จะรับมือกับกระบวนท่าแสงเจิดจ้าของเหลียงหวังซุนนี้เลย เพราะว่ากระบวนท่านี้ส่องประกายมากเกินไป และสง่างามเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ไม่อาจทำลาย และก็มิอาจรับมือ ทำได้เพียงฝืนรับ โดยแลกด้วยชีวิต หลังจากนั้นก็ตายไป เพราะนี่เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเหลียงหวังซุน ต่อให้เป็นคนผู้นั้น ก็ไม่อาจหลบพ้น ไม่อาจทำลายทิ้งได้
คนผู้นั้นเลือกที่จะฝืนรับ
ฝ่ามือข้างหนึ่งฟาดสายฝนที่หลั่งริน ต่อหน้าซูหลีกับเฉินฉางเซิง แต่กลับพุ่งออกมาที่ด้านหน้าด้วยความรวดเร็วอย่างไร้สุ้มเสียง และสกัดวัชระของเหลียงหวังซุนเอาไว้ได้
ฝ่ามือข้างนั้นเรียวยาวอย่างมาก จึงแสนที่จะเหมาะสมกับการจับดาบ ที่กลางฝ่ามือกลับเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะมีความหนา แสดงให้เห็นว่ามีการจับดาบมาเป็นระยะเวลายาวนาน บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ มือข้างนี้ถึงได้สามารถจับปลายของวัชระเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ราวกับจับด้ามดาบเสียอย่างนั้น
แสงสว่างอันไร้ขีดจำกัด ทั้งหมดได้หายไป หายไปในระหว่างนิ้วทั้งห้า
ไอพลังปราณที่แข็งแกร่งสองสาย ทั้งสองคนผู้ใช้อาณาเขตดวงดาวที่เกือบจะสมบูรณ์ ก็ได้มาพบกันในระหว่างการคว้าจับนี้
ในตอนนี้เอง ฝั่งตรงข้ามของถนนก็มีเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดดังมา เซียวจางที่พุ่งกลับมาราวกับเป็นก้อนหิน บนร่างเต็มไปด้วยเศษฝุ่นและน้ำฝน พาเอาเศษหินที่กระจายเต็มฟ้าลงมาด้วย ทวนเหล็กนำพาสายฟ้าและพายุกรีดแทงอีกครั้ง!
เซียวจางหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บก็ส่งบ้าคลั่งเข้าไปใหญ่ กระดาษขาวที่แปะอยู่บนหน้าของเขาทุกจุดล้วนเป็นหยดเลือด ขับให้นัยน์ตาของเขา มีความลึกล้ำไร้ที่เปรียบและน่าหวาดกลัว ยังมีไอพลังปราณที่ร้อนแรงยิ่งกว่าดวงอาทิตย์นั้นอีก!
คนผู้นั้นอยู่ด้านหน้าซูหลีกับเฉินฉางเซิง มือซ้ายที่ถือวัชระอยู่ กำลังมองเหลียงหวังซุน สงบนิ่งและมีสมาธิ ดูเหมือนว่าไม่ได้สังเกตถึงการกลับมาอย่างดุร้ายเลยสักนิด
และก็เป็นในช่วงพริบตาที่ทวนเหล็กร่วงลงมานั้น แขนเสื้อของเขาพลันขยับขึ้นมาแล้ว
ในช่วงที่สายฝนและสายลมโปรยปราย แขนเสื้อสีเขียวได้โบกเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา หลังจากนั้นดาบก็ถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง
คนผู้นั้นยกดาบฟันไปทางเซียวจาง การเคลื่อนไหวธรรมดาจนน่าประหลาด สามารถพูดได้ว่าลื่นไหลดั่งใจ และก็สามารถพูดได้ว่าดูสบายๆ ไม่หนักหนาอะไร กระทั่งให้ความรู้สึกชนิดหนึ่งแก่ใจคน คล้ายว่าจะเป็นการไม่ใส่ใจอย่างถึงที่สุด
ยังคงเป็นทวนเหล็กที่ยกขึ้นมาก่อน ยังคงเป็นดาบที่มาทีหลัง แต่ที่คมดาบมุ่งไปยังคงไม่ใช่ทวนเหล็ก แต่ว่าเป็นเซียวจางที่อยู่หลังทวน กระดาษที่ซีดขาวแผ่นนั้น เพราะดาบที่ดูแล้วแสนจะธรรมดาเล่มนี้มีความรวดเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าทวนเหล็กด้ามนี้ ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
เซียวจางโกรธเกรี้ยว ไม่พอใจ เจ็บปวด บ้าคลั่ง…แต่กลับต้องยกทวนขึ้นมาขวาง เคร้ง!
บนโลกใบนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถสกัดทวนเหล็กของเซียวจางได้ บนโลกใบนี้ ก็มีเพียงคนผู้นี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสกัดทวนของเขา จะมีเพียงแต่บีบให้เขาใช้ทวนมาสกัด ดังนั้นเซียวจางจึงเกลียดคนผู้นี้มาก แค่ได้เห็นเขาก็กระสับกระส่ายปวดใจจนถึงที่สุดแล้ว
เสียงปะทะได้ดังสนั่นขึ้น!
ทวนเหล็กกับดาบเล่มนั้นไปปะทะกันอีกครั้งที่บริเวณโรงเตี๊ยม
ในเวลานั้น แสงสว่างของเหลียงหวังซุนยังถูกผู้อื่นจับไว้ในกำมือ แล้วกำลังแผดเผา กำลังปลดปล่อยพลังออกมา
นามของทั้งสามคนนี้ ล้วนเป็นนามที่ดังกึกก้องที่สุดในโลก
แยกกันมานาน ในที่สุดพวกเขาก็ได้มาพบกันที่ในเมืองสวินหยาง
ไอพลังปราณที่น่าหวาดกลัวสามสายได้มาพบกันที่ตรงนี้
อาณาเขตอันแข็งแกร่งทั้งสามสายได้มาพบกันที่ตรงนี้
คมดาบได้แหวกอากาศเข้ามา ทวนได้ชูขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงสว่างได้อาบไปรอบทิศ
คลื่นอากาศได้ระเบิดออกไปด้านนอกโรงเตี๊ยม ภายในเมืองสวินหยางปรากฏลมพายุเกิดขึ้น
แต่ในโรงเตี๊ยมที่พังพินาศ กลับเงียบเสียจนน่าประหลาด ไม่มีสายลม และไม่มีแม้กระทั่งสุ้มเสียงใดๆ
สายตาของเหลียงหวังซุนส่องประกายราวกับดวงดาว ผมตรงช่วงขมับกลับชื้นขึ้นมาแล้ว
กระดาษขาวบนหน้าของเซียวจางไม่ไหวติง แต่กลับมีเลือดอาบอยู่ที่ด้านบน ราวกับเป็นรอยไส้เดือน
คนผู้นั้นยืนอยู่ที่ตรงหน้าของซูหลีกับเฉินฉางเซิง มือหนึ่งจับดาบ อีกมือหนึ่งจับวัชระเอาไว้ ราวกับว่ายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะเปิดประตู หรือว่าจะปิดประตู
สุดท้ายแล้ว ดาบของเขาก็ร่วงลงมา
ที่แท้ก็ปิดประตู
แขกที่ไม่ได้เชิญแต่เข้ามา ได้ถูกเชิญให้ออกไปที่นอกประตู
ดาบเหล็กร่วงหล่น พลังที่ไม่อาจต้านทานไหว
เซียวจางต้านไม่อยู่แล้ว
ทวนเหล็กได้สั่นเทาอย่างรวดเร็ว เป็นเสียงสั่นสะท้านไม่หยุด
เซียวจางถูกบีบจนถอยหลังอีกครั้ง
ดาบเล่มนั้นตามเขามาตลอด
กระดาษขาวลอยไปตามสายลม เป็นดั่งว่าวที่ไม่รู้ว่าลอยไปยังที่ใด เซียวจางถอยไปที่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าชนทำลายบ้านเรือนไปมากน้อยเท่าไหร่
ตามคมดาบที่ตวัดฟันลงมา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นไม่ขาดสาย กึกก้องไปทั่วทั้งเมืองสวินหยาง
ทุกหนแห่งล้วนมีบ้านเรือนกำลังพังทลาย เต็มไปด้วยฝุ่นควันกันถ้วนทั่ว แต่ก็เพียงพอที่จะเห็นเงาร่างของเซียวจางได้อย่างเลือนราง
สุดท้ายแล้ว เซียวจางก็สะกดอานุภาพของดาบนี้ได้ และยืนให้มั่นขึ้นมา
ตอนนี้เขามาถึงทางตะวันตกของเมืองแล้ว ระยะห่างจากโรงเตี๊ยมยังมีถึงเจ็ดลี้
เขามองไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างไกล และตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด
“หวังผ้อ เจ้าบ้าไปแล้ว!”
……
……
ดาบเหล็กพลันออกห่างจากมือ คนผู้นั้นไม่มีอาวุธแล้ว
เขาไม่ต้องการอาวุธ มือซ้ายของเขายังจับวัชระด้ามนั้นอยู่
แสงสว่างอันกระจ่างจ้ามหาศาลของเหลียงหวังซุนถูกเขากุมเอาไว้ในมือ
เขามองไปที่เหลียงหวังซุน ในสายตาเต็มไปด้วยความดุเดือดที่ไม่ได้ปิดบังเลยสักนิด
ถอย หรือพ่ายแพ้
นัยน์ตาของเหลียงหวังซุนยิ่งส่องประกาย ราวกับดวงดาราที่ใกล้จะแตกดับ
ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง เกียรติยศกับความยิ่งยโส ก็อยู่ในการที่ไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียวนี้
คนผู้นั้นเข้าใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก และกำหมัดแน่น
ที่กำ ก็คือการกำดาบ การกำดาบ ก็คือการกำหมัด
คนผู้นั้นปล่อยหมัดออกมา เขานำแสงสว่างใส่เอาไว้ในหมัด หลังจากนั้นก็โจมตีออกมา
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ราวกับอยู่ในสถานที่ที่แสนไกล เป็นสายฟ้าในฤดูใบไม้ผลิที่ไกลออกไปนับพันลี้ เป็นตาน้ำที่อยู่ในส่วนลึกลงไป
ความจริงแล้ว เป็นพลังทำลายที่อยู่ในหว่างนิ้ว
สีหน้าของเหลียงหวังซุนซีดขาวในพริบตา แสงสว่างในดวงตาพลันดับวูบอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าดวงดาราได้สูญเสียประกายแสงไปแล้ว
เขามองไปยังคนผู้นั้น เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง และกล่าวขึ้นอย่างตกตะลึง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
……
……
คมดาบที่ตวัดฟันลงมา เป็นเสียงฟ้าผ่า
หมัดที่ทำลายแสงสว่าง เป็นเสียงฟ้าร้อง
เสียงฟ้าร้องนับครั้งไม่ถ้วน ดังก้องอยู่ในเมืองสวินหยาง ระลอกสุดท้าย เป็นเสียงฟ้าร้องที่ดังที่สุด ซึ่งมาจากร่างของคนผู้นั้น
ครืน! สายลมได้พัดอย่างบ้าคลั่ง ไอพลังปราณที่กดดัน ในที่สุดโรงเตี๊ยมก็พังทลายอย่างสมบูรณ์
เศษหินกับแผ่นกระเบื้องที่หล่นลงมาได้กระจายไปทั่ว ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่โดนเข้าไป เพราะมันกระจายกันหล่นลงมา
ฝุ่นธุลีปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ในทันใดก็ถูกสายฝนชำระลงมา
ได้เห็นโรงเตี๊ยมนั่นถล่มลงมาแล้ว เหล่าผู้คนที่เดิมทีอยู่ในโรงเตี๊ยมก็ออกมาอยู่ที่กลางสายฝนแล้ว พวกคนที่แต่เดิมอยู่ที่ชั้นสอง ในตอนนี้ก็มาถึงพื้นแล้ว ซูหลียังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงเลย
เซียวจางเดินเข้ามาจากถนนที่เต็มไปด้วยสายฝนนั่น กระดาษขาวที่อยู่บนหน้าได้ฉีกขาดไปมุมหนึ่งแล้ว เผยให้เห็นบาดแผลอันแสนน่ากลัวที่อยู่ด้านล่างของใบหน้า
ทวนเหล็กที่เขาจับอยู่ในมือไม่หยุดที่จะสั่นสะท้าน
ใบหน้าของเหลียงหวังซุนซีดขาวราวหิมะ มือที่จับวัชระเองก็กำลังสั่นเทาเช่นกัน
คนผู้นั้นยังคงสุขุมและสงบนิ่งเหมือนดั่งเคย
คนผู้นั้นสวมชุดสีเขียวตลอดทั้งร่าง ค่อนข้างจะผอมสูงอยู่บ้าง เขาเงียบสงบ คิ้วทั้งสองขมวดมุ่นน้อยๆ ทั้งร่างเต็มไปด้วยความเงียบเหงา
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้เห็นเขาแล้วก็รู้สึกแร้นแค้นขึ้นมา
ไม่ใช่ความแร้นแค้นตามปกติ แต่เป็นความแร้นแค้นหลังจากที่ร่ำรวย เป็นความซบเซาหลังจากที่เจริญรุ่งเรือง
เขาไม่หลงระเริง ไม่ภูมิใจในตัวเอง เพียงแค่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าซูหลีกับเฉินฉางเซิงอยู่เช่นนี้ เพียงแต่ฮว่าเจี่ยเซียวจางกับเหลียงหวังซุนร่วมมือกันแล้ว ก็ยังไม่อาจเอาชนะได้
เพราะว่าเขาคือหวังผ้อ
อันดับหนึ่งของประกาศเซียวเหยา หวังผ้อแห่งเทียนเหลียง